ตอนที่ 279 อู๋สยาผู้รับผลในสิ่งที่ก่อ (2)
เหอเหวินลี่ส่งเสียงหยัน “ข้าไม่มีทางไปหาเรื่องใครโดยไม่ลืมหูลืมตาดูก่อนอย่างแน่นอน ขอแค่พวกเจ้าอย่าสร้างความเดือดร้อนให้ข้าเป็นพอ ข้าเป็นเพียงผู้ว่าการเขตอิ้งเทียน ขุนนางขั้นสาม ในเมืองจินหลิงแห่งนี้ใครจะมาทุบข้าให้ตายก็ย่อมได้”
ที่แท้ยังโกรธเพราะเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ คุณชายฉังเฟิงเอ่ยปลอบ “วางใจ คนชั่วอายุยืนเป็นพันปี ท่านต้องอยู่ไปอีกนาน” ผู้ว่าการเขตอิ้งเทียนนั้นไม่ใช่ข้าราชการที่ดีจริงๆ หากเหอเหวินลี่ไม่มีเบื้องหลังคงไม่มีทางเป็นผู้ว่าการเขตอิ้งเทียนมาสองสามปีได้โดยไม่มีใครเหยียบย่ำลงได้ เห็นได้ชัดว่าคงไม่ใช่ทำได้เพียงด่าเขาอย่างแน่นอน
“…” ผูกมิตรไม่ระวัง โชคร้ายไปตลอดชาติ
…
แน่นอนว่าหนานกงไหวไม่สามารถพาเฉียวเฟยเยียนสามแม่ลูกกลับไปยังจวนฉู่กั๋วกง ความจริงเฉียวเฟยเยียนสามแม่ลูกมาอยู่ในจินหลิงกว่าหนึ่งเดือนแล้ว แต่ยามนั้นทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับพิธีแต่งงานของหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่ว ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสามยังมิใช่บุคคลยิ่งใหญ่แต่อย่างใด เมื่อไม่มีตำแหน่งอ๋องแล้วพวกเขาก็เป็นเพียงสามัญชนธรรมดาไม่มีใครสนใจก็เท่านั้น
หนานกงไหวจัดการให้พวกเขามาอยู่ในเรือนบนถนนซีต้าห่างจากจวนฉู่กั๋วกงอยู่สองช่วงถนน เดิมทีตั้งใจว่าก่อนแต่งงานและจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยจะไม่ให้ผู้ใดรู้ฐานะของพวกเขาได้ ใครจะรู้ว่าเซียวเย่ว์อู่จะไปประกาศกลางถนนจนคนทั่วทั้งจินหลิงรับรู้กันหมดแล้ว หากเป็นเรื่องโกหกก็ช่างเถิด รอจนถึงวันหนานกงไหวแต่งเฉียวเฟยเยียนเข้าจวน ผู้คนต้องนึกถึงเรื่องบนถนนในวันนี้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น…คงยุ่งเหยิงไปกันใหญ่
สำหรับความบุ่มบ่ามของพวกเขาสามแม่ลูกใช่ว่าหนานกงไหวจะไม่โกรธ แต่เมื่อเห็นเฉียวเฟยเยียนนั่งร้องไห้เงียบๆ อยู่ด้านข้างก็โกรธไม่ลง ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างจนปัญญา เอ่ย “ช่างเถิด เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง ช่วงนี้พวกเจ้าก็ระวังอย่าพึ่งออกไปข้างนอกเลย เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องอันใดอีก”
“เช่นนั้น…จะทำเช่นไรกับมั่วเอ๋อร์เจ้าคะ” เฉียวเฟยเยียนเอ่ยด้วยท่าทางเป็นกังวล “ข้าว่า เหมือนมั่วเอ๋อร์จะเกลียดพวกข้า” หากบอกว่าหนานกงมั่วไม่รู้จักพวกนางจึงก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา เฉียวเฟยเยียนคงไม่เชื่อ หนานกงไหวก็บอกแล้วว่าเขาบอกกับหนานกงมั่วและพี่น้องทั้งสามคนเรื่องจะแต่งภรรยาใหม่แล้ว หนานกงมั่วกลับกัดฟันไม่ยอมรับ ยืนยันที่จะไม่ยอมรับว่าตนเองมีน้าสาว
