ตอนที่ 283 คัดจนมือขาด (3)
นางในทั้งสองก้าวขึ้นมาด้านหน้าคารวะอย่างนอบน้อม “บ่าวคารวะฉู่กั๋วกงเจ้าค่ะ”
คนอื่นหากถูกฝ่าบาทประทานอนุภรรยาให้คงนับเป็นวาสนาอย่างยิ่ง แต่น่าเสียดายที่เดิมฮ่องเต้มิได้ชื่นชอบเรื่องเหล่านี้ และน้อยครั้งที่จะประทานสิ่งใดแก่ขุนนาง แต่ยามนี้ประทานให้แก่หนานกงไหวความหมายจึงแตกต่างออกไป หนานกงไหวรู้สึกใบหน้าชายิบ ในสายตาคนภายนอกคงราวกับฮ่องเต้กำลังบอกว่า หากเจ้าขาดสตรีข้าประทานให้เจ้าสองคนเลยยังได้ เจ้าอย่าได้ทำเรื่องสกปรกวุ่นวายพวกนั้นให้ข้าต้องขายหน้าอีกเลย
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา” ภายใต้สายตาของขุนนางคนอื่นๆ หนานกงไหวรับหญิงสาวงดงามสองคนกลับจวนฉู่กั๋วกงไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
เรื่องที่เกิดขึ้นในการประชุมยามเช้าของราชสำนักแม้หนานกงมั่วจะอยู่ที่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องแต่ก็รู้เรื่องในไม่ช้า เมื่อฟังบ่าวรายงานจบก็อดไม่ได้กระตุกยิ้มมุมปาก จากนั้นก็โบกมือให้คนออกไป หนานกงไหวเอาแต่เอ่ยถึงหน้าตาของจวนฉู่กั๋วกงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ยามนี้ผู้ที่ทำให้จวนฉู่กั๋วกงขายหน้าเป็นที่สุดก็คือเขามิใช่หรือ ขุนนางตรวจการทั้งหลายนั่นไม่รังเกียจที่จะได้เห็นความสนุกสนาน ยามนี้ทั่วทั้งจินหลิงมีใครไม่รู้ว่าฉู่กั๋วกงมีความสัมพันธ์กับหญิงม่าย อย่าว่าแต่คนจวนฉู่กั๋วกง แม้แต่หนานกงมั่วยังไม่อยากออกจากจวนเลย อย่างน้อยนางก็มีแซ่หนานกงติดตัวอยู่
องค์หญิงฉังผิงได้ยินข่าวนี้พลันส่ายศีรษะ ถอนหายใจออกมา “เหลวไหลสิ้นดี”
เหลวไหลนี้กลับเป็นหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วทั้งสอง หากไม่ใช่เพราะทั้งสองก่อเรื่องเอาไว้เรื่องราวคงมาไม่ถึงจุดนี้ เมื่อเห็นท่าทางทางว่านอนสอนง่ายของพวกเขา องค์หญิงฉังผิงกลับดุด่าไม่ออก จะว่าไปแล้วก็เพราะเฉียวซื่อและหนานกงไหวไม่รู้จักระมัดระวัง จะมาโทษเด็กทั้งสองคงไม่ได้
ทำได้เพียงเหลือบมองทั้งสองคน เอ่ยขึ้นว่า “เพราะอารมณ์ชั่ววูบของพวกเจ้า ดูสิ ตอนนี้แม้แต่จะออกไปข้างนอกอู๋สยายังไม่ยอมออกไปเลย เป็นความตั้งใจเดิมของพวกเจ้าด้วยหรือไม่”
หนานกงมั่วยิ้มตาหยี “เสด็จแม่เพคะ หม่อมฉันเพียงไม่อยากออกไปไหน หากมีเรื่องจริงๆ หม่อมฉันก็ไม่สนใจอยู่แล้วเพคะ” ผิวหน้านางหนา แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นตองให้องค์หญิงฉังผิงรู้ องค์หญิงฉังผิงส่ายหน้า กล่าวตอบ “รอให้ข่าวลือผ่านไปก่อนค่อยว่ากันเถิด หรือถ้าจะออกไปก็พาคนไปด้วยมากสักหน่อย โลกใบนี้น่ะ ข่าวลือเป็นดั่งมีดคม บางทีบีบคนให้ตายได้เลย”
