ตอนที่ 277 โบยก่อนค่อยว่ากัน (3)
พี่ใหญ่ ท่านจะถูกท่านพ่อตีตายได้นะ ท่านแม่ทัพไม่ถูกกับท่านพ่อนะ
“คุณชายใหญ่ขอรับ” ด้านนอก ชายชุดสีเทาเอ่ยขึ้น หนานกงฮุยเงยหน้ามอง “เข้ามา มีเรื่องอันใด”
ชายชุดสีเทาเอ่ย “เมื่อครู่คุณหนูใหญ่ส่งคนมาแจ้งข่าว ว่าเจอพวกต้มตุ๋นสามคนอ้างว่าเป็นท่านน้าและลูกพี่ลูกน้องของตน จึงถูกท่านเขยส่งไปยังคุกเขตอิ้งเทียนแล้วขอรับ”
หนานกงชวี่เลิกคิ้ว “เป็นพวกต้มตุ๋นจริงหรือ”
ชายชุดสีเทาเอ่ย “คุณหนูใหญ่บอกว่าเป็นพวกต้มตุ๋นขอรับ” หนานกงชวี่พยักหน้า เอ่ย “ข้ารู้แล้ว ข้าว่าที่ท่านพ่อรีบออกไปก็เพราะพวกเขา ส่งคนไปสืบว่าพวกเขาพักอยู่ที่ใด”
“ขอรับ คุณชายใหญ่”
“เอาของกลับมาแล้วหรือ” หนานกงชวี่เอ่ยถาม
ชายชุดสีเทาล้วงหยิบเอาจดหมายปิดผนึกออกมาจากหน้าอกแล้วยื่นให้ จดหมายถูกปิดผนึกในรูปแบบเก่า เห็นได้ชัดว่าเป็นของเมื่อหลายปีที่แล้ว ทว่าถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี หนานกงฮุยยืดคอเข้ามาใกล้ แต่น่าเสียดายที่หนานกงชวี่นั้นไม่คิดให้เขาดู นำจดหมายไปเก็บเข้าตู้ใกล้ๆ เอ่ยเสียงเรียบ “ไปเถิด”
“ข้าน้อยลาแล้วขอรับ”
มองดวงตาอยากรู้อยากเห็นของหนานกงฮุย หนานกงชวี่ก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ห้ามบอกคนอื่น มิเช่นนั้นข้าจะตัดขาเจ้า”
หนานกงฮุยหดตัวลีบ เอ่ยพึมพำ “พี่ใหญ่ท่านขู่ข้าเช่นนี้ทุกครั้ง” แต่ใบหน้ากลับไม่มีความอยากรู้อยากเห็นแล้ว แม้หนานกงฮุยจะไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ทว่าตั้งแต่เล็กจนโตเขารู้ดีว่าคนที่เป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดนั้นคือพี่ใหญ่ แน่นอนเขารู้ว่าพี่ใหญ่ปิดบังท่านพ่อทำเรื่องมากมาย แต่เขาไม่เคยเปิดเผยความลับให้ใครได้รับรู้ โดยเฉพาะยามที่พี่ใหญ่เอ่ยว่า ‘มิเช่นนั้นจะตัดขาเจ้า’ บ่งบอกให้รู้ว่านั่นเป็นเรื่องสำคัญ หากแพร่งพรายออกไป สุดท้ายไม่ใช่เขาที่ถูกตัดขา แต่เป็นพี่ใหญ่ที่จะถูกท่านพ่อตัดขา
เมื่อเห็นน้องชายเป็นเช่นนี้ ดวงตาของหนานกงชวี่พลันอ่อนโยนขึ้น เอ่ยเสียงเรียบ “กลับไปเถิด อีกสองวันข้าจะเอ่ยกับท่านพ่อ เชิญเซี่ยโหวฮูหยินไปสู่ขอให้เจ้า”
“พี่ใหญ่ จะไม่มีปัญหาจริงๆ ใช่หรือไม่”
“ไปได้แล้ว”
เมื่อมองดวงตาคมเข้มของพี่ใหญ่ หนานกงฮุยจึงหดคอและรีบออกจากห้องหนังสือไป
คุกเขตอิ้งเทียน เซียวเย่ว์อู่กำลังเกาะราวกรงขังร้องตะโกนต่อว่าเสียงดัง น่าเสียดายที่ต่อให้นางร้องตะโกนจนคอแตกก็ไม่มีใครสนใจนาง อีกด้าน เฉียวเฟยเยียนหาจุดที่ดูสะอาดที่สุดยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาแดงเรื่อมองห้องขังอับชื้นและสกปรกตรงหน้าอย่างรังเกียจ “อู่เอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว…หนานกง ฉู่กั๋วกงต้องมาช่วยพวกเราแน่”
เซียวเย่ว์อู๋แค่นหัวเราะ เอ่ยด้วยความโกรธ “หนานกงมั่วนางจงใจ”
