ตอนที่ 285 ถอดถอนออกจากตระกูล (2)
แต่หนานกงไหวนั้นต่างออกไป เขาเป็นหนึ่งในวีรบุรุษผู้ร่วมก่อตั้งประเทศที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คน ฮ่องเต้ไม่มีทางกำจัดเขาเพียงเพราะเรื่องส่วนตัว หากจัดการลงไปแน่นอนว่าทุกคนคงปรบมือยินดี แต่อนาคตในหน้าประวัติศาสตร์อาจมีคนคิดว่าฮ่องเต้ผู้นี้ต้องการกำจัดวีรบุรุษให้สิ้นซาก จากประโยคนี้ ตอนนี้หนานกงไหวนับว่าเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ต่อชื่อเสียงของฮ่องเต้ที่ยังเหลืออยู่ ขอเพียงหนานกงไหวไม่คิดกบฏ ไม่ข้ามเส้นที่ฮ่องเต้ขีดเอาไว้ ฮ่องเต้ไม่มีทางจัดการเขาง่ายๆ
เมื่อข่าวนี้ถูกส่งไปยังจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องนั้น หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วกำลังนั่งดูบัญชีอยู่ด้วยกัน คุณชายเว่ยนับว่าเป็นผู้รอบรู้ทั้งบุ๋นและบู้ แต่กลับไม่มีความอดทนต่อบัญชีพวกนี้ เมื่อก่อนทำอันใดไม่ได้ แม้จะมีลิ่นฉังเฟิงคอยช่วย แต่ยังมีหลายอย่างที่เขาจำเป็นต้องจัดการด้วยตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้มีภรรยาที่เชี่ยวชาญเรื่องการจัดการทรัพย์สินแล้ว คุณชายเว่ยพลันรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นมากทีเดียว น่าเสียดายหนานกงมั่วกลับไม่ยอมให้เขาเป็นอิสระ ขอเพียงมีเวลาจะต้องจับมานั่งทำบัญชีด้วยกัน ต่อให้เว่ยจวินมั่วดูไม่เข้าหัวเลยสักตัวก็ต้องนั่งดูต่อไป
สองวันมานี้เว่ยซื่อจื่อสร้างความสุขให้ตนเองได้หนึ่งอย่าง เมื่อนางตั้งใจดูบัญชีไม่ว่าเขาจะทำอันใดนางก็จะไม่สนใจเขา ขอเพียงไม่เกินขีดความอดทนของนาง ดังนั้นเว่ยซื่อจื่อจึงขอนางดูบัญชีเล่มเดียวกัน พลางโอบกอดลูบคลำไปด้วย มีความสุขเป็นที่สุด
“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ” แม่นมหลานรีบเดินเข้ามา มองเห็นทั้งสองจึงรีบก้มหน้าลง ขณะกำลังเตรียมถอยออกไป หนานกงมั่วยกมือปัดมือของใครบางคนออก ยืดตัวขึ้น เอ่ย “แม่นมหลาน เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” แม่นมหลานกัดฟันเอ่ย “รายงานพระชายาซื่อจื่อ นายท่านรับ…คุณชายคุณหนูมาอยู่ในจวนแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมหลานใช้ความอดทน ในที่สุดก็ไม่หลุดปากเอ่ยคำว่าสารเลวออกมา
หนานกงมั่วหลุบตาครุ่นคิด หันกลับไปถามเว่ยจวินมั่ว “ท่านว่า ครั้งนี้จะเป็นรักแท้หรือไม่”
เว่ยซื่อจื่อครุ่นคิดอยู่นาน เอ่ยขึ้น “ครั้งนี้…คงจะจริงแล้ว” หากไม่ใช่คงไม่ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ คงจะไม่เหมือนคราวเจิ้งซื่อที่ถูกเอามาเป็นจุดอ่อนอีกใช่หรือไม่ หนานกงไหวหากถูกคนนำมาเป็นจุดอ่อนง่ายเพียงนั้น ไม่รู้ว่าจะตายไปแล้วกี่ครั้ง หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยเสียงเรียบ “รับกลับไปก็รับไปเถิด นั่นเป็นเรื่องที่พี่ใหญ่ของข้าต้องกังวล”
