ตอนที่ 282 คัดจนมือขาด (2)
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมร้องเรียนฉู่กั๋วกงผิดประเวณีกับหญิงม่ายในเชื้อพระวงศ์…”
‘ฟู่’ ขุนนางไร้มารยาททั้งหลายต่างพากันพ่นวาจาออกมาไม่หยุด พวกเขามองไปยังขุนนางตรวจการหนุ่มผู้นั้นด้วยสายตาราวกับมองวีรบุรุษ ท่านช่างกล้าเอ่ย…อย่าคิดว่าเป็นขุนนางตรวจการแล้วจะมีเก้าหัว ข้าเพียงไม่สังหารขุนนางตรวจการเท่านั้น การจะทำให้คนตายนั้นมีวิธีมากโข
“บังอาจ” ฮ่องเต้เกรี้ยวกราดขึ้นมา เมื่อวานฎีกาที่ถวายมาไยจึงมิได้มีสิ่งเหล่านี้ กล้านัก คิดจะทำให้เชื้อพระวงศ์เช่นข้าขายหน้าอย่างนั้นหรือ ขุนนางตรวจการหนุ่มเชิดหน้า เอ่ยเสียงดังชัด “การกระทำเช่นนี้ของฉู่กั๋วกงไร้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรี ขอฝ่าบาททรงลงอาญา” ผู้ตรวจการก็เป็นเช่นนี้ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่อยู่แล้วยิ่งทำให้ใหญ่ขึ้นไปอีก เรื่องที่ใหญ่ขึ้นไปอีกทำให้กลายเป็นกบฏ อย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็กอย่างแน่นอน
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมถูกกล่าวหาพ่ะย่ะค่ะ” หนานกงไหวเองก็ไม่โง่ รีบร้องทุกข์ทันใด
ฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าลึก แทบจะกระทืบหนานกงไหวให้ตาย เขาไม่อยากลงโทษหนานกงไหว หลายปีมานี้วีรบุรุษผู้ร่วมก่อตั้งประเทศถูกเขาประหารมาไม่น้อย ผู้ที่เหลือเอาไว้นั้นค่อนข้างวางใจและซื่อสัตย์ ฮ่องเต้เองรู้ดีว่าชื่อเสียงของตนนั้นไม่ดีนัก แต่อย่างไรก็ต้องไว้หน้าตัวเองบ้าง อีกด้าน ฮ่องเต้เองคิดว่าหนานกงไหวจะแต่งงานนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เรื่องที่จวนผู้ว่าก็คลี่คลายไปเมื่อวานแล้ว แต่ว่าเรื่องนี้จะดึงมาเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์ไม่ได้
“เอ่ยมาให้ชัดเจน” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเข้ม
ขุนนางตรวจการหนุ่มเอ่ยด้วยท่าทีตื่นตัว “ทูลฝ่าบาท ได้ยินมาว่าหญิงม่ายที่ฉู่กั๋วกงพากลับจากจวนผู้ว่านั้นได้บอกว่าตนเองเป็นหญิงม่ายในหวาหนิงจวิ้นอ๋อง อดีตหวาหนิงจวิ้นอ๋องนั้นพึ่งจากไปเมื่อเดือนสาม ยามนี้ยังไม่ผ่านเดือนเก้าเสียด้วยซ้ำ เวลาไม่ถึงครึ่งปีฉู่กั๋วกงก็สนิทชิดเชื้อกับหญิงม่ายถึงเพียงนี้ เห็นได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นมิใช่เพียงวันสองวัน”
เจ้าจะบอกว่าหวาหนิงจวิ้นอ๋องยังมีชีวิตอยู่พวกเขาก็ลักลอบคบชู้กันอย่างนั้นหรือ หนึ่งคนอยู่จินหลิง หนึ่งคนอยู่เหลียงโจว อยู่ไกลหลายพันลี้เพียงนี้จะลักลอบคบชู้ได้เยี่ยงไร
“หนานกงไหว ข้าให้โอกาสเจ้าแก้ต่าง” ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเข้ม
