ตอนที่ 284 ถอดถอนออกจากตระกูล (1)
“นานเพียงนั้นเลยหรือ” สิบปีมันก็สายเกินไปแล้วน่ะสิ
“เป็นเพราะหนานกงมั่ว” เซียวเย่ว์อู่เอ่ยขึ้นอย่างโกรธแค้น “หากไม่ใช่เพราะนาง พวกเราจะถูกจับเข้าห้องขังหรือ ซ้ำยังถูกโบยอีก ตอนนี้…”
เซียวเชียนหนิงส่งเสียงหยัน “มาเอ่ยเช่นนี้ในยามนี้จะมีประโยชน์อันใด หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าโง่ไปหาเรื่องหนานกงมั่ว…”
“พี่ใหญ่ ท่านอยู่ข้างใครกันแน่” เซียวเย่ว์อู่กระทืบเท้าเร่าๆ
เซียวเชียนหนิงเอ่ยเสียงเย็น “ตนเองโง่ยังจะกล้าเอ่ย เจ้าคิดว่าพวกเจ้าเข้าไปแสดงตัวเป็นญาติหนานกงมั่วจะยอมรับพวกเจ้างั้นหรือ นางไม่ใช่หนานกงไหวเสียหน่อย ตอนนี้ถูกนางจับวางอีกฝั่งไปแล้ว…” หนานกงมั่วฉลาดกว่าสตรีทั่วไปมาก ที่สำคัญคือนางปักใจเป็นศัตรูกับพวกเขาตั้งแต่เริ่มต้น ดังนั้นเมื่อท่านแม่และน้องสาวเข้าไปพูดคุย นางไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลใดๆ ก็สามารถจัดการพวกเขาจนย่ำแย่ได้ถึงเพียงนี้ ยามนี้นางเป็นลูกสะใภ้จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง ต่อให้หนานกงไหวโกรธเพียงใดก็ทำอันใดนางไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้หนานกงไหวเองก็คงมีเรื่องวุ่นวายให้จัดการอยู่ไม่น้อยทีเดียว
“เหอะ ต้องมีสักวัน นางจะได้เห็นดีกัน” เซียวเย่ว์อู่กัดฟันเอ่ย
เรื่องพิธีแต่งงานของหนานกงไหวและเฉียวเฟยเยียนนั้นยามนี้ไม่อาจเอ่ยถึงได้ แต่หนานกงไหวกลับทำให้ผู้คนต้องแตกตื่นอีกครั้ง เขาพาบุตรสองพี่น้องของเฉียวเฟยเยียนเข้ามาอยู่ในจวนฉู่กั๋วกงในฐานะหลานชายและหลานสาวของเมิ่งซื่อ ญาติผู้น้องของหนานกงชวี่และหนานกงฮุย เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนานกงมั่วพลันทุบถ้วยชาแตกในทันใด
ในจวนฉู่กั๋วกง หนานกงไหวกระอักกระอ่วนมองบุตรชายทั้งสองที่จ้องมองเขานิ่งไม่เอ่ยวาจา กระแอมไอเบาๆ ก่อนจะเอ่ย “นี่คือเชียนหนิงและเย่ว์อู่ เป็น…ญาติผู้น้องของพวกเจ้า ต่อไป พวกเขาจะมาอยู่ที่นี่” เซียวเชียนหนิงใบหน้าเย็นชาไม่เปิดปาก เซียวเย่ว์อู่กลับสดใสร่าเริง รีบเดินเข้าไปโค้งคำนับ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เย่ว์เอ๋อร์คารวะพี่ใหญ่ พี่รองเจ้าค่ะ”
หนานกงฮุยกะพริบตาปริบอย่างงงงวย ลูบแขนตนเองและขยับเข้าหาพี่ชาย
หนานกงชวี่เงยหน้ามองไปยังหนานกงไหว เอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “ท่านพ่อ ท่านแม่เคยเอ่ยเอาไว้ ไม่นับเฉียวซื่อเป็นญาติผู้น้องตั้งนานแล้ว”
“บังอาจ” หนานกงไหวเอ่ยเสียงเข้ม ไหนเลยเขาจะไม่รู้เรื่องคับข้องใจของตระกูลเมิ่งและเฉียวเฟยเยียน แต่เมิ่งซื่อจากโลกนี้ไปนานหลายปีแล้ว ไยต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก หากมิใช่เพราะหนานกงมั่วลูกไม่รักดีนั่นมาพังเรื่องของเขา ไยเขาต้องทำเช่นนี้ หนานกงชวี่นิ่งเงียบ หนานกงฮุยทนไม่ไหว ก้าวออกมาแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ พี่ใหญ่ไม่ได้เอ่ยอันใดผิด ข้าเองไม่เคยได้ยินว่ามารดามีญาติผู้น้องตั้งแต่เมื่อใด”