หนานกงมั่วเม้มริมฝีปาก เอ่ย “เสด็จแม่ คนที่จะถูกข่าวลือบีบให้ตายได้มีเพียงคนอ่อนแอต่างหากเพคะ สำหรับคนที่ไม่รู้สึกผิดหรือไม่สนใจหน้าตา ไม่มีทางที่ข่าวลือจะมาทำอันใดได้หรอกเพคะ เสด็จแม่ดูสิ ข่าวลือพวกนั้นร้ายแรงเพียงใดก็ทำอันใดเฉียวซื่อไม่ได้สักนิด” องค์หญิงฉังผิงเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าว่านางไม่รู้สึกละอายหรือไม่สนหน้าตาเล่า”
“ยังไม่ชัดเจนอีกหรือเพคะ” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
องค์หญิงฉังผิงกล่าว “ต่อให้ข่าวลือทำอันใดนางไม่ได้ ต่อไปในภายภาคหน้าคงจะอยู่อย่างสงบสุขไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงที่เสด็จพ่อรับสั่งให้นางคัดบัญญัติสตรี ต่อให้สุดท้ายนางได้เข้าจวนโดยราบรื่น ในสังคมสตรีจินหลิงไหนเลยจะมีที่ให้นางยืน เด็กเช่นเจ้าลงมือได้ร้ายกาจยิ่งนัก”
หนานกงมั่วกะพริบตาปริบ เอ่ยด้วยท่าทางไร้เดียงสา “ลูกไม่ได้ตั้งใจนะเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงสัมผัสใบหน้างดงามของนางเบาๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อืม แม่เชื่อเจ้า”
ในเรือนที่พักของเฉียวเฟยเยียนสามแม่ลูก เฉียวเฟยเยียนกำลังนอนหมอบราบอยู่บนเตียงเคลื่อนไหวไม่ได้ นางเคยชินกับความสุขสบาย ไหนเลยจะรับการโบยได้จึงบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย เพียงขยับเบาๆ ก็เจ็บร้าวไปถึงกระดูก นี่ยังไม่ใช่สิ่งสำคัญ ที่สำคัญก็คือการถูกคนกดลงบนพื้นและโบยช่างน่าอับอาย แม้บิดามารดาจะจากไปตั้งแต่ยังเด็ก ผ่านโลกที่วุ่นวายมามาก แต่เฉียวเฟยเยียนสามารถเอ่ยได้ว่าชีวิตนี้ยังไม่เคยลำบากมาก่อน เป็นครั้งแรกที่ต้องบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้
“พี่หนานกง ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” เห็นหนานกงไหวเดินเข้ามา เฉียวเฟยเยียนฝืนตัวลุกขึ้น หนานกงไหวเดินเข้าไปกดนางเอาไว้ นั่งลงหัวเตียงมองไปยังนางไม่รู้จะเอ่ยปากเช่นไร เฉียวเฟยเยียนเงยหน้า เสียงอ่อนโยนเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นกังวล “พี่หนานกง ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ฝ่าบาท…กล่าวโทษท่านหรือไม่เจ้าคะ”
หนานกงไหวถอนหายใจ เอ่ยตอบ “เยียนเอ๋อร์ ฝ่าบาท…ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เจ้าคัดบัญญัติสตรีหนึ่งหมื่นรอบจึงจะแต่งงานได้”
“หนึ่งหมื่นรอบหรือเจ้าคะ” เฉียวเฟยเยียนหน้าซีด บัญญัติสตรีคืออะไร เป็นเพียงสิ่งที่เคยอ่านเมื่อสมัยยังเด็ก หลายปีมานี้ไม่รู้ว่าโยนทิ้งไปที่ใดแล้ว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่นางก็พอรู้ว่าหนึ่งหมื่นรอบไม่ใช่เรื่องง่ายเลยหากจะทำให้สำเร็จ “พี่หนานกง นี่… ทำไมฝ่าบาท…”
หนานกงไหวถอนหายใจพลางตอบว่า “โชคชะตายากที่จะคาดการณ์”