เซียวเชียนหนิงเอ่ยเสียงเข้ม “นางจงใจแล้วอย่างไร นางเป็นพระชายาซื่อจื่อจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง เป็นซิงเฉิงจวิ้นจู่ พวกเราจะทำอันใดได้”
“ฮือ…” เฉียวเฟยเยียนผกมือขึ้นปิดปากร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด “ขอโทษ ฮือ…หนิงเอ๋อร์ อู่เอ๋อร์ ขอโทษ เพราะแม่ไม่ดีเองจึงทำให้พวกเจ้าต้องลำบาก” เห็นมารดาเศร้าเสียใจเซียวเชียนหนิงและเซียวเย่ว์อู่จึงรีบเข้ามาปลอบโยน เซียวเชียนหนิงเอ่ย “ท่านแม่ไม่ต้องกลัว อย่างไรพวกเราก็แซ่เซียว ยังต้องกลัวนางอีกหรือ” สำหรับหนานกงมั่ว เซียวเชียนหนิงโกรธแค้นเป็นที่สุด เขาเป็นถึงผู้สืบทอดหวาหนิงจวิ้นอ๋อง ไหนเลยจะเคยถูกเหยียดหยามเช่นนี้ ขอเพียงมีโอกาส ความแค้นในวันนี้จะต้องเอาคืนหลายร้อยเท่า
เซียวเย่ว์อู่เตะหญ้าบนพื้นอย่างหงุดหงิด “เพราะเสด็จพ่อ หากไม่ใช่เพราะเขาหลบหนี ไยพวกเราจะต้องมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้” หากไม่ใช่เพราะเสด็จพ่อหลบหนี ตอนนี้ก็ยังเป็นคุณหนูใหญ่จวนหวาหนิงจวิ้นอ๋อง ต่อให้เสด็จพ่อไม่อยู่แล้ว พี่ชายก็ยังเป็นหวาหนิงจวิ้นอ๋อง ไหนเลยจะเป็นดั่งเช่นตอนนี้ที่ไม่มีสิ่งใดเลย
“ท่านแม่ ฉู่กั๋วกงผู้นั้นจะมาช่วยพวกเราจริงหรือเจ้าคะ”
“มาสิ จะต้องมาแน่นอน” เฉียวเฟยเยียนรีบยืนยัน “ฉู่กั๋วกงเป็นแม่ทัพร่วมก่อตั้งประเทศ เป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ไม่…ไม่เหมือนกับเสด็จพ่อของเจ้า”
เซียวเชียนหนิงส่งเสียงหยัน ดวงตาทะมึน
ประตูห้องขังถูกเปิดออก ผู้ตรวจการวัยกลางคนเดินนำคนเข้ามา ทั้งสามรีบหันกลับไปมอง เฉียวเฟยเยียนเดินก้าวเข้าหาด้วยความยินดี “ใต้เท้าท่านมาเพื่อปล่อยพวกเราไปใช่หรือไม่”
ชายวัยกลางคนลูบปลายคาง ยิ้มเย็น “ปล่อยพวกเจ้าออกไปหรือ หลอกลวงซิงเฉิงจวิ้นจู่และผู้บัญชาการเว่ย พวกเจ้ายังคิดอยากจะออกไปอีกหรือ”
เฉียวเฟยเยียนเอ่ยทั้งน้ำตา “พวกเรามิได้โกหก พวกเราพูดความจริง”
“จริงหรือ” ชายวัยกลางคนเลิกคิ้ว “เอ่ยเช่นนี้ เจ้าเป็นฮูหยินฉู่กั๋วกงจริงหรือ ตามที่ข้ารู้ ฮูหยินฉู่กั๋วกงจากไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว ฮูหยินฉู่กั๋วกงในยามนี้ คล้ายกับจะเป็นเจิ้งซื่อเพียงแต่ไม่มีราชโองการแต่งตั้งคนผู้นั้น” ยามนี้คนนอกยังไม่มีใครรับรู้ว่าเจิ้งซื่อได้ตายไปแล้ว
เฉียวเฟยเยียนพูดไม่ออก กัดริมฝีปาก เอ่ยขึ้น “เด็กๆ ไม่รู้ความ เอ่ยไปไม่ทันคิด ขอใต้เท้าโปรดอภัยด้วย แต่ว่าข้าเป็นน้าของซิงเฉิงจวิ้นจู่จริงๆ เพียงแต่นางไม่เคยเจอข้ามาก่อนจึงไม่รู้จักข้า หากใต้เท้าไม่เชื่อ ไปถามฉู่กั๋วกงก็ได้ เขารู้ความจริงอย่างแน่นอน”
ชายวัยกลางคนยิ้มเย็น “ฉู่กั๋วกงสูงส่งมีกิจธุระมากมาย ไหนเลยจะมีเวลาว่างมาสนใจเจ้า เด็กๆ เอาตัวออกมาสอบสวน ข้าเองก็อยากรู้ว่าใครกันช่างกล้าโกหกหลอกลวงใต้เท้าโอรสสวรรค์”