หนานกงไหวค้อมตัว เอ่ยตอบ “ทูลฝ่าบาท เฉียวซื่อเป็นหญิงม่ายในหวาหนิงจวิ้นอ๋องไม่ผิด แต่ว่า…วาจาอย่างอื่นของใต้เท้าหลี่เป็นเพียงการคาดเดาและใส่ร้าย เฉียวซื่อเดิมเป็นญาติผู้น้องของเมิ่งซื่อ หวาหนิงจวิ้นอ๋องถูกปลดและจากไป นางเลี้ยงดูลูกลำบากจึงกลับเมืองหลวงมาหาญาติ ไม่คิดว่าฮูหยินจะจากไปนานแล้ว กระหม่อมเห็นว่าเฉียวซื่อเป็นสตรีตัวคนเดียวเลี้ยงดูบุตรคงไม่ใช่เรื่องง่าย กระหม่อมเองก็ขาดคนปกครองเรือนหลังจึงได้เกิดความคิดนี้ขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้น…ชาติกำเนิดของหวาหนิงจวิ้นอ๋องนั้นเป็นเชื้อสายรอง เมื่อเป็นเชื้อสายรองแน่นอนไม่เกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์ แล้วจะเป็นหญิงม่ายของเชื้อพระวงศ์ได้เช่นไรเล่า”
ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของฝ่าบาทจึงผ่อนคลายลง “ขุนนางตรวจการหลิน ท่านว่าเยี่ยงไร”
ขุนนางตรวจการหนุ่มส่งเสียงหยัน เอ่ยตอบกลับ “อย่างไรเรื่องฉู่กั๋วกงคบชู้กับหญิงม่ายนั้นก็เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงไหวเอ่ย “บ้านเมืองข้าไม่เคยมีกฎข้อใดห้ามหญิงม่ายสามีตายแล้วแต่งงานใหม่”
ขุนนางทั้งหลายแม้จะเสียดายทว่าก็เอ่ยอันใดออกมาไม่ได้ อย่างไรบ้านเมืองก็ไม่มีกฎห้ามสตรีแต่งงานใหม่จริงๆ รวมไปถึงยังมีการสนับสนุนให้สตรีแต่งงานใหม่อีกด้วย ความวุ่นวายหลายปีมานี้มีซากปรักหักพังอยู่ทุกหนทุกแห่ง สงครามมีผู้คนล้มตายจำนวนมาก ทั่วทั้งที่ราบภาคกลางนี้มีครอบครัวร้างมากมาย สตรีหลายคนเลี้ยงดูบุตรไม่ไหว หากทุกคนเป็นเช่นนี้นั่นหมายถึงความสูญเสีย แต่เมื่อผู้คนคนเหล่านี้มีจำนวนมากขึ้น นั่นไม่เพียงเป็นปัญหาครอบครัวแต่เป็นปัญหาใหญ่ของบ้านเมืองด้วย
อีกทั้งตั้งแต่โบราณจนกระทั่งปัจจุบันยังไม่มีข้อห้ามสตรีแต่งงานใหม่ เพียงแต่เอ่ยออกไปอาจจะฟังไม่รื่นหูเพียงเท่านั้น ผู้ที่ทำตามขนบนี้จริงจึงมีเพียงบรรดานักศึกษาและสกุลสูงศักดิ์ พวกนักศึกษาเห็นดีเห็นงามกับหลัก ‘สตรีหนึ่งไม่รับใช้สามีสอง’ ‘อดตายเป็นเรื่องเล็ก สูญเสียพรหมจรรย์นั้นเป็นเรื่องใหญ่’ ในสายตาของพวกเขาสตรีที่สูญเสียพรหมจรรย์นั้นควรไปจากโลกนี้เสีย สตรีเช่นเฉียวเฟยเยียนที่สามีพึ่งจากไปทว่ากลับอยากรีบแต่งงานใหม่แน่นอนว่าช่างไร้ยางอาย
ไม่นาน ชายชราตัวสั่นงันงกผู้หนึ่งเดินออกมา เอ่ยเสียงดัง “แม้บ้านเมืองของข้าจะไม่มีกฎข้อห้ามให้สตรีไม่อาจแต่งงานใหม่ แต่นักปราชญ์เคยว่าเอาไว้ สตรีที่ดีมิแต่งสามีสอง ม้าที่ดีไม่คู่ควรกับอานม้าที่สอง แม้อดีตหวาหนิงอ๋องจะไม่นับว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเชื้อพระวงศ์ เฉียวซื่ออยู่ร่วมกับเชื้อพระวงศ์มาหลายปี ยิ่งต้องเป็นแบบอย่างให้กับสตรีทั่วหล้า ไยจึงทำตัวราวกับไร้ความรู้ไร้การอบรมเช่นนี้ได้เล่า เกรงว่าต่อให้แต่งงานใหม่ อย่างน้อยก็ควรไว้ทุกข์ให้สามีสามปีเสียก่อนเพื่อแสดงถึงความรักในคุณความดีของสามี หากเร่งรีบเช่นนี้ จะห้ามมิให้คนเกิดความสงสัยได้เยี่ยงไร…”