“หุบปาก เจ้าจะเคยได้ยินได้เช่นไร ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าคุยกับมารดาของเจ้ากี่คำกัน”
หนานกงฮุยดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธมองไปยังหนานกงไหว หากมิใช่เพราะบิดาพาเจิ้งซื่อเข้ามามารดาก็คงไม่ต้องตรอมใจตาย ไยมารดาจะต้องนอนป่วยอยู่ในเรือนจี้ชั่งทำให้มาดูแลพวกเขาไม่ได้
เมื่อหนานกงไหวเผชิญกับสายตาโกรธเกรี้ยวของบุตรชายก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา สีหน้าตึงเครียดพลางเอ่ย “ทำไมหรือ เจ้าจะไม่เชื่อฟังข้าเหมือนน้องสาวของเจ้าอย่างนั้นหรือ” หนานกงฮุยอ้าปากยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด หนานกงชวี่ก็ดึงเขาเอาไว้ ตอบเสียงเรียบ “ท่านพ่อคิดอยากรับคุณชายเซียวและแม่นางเซียวเอาไว้เป็นเรื่องของท่าน ไม่เกี่ยวกับลูก ลูกยังมีเรื่องอื่นจะหารือกับท่านพ่อ”
ไหนเลยหนานกงไหวจะมีกะจิตกะใจจะมาฟัง เอ่ยอย่างหงุดหงิด “ค่อยว่ากัน”
หนานกงชวี่เอ่ยเสียงเข้ม “เรื่องนี้สำคัญ ท่านพ่อดูคล้ายจะยุ่งตลอดเวลา”
หนานกงไหวจ้องไปยังบุตรชายคนโตที่ใบหน้าเย็นชาตรงหน้า ตั้งแต่เกิดเรื่องของเจิ้งซื่อ บุตรชายผู้นี้ก็เปลี่ยนไปจนเขาดูไม่ออก เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเพราะเรื่องของเจิ้งซื่อมีผลกับเขาเกินไปหรือเพราะบุตรชายผู้นี้นั้นแสร้งโง่มาตลอด ไม่นานหนานกงไหวจึงเอ่ย “เจ้าว่ามา”
หนานกงชวี่เอ่ย “ฮุยเอ๋อร์ใกล้จะอายุสิบเก้าแล้ว ควรแต่งงานได้แล้วขอรับ”
หนานกงไหวขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ รอแต่งฮูหยินคนใหม่ก่อนค่อยว่ากัน”
หนานกงชวี่ขมวดคิ้ว “ตามที่ลูกรู้ ฮูหยินที่ท่านพ่อเลือกผู้นั้นอย่างน้อยต้องใช้เวลาถึงสิบปีกว่าจะแต่งเข้าเรือนได้ ท่านพ่อหมายถึงจะให้ฮุยเอ๋อร์รอไปอีกสิบปีแล้วค่อยแต่ง หรือว่าท่านพ่อมีตัวเลือกอื่นแล้วหรือขอรับ เป็นหนึ่งในคนที่ท่านพ่อพากลับมาในวันนี้หรือไม่”
ได้ยินคำพูดของหนานกงชวี่ เซียวเย่ว์อู่และเซียวเชียนหนิงหันกลับไปมองหนานกงไหวโดยพร้อมเพรียง สายตาฉายแววประณาม ใบหน้าของเซียวเย่ว์อู่ไม่พอใจขึ้นมา หนานกงไหวกระอักกระอ่วนไม่น้อย เอ่ยขึ้นว่า “สองคนนั้น…ฝ่าบาทประทานมาให้” หลบสายตาของเซียวเย่ว์อู่ หนานกงไหวหันกลับไปมองหนานกงชวี่แทนแล้วเอ่ยตอบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ามีแผนเช่นไร” ชั่วพริบตา หนานกงฮุยก็อายุสิบเก้าแล้ว ควรแต่งงานแล้วจริงๆ หันกลับไปมองเซียวเชียนหนิงและเซียวเย่ว์อู่ เด็กสองคนนี้อายุสิบเจ็ดแล้ว ควรแต่งงานได้แล้วเช่นกัน การแต่งงานของเด็กสองคนนี้คงลำบากยิ่งกว่า
หนานกงชวี่เอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าตั้งใจจะให้เซี่ยโหวฮูหยินช่วยดูให้น้องรองขอรับ”