“แต่ว่า นายท่านบอกว่า…สองคนนั้นเป็นหลานชายหลานสาวของคุณหนูนะเจ้าคะ” นึกมาถึงตรงนี้แม่นมหลานก็โกรธจนน้ำตาแทบไหล “คุณหนูมีน้องสาวที่ไร้ยางอายเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน คุณหนูจากไปหลายปีแล้ว นายท่านยังย่ำยีนางถึงเพียงนี้ หากมีดวงวิญญาณบนสวรรค์จริงๆ คุณหนูจะสงบสุขได้เช่นไรเจ้าคะ”
“หลานชาย หลานสาวงั้นหรือ” หนานกงมั่วใบหน้าทะมึน ถ้วยชาในมือที่พึ่งถูกยกขึ้นมาถูกเขวี้ยงกระแทกลงกับพื้น สาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูตกใจจนหน้าซีด รีบหลุบตาลงไม่กล้ามองเข้าไปด้านใน เว่ยจวินมั่วยื่นมือไปจับมือบางของนาง เอ่ยเสียงเบา “โมโหไปทำไมกัน หากเจ้าไม่ชอบ ข้าให้คนไป…”
หนานกงมั่วส่ายหน้า ยิ้มเย็น “เกรงว่าเขาไม่ได้ต้องการเพียงย่ำยีท่านแม่ แต่คิดจะใช้ประโยชน์จากข้าเสียมากกว่า”
แม่นมหลานชะงัก เอ่ย “คุณหนู อย่างไรหรือเจ้าคะ”
หนานกงมั่วกล่าว “หลานชายหลานสาวของท่านแม่ นั่นมิใช่ญาติผู้พี่ของข้าหรือ ยามนี้ยังเข้ามาอยู่ในบ้านของเรา หากมีเรื่องไหว้วานข้าผู้เป็นญาติผู้น้องจะไม่ไยดีได้หรือ เซียวเชียนหนิง เซียวเย่ว์อู่นั่น อายุพอสมควรแล้ว ควรแต่งงานออกเรือนได้แล้ว เฉียวเฟยเยียนถูกฮ่องเต้ลงโทษคัดบัญญัติสตรีแปดปีสิบปีก็คงไม่อาจแต่งงานใหม่ได้ ต่อให้นางได้แต่ง ชื่อเสียงเช่นนางสตรีใดเล่าจะอยากสนใจนาง”
“นี่นายท่าน…นายท่าน…” แม่นมหลานโกรธจนพูดไม่ออก เนิ่นนานกว่าจะเอ่ย “คุณหนูและคุณชายทั้งสองต่างหากที่เป็นสายเลือดของนายท่าน ไหนเลยจะมีคนที่ทำเพื่อคนอื่นแล้วมาทำลายครอบครัวตนเอง คุณหนูใหญ่ เรื่องนี้ท่านจะยอมให้มาแปดเปื้อนไม่ได้นะเจ้าคะ เฉียวเฟยเยียนนั่นมีชื่อเสียงเช่นไร บุตรีของนางจะดีได้หรือเจ้าคะ หากดีก็ดีไป หากอนาคตทำเรื่องผิดพลาดอันใดจะเสื่อมเสียชื่อเสียงของคุณหนูไปด้วย คนอื่นจะพูดว่าเอาได้ นายท่านรู้อยู่แล้วว่าคนพวกนั้นไม่ได้เรื่องยังดึงดันอยากจะชักใยทำร้ายคุณชายและคุณหนูไปด้วย”
หนานกงมั่วยิ้ม “แม่นมวางใจเถิด ข้าไม่ได้ชอบเป็นแม่สื่อ จริงสิ หากมีเวลาแม่นมลองหาเวลากลับไปสักหน่อย บอกบ่าวในเรือน หากสองคนนั้นกล้ามาเหยียบเข้าเรือนจี้ชั่งแม้เพียงก้าวเดียว ไม่ต้องเกรงใจ โบยให้หนัก มีเรื่องอันใดข้าจะรับผิดชอบเอง” แม่นมหลานเช็ดน้ำตา “สมควรเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ให้ลูกของสตรีแซ่เฉียวผู้นั้นเข้ามาในเรือนจี้ชั่งมันจะแปดเปื้อนเรือนที่ถูกรักษาไว้อย่างดี”
เอ่ยต่ออีกไม่กี่ประโยค หนานกงมั่วก็อารมณ์ดีขึ้นมา เอนตัวพิงเว่ยจวินมั่ว เอ่ยถาม “แม่นม ท่านอยู่ข้างกายท่านแม่ข้ามาตลอด รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นหรือไม่”
แม่นมหลานพยักหน้า ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นแสดงความไม่ชอบใจออกมา เอ่ยตอบ “บ่าวติดตามคุณหนูมาตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่าต้องรู้อยู่แล้วเจ้าค่ะ”
“แม่นมเล่าให้ข้าฟังที”
