ตอนที่ 287 ลูกคนอื่นดีกว่า (1)
“พรุ่งนี้ไปถ่ายทอดพระราชโองการฝ่าบาทกัน” นางอยากรู้ว่าสองพี่น้องตระกูลเซียวเมื่อสูญสิ้นแซ่แล้วจะได้แซ่เฉียวหรือแซ่หนานกง
“ข้าจะไปกับเจ้า” เว่ยจวินมั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ได้”
ด้านจวนฉู่กั๋วกง เซียวเชียนหนิงนั่งดื่มชา เซียวเย่ว์อู่ยืนกระทืบเท้าอยู่ด้านข้าง ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยความไม่พอใจและขุ่นเคือง
“พี่ใหญ่ ท่านว่าพวกเขาหมายความเช่นไรกันแน่ ถึงได้ให้พวกเรามาอยู่ห่างไกลเช่นนี้” เซียวเย่ว์อู่กัดฟัน เรือนหลังเล็กๆ ให้พวกนางสองพี่น้องอยู่ ไม่เพียงห่างไกลและไม่สะดวกสบาย เพียงมองก็รู้แล้วว่าเป็นเรือนที่ไม่มีใครพักอาศัยมานาน ต่อให้ทำความสะอาดเพียงใดก็ยังดูร้าง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการตกแต่งภายในเรือน เทียบกับเรือนเล็กๆ ที่พวกเขาอาศัยอยู่ในจินหลิงไม่ได้ด้วยซ้ำ หลินซื่อผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าตั้งใจ
เซียวเชียนหนิงใบหน้าทะมึน เอ่ยเสียงเข้ม “ตอนนี้เราต้องพึ่งผู้อื่นยังจะทำอันใดได้”
เซียวเย่ว์อู่เอ่ย “ข้าจะไปบอกท่านแม่ ให้ท่านแม่พูดกับฉู่กั๋วกง”
เซียวเชียนหนิงเอ่ย “ตอนนี้แม้แต่ประตูฉู่กั๋วกงท่านแม่ยังเข้ามาไม่ได้ บอกไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด เจ้าคิดว่าหากท่านแม่แต่งเข้าจวนฉู่กั๋วกงไม่ได้ตลอดไป ฉู่กั๋วกงยังจะดีกับท่านแม่อยู่หรือ”
“เช่นนั้นจะทำเช่นไรเล่า” เซียวเย่วอู่เอ่ยอย่างหงุดหงิด
เซียวเชียนหนิงขมวดคิ้ว “เมื่อครั้งนั้นข้าเคยเอ่ยไปแล้ว ฉู่กั๋วกงนั้นพึ่งไม่ได้ ขอเพียงท่านแม่ทนไว้ทุกข์ให้เสด็จพ่อสักกี่ปี พวกเราเข้าเมืองหลวงมาขอร้องท่านลุงไม่กี่คนให้ช่วยอ้อนวอนต่อฝ่าบาท หากไม่สำเร็จรอปีหน้าข้าสอบเข้าราชสำนักได้ทุกอย่างก็จะดีขึ้น พวกเจ้ากลับไม่ฟัง ยามนี้คิดจะมาถามข้างั้นหรือ”
เซียวเย่ว์อู่ไม่พอใจ ส่งเสียงหยัน “ฮ่องเต้เป็นเช่นไรท่านไม่เคยได้ยินหรือ ท่านเคยได้ยินว่าใครที่ถูกปลดได้คืนตำแหน่งหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น…หากปีหน้าท่านสอบไม่ได้เล่า” นางอายุสิบเจ็ดแล้ว ยังต้องรอพี่ชายค่อยๆ ต่อสู้อีกหรือ นางไม่เคยต้องลำบาก นางรอไม่ได้ แม้ฉู่กั๋วกงจะมีตำแหน่งต่ำกว่าหวาหนิงจวิ้นอ๋องหนึ่งขั้น แต่ก็ดีกว่าให้พวกนางสามแม่ลูกต้องทนลำบากไปวันๆ