“แต่ว่า…แต่หากเป็นเช่นนี้…” ใบหน้าซีดขาวของเฉียวเฟยเยียนยิ้ม เอ่ยต่อ “เช่นนั้นข้า เช่นนั้นข้า…ก็แต่งกับพี่หนานกงไม่ได้แล้ว ข้ารู้…เพราะข้าไม่มีความโชคดีนี้ สิบปีก่อนก็เป็นเช่นนี้… ข้าควรรู้อยู่ก่อนแล้วว่าข้าไม่ควรร้องขอมากเกินไป ฮือ…พรุ่งนี้ข้าจะย้ายออกไปอยู่อารามแม่ชีนอกเมือง ตั้งใจคัดลอกหนังสือ เพียงแต่หนิงเอ๋อร์และอู่เอ่อร์… รบกวนพี่หนานกงช่วยดูแลพวกเขาด้วย”
หนานกงไหวขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงเข้ม “เอ่ยเหลวไหลอันใด อยู่ดีๆ จะย้ายออกไปอยู่อารามแม่ชีทำไมกัน เจ้าอยู่ที่นี่ตั้งใจคัดลอกไป ต้องมีสักวัน…สักวันต้องคัดเสร็จ ข้าเองก็จะคิดหาวิธี ขอเพียงฝ่าบาทพระทัยเย็นกว่านี้ก่อน”
“ข้า…ข้าไปขอร้องมั่วเอ๋อร์ดีหรือไม่” เฉียวเฟยเยียนพลันเอ่ยขึ้น “นางเป็นพระชายาซื่อจื่อจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง ข้าไปอ้อนวอนนาง อ้อนวอนองค์หญิงให้ช่วยเอ่ยคำดีๆ กับฝ่าบาทแทนข้า…”
เมื่อเอ่ยถึงหนานกงมั่ว หนานกงไหวพลันโมโหอยู่ในใจ เอ่ยเสียงเข้ม “ไม่ต้องเอ่ยถึงนาง หากไม่ใช่เพราะเด็กคนนั้น เรื่องจะมาถึงจุดนี้หรือ” แต่กลับลืมไปแล้วว่าหากไม่ใช่เพราะเฉียวเฟยเยียนสามแม่ลูกกระตุ้นให้หนานกงมั่วต้องโมโห หนานกงมั่วก็ไม่ใช่คนว่างมากพอจะมาหาเรื่องคนอื่น ยืมคำพูดของคุณหนูใหญ่หนานกงมาสักหน่อยว่า มาเป็นชู้ชาวบ้านยังไม่รู้จักถ่อมตนเวลาอยู่ต่อหน้าบุตรีของเขา สมควรได้รับสายฟ้าฟาดนั้นแล้ว
เฉียวเฟยเยียนจับดึงเขาเอาไว้ ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยความขมขื่น “พี่หนานกงอย่าได้โกรธนางเลย…เพราะโชคชะตาของข้า…”
ด้านนอก เซียวเชียนหนิง เซียวเย่ว์อู่สองพี่น้องได้ยินเสียงหอบหายใจดังออกมาจากด้านใน เซียวเย่ว์อู่ใบหน้าแดงระเรื่อกระทืบเท้าและเดินตามพี่ชายออกห่างประตู เมื่อกลับมาถึงเรือนเซียวเย่ว์อู่จึงเอ่ยถาม “พี่ใหญ่ ท่านว่าฉู่กั๋วกงผู้นั้นจะแต่งท่านแม่จริงหรือ จะรับเราไปที่จวนฉู่กั๋วกงหรือไม่”
“ไม่แน่นอน” ใบหน้าของเซียวเชียนหนิงเย็นชาและแข็งกร้าว ดวงตาฉายแววมาดร้าย
“หนานกงไหวชอบท่านแม่มากมิใช่หรือ ไยจึงไม่แน่นอนเล่า” เซียวเย่ว์อู่ขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างกระวนกระวาย นางเคยชินกับการเป็นเซี่ยนจู่ผู้สูงส่ง ยามนี้ต้องมาติดอยู่ในเรือนเล็กๆ หลังนี้ แม้แต่จะซื้อเครื่องประดับสักชิ้นยังต้องคิดแล้วคิดอีกเช่นนี้นางไม่ชอบเลย แม้หนานกงไหวจะไม่ใช่อ๋อง อย่างน้อยเขาก็เป็นกั๋วกง และท่านแม่เคยบอกว่าบ้านฉู่กั๋วกงนั้นเกรงว่าจะร่ำรวยกว่าเสด็จพ่ออีก เพียงดูสินเจ้าสาวเมื่อครั้งหนานกงมั่วแต่งออกเรือนก็รู้แล้ว นางรู้ดีว่าเมื่อครั้งที่เสด็จพ่อยังอยู่ได้เตรียมสินเจ้าสาวไว้ให้นางแน่นอนว่าไม่ได้มากมายเท่าหนานกงมั่ว
เซียวเชียนหนิงเอ่ย “เมื่อครู่เจ้าก็ได้ยินแล้วมิใช่หรือ คัดบัญญัติสตรีหนึ่มหมื่นรอบก่อนจึงจะแต่งงานได้ กว่าท่านแม่จะคัดเสร็จก็สิบปีแล้ว”