“คือคุณหนู” แม่นมหลานหยุดคิดชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยต่อ “เดิมเฉียวเฟยเยียนผู้นั้นเป็นบุตรีของเชื้อสายรองของท่านปู่ของคุณหนู ยังไม่ถึงห้าขวบก็สูญเสียบิดามารดา ถูกเชื้อสายรองของท่านปู่รับกลับมาดูแล แม้ตระกูลเมิ่งเราจะมีจำนวนไม่น้อย แต่เชื้อสายหลักนั้นมีไม่มาก มาถึงรุ่นของคุณหนูมีเพียงคุณชายสามคนและคุณหนู เครือญาติเองก็มีบุรุษมากสตรีน้อย ดังนั้นตั้งแต่เล็กคุณหนูและเฉียวเฟยเยียนจึงเล่นด้วยกันอยู่บ่อยๆ…”
เดิมทีไม่มีอะไร เด็กสาวสองคนที่เติบโตมาด้วยกันแต่เพราะนิสัยต่างกันจึงไม่ได้สนิทถึงขั้นกินนอนด้วยกันได้ ความสัมพันธ์พี่น้องก็มิได้แย่ เพียงแต่ยามนั้นบ้านเมืองวุ่นวาย ฮ่องเต้ยกทัพทำศึกสงคราม เมิ่งซื่ออายุสิบหกในปีนั้นเป็นปีที่กองทัพของฮ่องเต้ตีมาถึงที่ตั้งของตระกูลเมิ่ง ตระกูลเมิ่งเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายนับร้อยปี คิดว่าฮ่องเต้มีความสามารถรวบรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวได้ แน่นอนว่าย่อมต้องช่วยเหลือเต็มที่ เพียงแต่ในโลกที่วุ่นวายและโกลาหล การมีพลทหารมีความสามารถจึงจะนับว่ามีประโยชน์ ฮ่องเต้เห็นถึงความสำคัญในชื่อเสียงของตระกูลเมิ่งจึงคิดอยากเชื่อมสัมพันธ์ทำการหมั้นหมาย
ฮ่องเต้ก็คือเซี่ยอ๋องในยามนั้นที่อายุมากแล้ว อีกทั้งยังมีคู่แท้เยี่ยงพระชายาเซี่ยอ๋อง แน่นอนว่าไม่มีความต้องการนั้น ผู้สืบทอดเซี่ยอ๋องก็คือองค์รัชทายาทในยามนั้นก็แต่งงานแล้ว ด้วยฐานะและชื่อเสียงของตระกูลเมิ่ง คุณหนูใหญ่ตระกูลเมิ่งย่อมไม่มีทางแต่งไปเป็นอนุภรรยาได้แน่ หรือจะให้แต่งกับคนธรรมดาก็คงไม่ได้ ดังนั้นจึงนึกได้ว่ายามนั้นยังมีแม่ทัพหนุ่มในกองทัพอยู่ไม่กี่คน ตัวเลือกในตอนนั้นแน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงหนานกงไหวเพียงคนเดียว ในปีดังกล่าวมีแม่ทัพที่มีชื่อเสียงจำนวนมาก แต่มีแม่ทัพหนุ่มที่ดูมีอนาคตในกองทัพเพียงไม่กี่คน เดิมทีตระกูลเมิ่งยังไม่ตัดสินใจเลือก สุดท้ายเป็นหนานกงไหวที่เข้าไปสู่ขอเอง อีกทั้งยังขอพระชายาเซี่ยอ๋องช่วยสู่ขอให้ด้วย ตระกูลเมิ่งได้พิจารณาถึงความสามารถและความสัมพันธ์ของหนานกงไหวกับเซี่ยอ๋องจึงได้ยินยอม
หนานกงไหวเป็นแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดในกองทัพ แต่ความสามารถด้านการรบของเขากลับน่าทึ่ง หนึ่งในสงครามที่ทำให้หนานกงไหวมีชื่อเสียงในฐานะแม่ทัพที่มีความสามารถคือการรบชนะเป่ยหยวนที่มีจำนวนทหารหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นนายที่เจียงหนาน สงครามนี้ได้สร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า พรสวรรค์ด้านการศึกของหนานกงไหวชัดเจน แต่หากหนานกงไหวไม่ใช่บุตรเขยตระกูลเมิ่ง หากไม่ได้ตระกูลเมิ่งให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ สงครามในครั้งนั้นคงไม่อาจรุ่งโรจน์เพียงนั้น ชื่อเสียงของหนานกงไหวเพิ่มขึ้น เคารพต่อตระกูลเมิ่งมากขึ้น คนในตระกูลเมิ่งจึงวางใจรู้สึกว่าเลือกบุตรเขยไม่ผิด