เพียงเอ่ยถึงหนานกงมั่ว ใบหน้าหนานกงไหวก็เต็มไปด้วยความโกรธ บุตรีผู้นี้เห็นได้ชัดว่าเกิดมาเป็นศัตรูของเขา ไม่เคยทำให้เขาสบายใจเลยสักวัน “บุตรีไม่รักดีผู้นี้ นางตั้งใจเป็นศัตรูกับข้า” น่าเสียดาย บุตรีแต่งออกเรือนก็เหมือนน้ำที่สาดออกไปแล้ว ยามนี้ต่อให้หนานกงไหวโกรธเกรี้ยวเพียงใดก็ไม่อาจไปต่อว่านางที่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องได้
เฉียวเฟยเยียนเอ่ยเสียงเบา “ข้ารู้ มั่วเอ๋อร์คงโกรธข้าเพราะเรื่องของพี่สาว ตอนนั้น…ตอนนั้นเพราะข้าไม่ดีเอง หากไม่ใช่เพราะข้า ความสัมพันธ์ของพี่หนานกงและพี่สาวก็คงไม่จืดจาง…” หนานกงไหวถอนหายใจเอ่ยปลอบนาง “พูดจาเหลวใหล เรื่องในครานั้นไหนเลยจะโทษเจ้าได้ เพราะเมิ่งซื่อใจแคบ ตระกูลเมิ่งข่มเหงรังแกเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นหลายสิบปีมานี้เจ้าอยู่เหลียงโจวก็ลำบากมามากแล้ว” เขาจะรับอนุแล้วเยี่ยงไร แม่ทัพในกองทัพมีผู้ใดบ้างไม่มีอนุ มีเพียงแค่เขาเท่านั้น แต่จะรับอนุทั้งทีกลับถูกตระกูลเมิ่งทำราวกับเป็นเรื่องร้ายแรงสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอย่างไรอย่างนั้น
เซียวเย่ว์อู่ที่นั่งอยู่ด้านข้างลอบกลอกตา ลำบากอะไรกันเล่า บิดาของเขาไม่รู้ดีกับท่านแม่ยิ่งกว่าเท่าใด แน่นอนว่าย่อมต้องดีกว่าฉู่กั๋วกงผู้นี้ไม่รู้กี่เท่า หากไม่ใช่เพราะบิดาถูกปลดตำแหน่งและจากไป นางคงไม่อยากมาจินหลิงเมืองแย่ๆ นี่หรอก
เฉียวเฟยเยียนถอนหายใจ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว พี่สาวเองก็ไม่อยู่แล้ว ยังจะเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ทำไมอีกหรือ หากไม่ใช่เพราะ…หากไม่ใช่เพราะเลี้ยงเด็กทั้งสองอยู่เหลียงโจวไม่ไหว…ข้าคงไม่กล้ากลับมารบกวนพี่หนานกงกับพี่สาว แต่ไม่คิดว่า…ไม่คิดว่าพี่สาวจะจากไปแล้ว…”
หนานกงไหวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เยียนเอ๋อร์ มันผ่านไปแล้ว เจ้าวางใจ ข้าจะรักเชียนหนิงและเย่ว์อู่ให้เหมือนเป็นลูกของข้า”
“ขอบคุณพี่หนานกง ข้าจะอยู่ร่วมกันกับมั่วเอ๋อร์และชวี่เอ๋อร์ ฮุยเอ๋อร์ให้ได้ ยังจำได้…เมื่อครั้งชวี่เอ๋อร์ยังเด็กข้าเคยอุ้มเขาด้วย” เฉียวเฟยเยียนยิ้มทั้งน้ำตา เมื่อนึกถึงหนานกงชวี่ คิ้วหนานกงไหวขมวดมุ่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว มีท่าทีเหม่อลอย
เมื่อหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วกลับมาถึงจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง ข่าวจากเขตอิ้งเทียนก็ส่งมาถึงแล้ว มองข้อความในมือที่ได้รับมา รอยยิ้มของหนานกงมั่วเบิกบานราวกับดอกไม้ เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว “เรื่องอันใดไยจึงยิ้มดีใจเพียงนี้” หนานกงมั่วเม้มริมฝีปากยิ้ม เอ่ยตอบ “ข่าวดี ฉู่กั๋วกงโกรธหน้าดำหน้าแดง บุกไปช่วยสามแม่ลูกที่เขตอิ้งเทียนแล้ว”