“ขอรับ ใต้เท้า”
สามแม่ลูกถูกพาตัวออกมาอีกครั้ง ถูกลากออกมานั่งคุกเข่าในศาล ชายวัยกลางคนนั่งประจำที่ เห็นได้ชัดว่าผู้นี้ก็คือผู้ว่าการเขตอิ้งเทียนคนปัจจุบัน
“ทั้งสามคนในศาลนี้ บอกชื่อกับข้ามา” ผู้ว่าการเขตอิ้งเทียนเอ่ยเสียงเข้ม
เฉียวเฟยเยียนสะดุ้ง เอ่ยตอบทั้งน้ำตา “ข้า…เฉียวเฟยเยียน”
เซียวเย่ว์อู่เชิดปลายคางขึ้น เอ่ยตอบอย่างทะนงตัว “ข้าคือเซี่ยนจู่[1]เซียวเย่ว์อู่จวนหวาหนิงจวิ้นอ๋อง”
“เซียวเชียนหนิง” เซียวเชียนหนิงเอ่ยเสียงเย็น
ผู้ว่าการเขตอิ้งเทียนเลิกคิ้ว “เตรียมตัวมารอบคอบดีนี่ หวาหนิงจวิ้นอ๋องใช่หรือไม่ มีหลักฐานอันใด ข้าจำได้ยามนี้ต้าเซี่ยของข้าไม่มีหวาหนิงจวิ้นอ๋องแล้ว แอบอ้างเป็นเซี่ยนจู่ โทษนี้หนักกว่าการแอบอ้างเป็นญาติเสียอีก” เฉียวเฟยเยียนรีบเอ่ย “ใต้เท้าอภัยด้วย ข้า…ข้าเป็นหญิงม่ายของอดีตหวาหนิงจวิ้นอ๋อง บุตรีข้าเอ่ยผิดไป ขอใต้เท้าโปรดอภัยด้วย”
ผู้ว่าการเขตอิ้งเทียนกวาดตามองทั้งสามคนอีกรอบ เอ่ยถาม “มีหลักฐานหรือไม่”
“หลัก…ฐาน” เมื่อครั้งจวนหวาหนิงจวิ้นอ๋องถูกยึดทรัพย์สิน ทุกอย่างที่เป็นสิ่งยืนยันตัวตนของหวาหนิงจวิ้นอ๋องอีกทั้งสิ่งมีค่าต่างๆ ล้วนถูกยึดไปหมดแล้ว และเพราะครั้งนั้นที่เฉียวเฟยเยียนแยกจากตระกูลเมิ่ง แต่งกับหวาหนิงจวิ้นอ๋องมีสินเจ้าสาวติดตัวไปเพียงไม่กี่ชิ้น ตลอดหนึ่งปีมานี้สามแม่ลูกจึงต้องทนทุกข์ไม่น้อย
“ไม่มีหรือ พวกเจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่หรืออย่างไร” ผู้ว่าการเขตอิ้งเทียนโกรธเกรี้ยวขึ้นมา เอ่ยเสียงกร้าว “เด็กๆ โบยหนักให้ข้าก่อนสิบไม้ ให้พวกเขาได้รู้ว่าอย่างไรที่เรียกว่าดูหมิ่นศาล”
“พลังอำนาจ[2]” เหล่าหยาอี่[3]ถือไม้พลองสุ่ยหัว [4]อยู่ในมือพลางเปล่งเสียงทุ้มออกมาอย่างพร้อมเพรียง
แม้เฉียวเฟยเยียนจะเคยเป็นพระชายาจวิ้นอ๋อง แต่ถูกประคบประหงมดูแลมาอย่างทะนุถนอม ไหนเลยจะเคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ท่าทางน่าสงสารของนางไม่รู้ทำไมถึงใช้กับผู้ว่าการเขตอิ้งเทียนผู้นี้ไม่ได้ ผู้ว่าการเขตอิ้งเทียนดูท่าทางตรงไปตรงมาและน่าเกรงขาม ท่าทางน่าสงสารของนางจึงไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย
—————————————
[1] เซี่ยนจู่ ตำแหน่งเชื้อพระวงศ์หญิงลำดับที่สี่ สำหรับพระธิดาในจวิ้นอ๋องกับชายาเอกหรือพระธิดาในผู้สืบทอดชินอ๋องกับชายาเอก
[2] พลังอำนาจ(威武) ที่เปล่งเสียงนี้ออกมาก็เพื่อแสดงถึงอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์ของศาล
[3] หยาอี่ เป็นอาชีพที่ทำหน้าที่ในหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในประเทศจีนโบราณ อยู่ในขั้นต่ำสุดในแผนกรัฐ เป็นตัวเชื่อมระหว่างสามัญชนกับรัฐ
[4] ไม้พลองสุ่ยหัว อาวุธของเจ้าหน้าที่ประจำศาลาว่าการ ด้านปลายมีลักษณะแบนราบสีแดง อีกด้านหนึ่งเรียวยาวสีดำ