สงสัยเรื่องใดทุกคนต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ ผู้คนที่อยู่ตรงนี้มองไปยังหนานกงไหวด้วยสายตาคลุมเครือ สามีนางตายยังไม่ถึงครึ่งปีก็รีบแต่งเข้าจวน ไม่ให้คนสงสัยความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ของทั้งสองเลยคงเป็นไปไม่ได้
“ใส่ร้ายผู้อื่น ขอฝ่าบาทได้โปรดให้ความเป็นธรรม ใต้เท้าเว่ยผู้นี้กำลังดูหมิ่นผู้บริสุทธ์พ่ะย่ะค่ะ” หนานกงไหวใบหน้าทะมึนขึ้น คุกเข่าลงเอ่ยด้วยเสียงเข้ม
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว เอ่ย “พวกเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงสิ่งที่ไม่มีหลักฐาน”
ทุกคนลอบเบ้ปาก เรื่องเช่นนี้จะให้พวกเขาไปเอาหลักฐานมาจากที่ใดกันเล่า คงไม่ต้องไปจับชู้ถึงบนเตียงใช่หรือไม่
ฮ่องเต้ไม่ต้องการมาเสียเวลากับเรื่องส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อหวาหนิงจวิ้นอ๋องถูกลดขั้นเป็นสามัญชนแล้ว เขาก็ไม่ต้องการเอ่ยถึงความเป็นเชื้อพระวงศ์ให้มากความ เมื่อคิดแล้ว ฮ่องเต้จึงตรัสขึ้น “ฉู่กั๋วกงลงโทษปรับเงินเดือนสองปี อีกทั้งเฉียวซื่อผู้นั้น คัดบัญญัติสตรีหนึ่งหมื่นฉบับเพื่อให้สตรีอื่นได้ศึกษา หากคัดไม่จบหนึ่งหมื่นฉบับห้ามแต่งงานใหม่ ข้าไม่อยากได้ยินเรื่องนี้อีก จบการหารือ” ทำให้ข้าไม่พอใจ ข้าก็จะทำให้พวกเจ้าไม่พอใจเช่นกัน เหอะ
“น้อมส่งฝ่าบาท”
มองฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้อเดินหนีไป ใบหน้าของผู้คนในห้องโถงแปลกประหลาดขึ้นมาชั่วครู่ บัญญัติสตรีหนึ่งหมื่นฉบับอะไรกัน…แม้พวกเขาเป็นบุรุษแต่ก็รู้ว่าบัญญัติสตรีนั้นมีความยาวราวๆ สองพันตัวอักษร ดูเหมือนจะไม่เยอะ แต่เมื่อตัวอักษรพวกนี้ต้องคัดถึงหนึ่งหมื่นครั้งแล้วล่ะก็ อย่างน้อยก็ต้องเขียน…มากกว่ายี่สิบล้านตัว ต้องการให้สตรีนางนั้นเขียนจนมือขาดไปเลยหรือ ฮ่องเต้รับสั่งด้วยพระองค์เอง ใครจะกล้าหาคนคัดแทนกัน ต่อให้สตรีผู้นั้นขยันนั่งคัดวันละห้าถึงหกพันตัวอักษร กว่าจะเขียนเสร็จคงต้องใช้เวลาแปดเก้าปีเลยนะ ถึงตอนนั้น…หนานกงไหวจะแต่งนางไปทำไมกัน
ผู้ที่สนิทชิดเชื้อกับหนานกงไหวนั้นเดินเข้ามาตบบ่าให้กำลังใจ “ท่านแม่ทัพหนานกง ท่านเปลี่ยนสตรีที่จะแต่งเสียเถิด บนโลกใบนี้มิได้มีสตรีเพียงผู้เดียว” รอหญิงม่ายผู้นั้นคัดเสร็จแปดเก้าปี หญิงม่ายคงกลายเป็นหญิงชราเสียแล้ว
ส่วนคนที่ความสัมพันธ์ไม่ดีก็เดินเข้ามาเยาะเย้ยถากถาง เอ่ยเสียดสี “ฉู่กั๋วกง คนผู้นั้น…รู้ตัวอักษรอยู่ใช่หรือไม่ หากไม่รู้ นี่คงเป็นการเริ่มเรียนใหม่ เพียงแต่…สตรีที่กล้าได้กล้าเสียเช่นนี้ ความรู้คงมีขีดจำกัดสินะ เอาเช่นนี้หรือไม่ ข้าจะส่งอาหารไปให้ รับรอง…ว่าเป็นสตรี”
หนานกงไหวเดินสะบัดแขนเสื้อหนีไป พึ่งเดินออกมาก็ถูกขันทีรับใช้ของฮ่องเต้ตามมา ด้านหลังยังมีสาวงามเดินตามมาอีกสองคน “ท่านฉู่กั๋วกงได้โปรดหยุดก่อน ฮูหยินฉู่กั๋วกงจากไปหลายปี กั๋วกงเองยังไม่มีคนคอนปรนนิบัติเคียงข้าง จึงได้ประทานสาวใช้ทั้งสองคอยดูแลปรนนิบัติกั๋วกง”