“…” คุณหนู พระชายาซื่อจื่อ ใช้น้ำเสียงเช่นนี้เอ่ยถึงบิดาของตนจะดีหรือ
เว่ยจวินมั่วยื่นมือไปคว้านางเข้าสู่อ้อมแขน อ่านข้อความในมือของนางด้วยท่าทีนี้ เมื่อบ่าวรับใช้เห็นความใกล้ชิดของซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อจึงก้มหน้าและถอยออกไป หนานกงมั่วเหลือบมองเขาคร้านจะต่อต้าน เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ท่านว่า…คนอย่างฉู่กั๋วกง ไยจึงชอบสตรีเช่นเฉียวเฟยเยียน” ครั้งนี้แตกต่างจากเจิ้งซื่อ หนานกงมั่วมั่นใจว่าต่อให้เจิ้งซื่อถูกโบยหนักเพียงใดหนานกงไหวก็ไม่มีทางพุ่งเข้าไปช่วยนางถึงในศาลเช่นนี้
เว่ยจวินมั่วครุ่นคิดจริงจังอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยตอบ “คงเพราะว่า…สายตามีปัญหา เพียงแต่ บุรุษส่วนใหญ่ชอบสตรีท่าทางบอบบางอ่อนโยนดูน่าสงสาร” แม้สตรีมากมายจะไม่ชอบสตรีเช่นเฉียวเฟยเยียน แต่บุรุษนั้นชื่นชอบคนที่ดูน่าสงสารราวกับบุรุษคือที่พึ่งและโลกทั้งใบของนาง เพราะในสายตาของสตรีเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษเช่นไรต่างก็ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นวีรบุรุษยิ่งใหญ่หาที่เปรียบไม่ได้ เติมเต็มในศักดิ์ศรีของการเป็นบุรุษ
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว ยิ้มจนตาหยี เอ่ยถาม “เช่นนั้น ซื่อจื่อเล่า”
เว่ยซื่อจื่อเอ่ยตอบสบายๆ “ข้าชอบเพียงอู๋สยา”
“อ้อ” มือเล็กซนนั้นขยับวาดวงกลมอยู่บนหน้าอกของเว่ยจวินมั่ว น้ำเสียงของหนานกงมั่วอ่อนโยนและนุ่มนวลขึ้น “ท่านซื่อจื่อ…ไม่รู้สึกว่าสตรีที่อ่อนหวาน มีเสน่ห์ บอบบางจะดีกว่าหรือ” ดวงตาสีม่วงของเว่ยจวินมั่วจ้องมองหญิงสาวตรงหน้านิ่ง เลิกคิ้วเอ่ย “อู๋สยาอ่อนหวานบอบบางได้หรือไม่”
หนานกงมั่วยังคงยิ้มด้วยท่าทางเย้ายวน “หากซื่อจื่อชอบ แน่นอน…ว่าได้” มือเล็กไต่ขึ้นไปบนลำคอของใครบางคน เอ่ยเสียงหวาน “ซื่อจื่อคิดว่าข้าสวยหรือไม่”
เว่ยซื่อจื่อจ้องริมฝีปากสวยของนางเขม็ง เอ่ยขึ้นอย่างเผลอไผล “เหมือนว่า…จะไม่เลว”
“เพียงไม่เลวเท่านั้นหรือ” พระชายาซื่อจื่อพ่นลมหายใจออกมา เอ่ยเสียงเบา
แขนข้างหนึ่งของเว่ยซื่อจื่อกอดเอวของนางเอาไว้แน่น เอ่ยกระซิบ “ความจริง อู๋สยายังดีได้มากกว่านี้อีก”
“หืม อย่างไรหรือ” ริมฝีปากสวยเคลื่อนเข้าใกล้เขาเรื่อยๆ ดวงตาสีม่วงเข้มขึ้น เว่ยซื่อจื่อควบคุมลมหายใจไม่ได้ชั่วขณะ จับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ช้าๆ
“หึๆ…ซื่อจื่อ เป็นอย่างไรบ้าง” รอยยิ้มหวานเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นมา หนานกงมั่วรีบลุกขึ้นขยับตัวออกห่างจากเขา