“เซี่ยโหวหรือ” สำหรับคนตระกูลเซี่ยและตระกูลเมิ่งนั้น หนานกงไหวรู้สึกกีดกันเล็กน้อย คนตระกูลเซี่ยดูถูกเขา เขาเองก็ดูถูกคนตระกูลเซี่ยเช่นกัน แต่เรื่องของสตรี จวนฉู่กั๋วกงนั้นไม่อาจเทียบตระกูลเซี่ยได้
หนานกงชวี่พยักหน้า “เห็นแก่หน้าท่านแม่และน้องสาว นายหญิงใหญ่เซี่ยคงไม่ปฏิเสธ บางที…ให้มั่วเอ๋อร์ขอองค์หญิงฉังผิงก็ได้ขอรับ”
อย่างไหนขายหน้ากว่ากันนะ ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนขายหน้า จวนฉู่กั๋วกงไม่มีสตรีที่ยกออกหน้าออกตาได้ นี่เป็นเรื่องหนักหนาทีเดียว
หนานกงไหวทำอันใดไม่ได้ เพียงเอ่ย “ช่างเถิด เจ้าไปจัดการเถิด ลองหารือกับมั่วเอ๋อร์ และเชียนหนิงกับเย่ว์อู่ พวกเขาพึ่งมาจินหลิง หากมีสิ่งไดไม่เข้าใจพวกเจ้าช่วยชี้แนะด้วย” หนานกงชวี่กวาดตามองเซียวเชียนหนิงและเซียวเย่ว์อู่สองพี่น้องด้วยสายตาเรียบนิ่ง ไม่เอ่ยตอบรับหรือปฏิเสธ ราวกับทั้งสองเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เดินสวนกันบนท้องถนน หนานกงฮุยเห็นว่าพี่ใหญ่ไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมา เขาจึงเงยหน้ามองหลังคาราวกับไม่ได้ยินอะไร อืม ดอกไม้แกะสลักบนหลังคาก็สวยดีนะ
เห็นท่าทีไม่ใส่ใจของสองพี่น้อง เซียวเชียนหนิงรู้สึกโกรธอยู่ในใจ เซียวเย่ว์อู่กลับมีรอยยิ้มเบ่งบานทั่วใบหน้า ราวกับไม่เห็นอะไรเลย เอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีตื่นเต้น “ท่านลุงวางใจเถิด อู่เอ๋อร์จะอยู่ร่วมกันกับพี่ใหญ่และพี่รองให้ดี พี่ชายทั้งสอง ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หนานกงชวี่มองใบหน้าสวยน่ารักของเด็กสาวแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ลูกยังมีธุระ ขอตัวแล้วขอรับ”
หนานกงฮุยเคาะจมูกเบาๆ “ท่านพ่อ ข้าต้องไปฝึกวรยุทธ์แล้วขอรับ” ฮึ หากมั่วเอ๋อร์ไม่ได้รับความลำบากมากมาย ต้องยิ้มสวยกว่านางหลายเท่าแน่
“…” รอยยิ้มสวยของเซียวเย่ว์อู่ชะงักค้างอยู่เช่นนั้น
ข่าวการรับเซียวเชียนหนิงและเซียวเย่ว์อู่เข้าจวนของหนานกงไหวแน่นอนว่าปิดไม่อยู่ โชคดีที่หนานกงไหวยังไม่ได้เลอะเลือนเพียงนั้น รับทั้งสองเข้ามาในฐานะหลานชายและหลานสาวของเมิ่งซื่อ แม้ความจริงทุกคนจะรู้อยู่แก่ใจก็ตาม ส่วนบุตรชายทั้งสองของเมิ่งซื่อนั้นทำราวกับ ‘ญาติผู้น้องทั้งสอง’ ไม่มีตัวตนอยู่
ความจริง ผลที่ตามมาในเรื่องนี้เป็นได้ทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก เปรียบได้โดยดูว่าใครที่มีความสำคัญกับฮ่องเต้มากกว่า ใครหน้าไม่อาย หากเป็นขุนนางขั้นสองสามคนอื่นๆ เกิดเรื่องเช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงเป็นบ้าตายเพราะขุนนางตรวจการเหล่านั้นแล้ว ต่อให้ฮ่องเต้จะคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เพื่อไม่ให้ขุนนางผู้ตรวจการเหล่านั้นมาวุ่นวายก็ต้องจัดการคนที่ทำผิด