“ยิ่งไปกว่านั้น…ตอนนั้นท่านเองก็ไม่ต่อต้านมิใช่หรือ มิใช่ว่าอยากให้ฉู่กั๋วกงช่วยหรอกหรือ” เซียวเย่ว์อู่เหลือบมองพี่ชาย เอ่ยพึมพำ “เมื่อวานฉู่กั๋วกงบอกแล้วมิใช่หรือ อีกไม่นานจะส่งท่านไปเรียนที่สำนักศึกษากั๋วจื่อเจียน ต่อให้ท่านสอบไม่ได้ก็จะช่วยหาตำแหน่งที่เหมาะสมแทนได้”
คิ้วคมของเซียวเชียนหนิงขมวดเป็นปม ไม่เอ่ยสิ่งใด สิ่งที่เขาคิดแน่นอนย่อมแตกต่างจากน้องสาว เขาเคยเป็นถึงผู้สืบทอดจวิ้นอ๋อง เขาแซ่เซียว เคยเป็นเชื้อพระวงศ์ ยามนี้กลับต้องมาอยู่ที่จวนฉู่กั๋วกงในฐานะผู้อาศัย ชื่อเสียงของมารดายังเป็นเช่นนั้นไปอีก อนาคตข้างหน้าคงไม่ง่ายแล้ว
เซียวเย่ว์อู่กระซิบอยู่ข้างหูเขา “พี่ใหญ่ อย่ากังวลไปเลย ดูเหมือนฉู่กั๋วกงเองก็ไม่ได้ชอบหนานกงชวี่หนานกงฮุยสองพี่น้องนั่นเท่าใดนัก อนาคตหากท่านแม่เป็นฮูหยินฉู่กั๋วกงแล้ว อนาคตตำแหน่งฉู่กั๋วกงจะเป็นของใครก็ยังไม่แน่”
เซียวเชียนหนิงหันกลับมามองนางพลางครุ่นคิด เซียวเย่ว์อู่ไม่สนใจเขาแล้วลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “ข้าไม่สนอันใดหรอก ถึงเสด็จพ่อไม่อยู่แล้วแต่พวกเรายังต้องใช้ชีวิตต่อไป ข้าจะเป็นคุณหนูฉู่กั๋วกงอย่างเปิดเผย ข้าจะไปหาฉู่กั๋วกง…อืม ท่านลุงหนานกงแล้ว”
เซียวเชียนหนิงขมวดคิ้ว “เจ้าจะไปหาเขาทำไมกัน”
เซียวเย่ว์อู่เอ่ย “ให้เขาเปลี่ยนเรือนให้เราอย่างไรเล่า เรือนเล็กๆ ห่างไกลเพียงนี้ไม่เหมือนที่อยู่สักนิด ต้องเป็นหนานกงชวี่และหนานกงฮุยตั้งใจจัดให้แน่”
เซียวเชียนหนิงครุ่นคิด ลุกขึ้นพลางเอ่ยว่า “ข้าจะไปกับเจ้า”
เซียวเย่ว์อู่คล้องแขนพี่ชาย เอ่ยอย่างมีความสุข “ข้าได้ยินมาว่าจวนฉู่กั๋วกงมีเรือนใหญ่มากที่ว่างอยู่ ชื่อเรือนจี้ชั่ง สวยงามมาก เป็นเรือนที่หนานกงมั่วอยู่ก่อนจะออกเรือน ข้าจะอยู่ที่นั่น”
เซียวเย่ว์อู่ไม่เจอหนานกงไหว อย่างไรเสียเป็นถึงฉู่กั๋วกงคงไม่มีเวลาว่างอยู่กับบ้านทั้งวัน ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้มีสถานที่ที่นอกจวนฉู่กั๋วกงให้เขาต้องเป็นห่วง เซียวเย่ว์อู่ที่ไม่เจอหนานกงไหวอยู่ในห้องหนังสือจึงตรงไปยังเรือนจี้ชั่งด้วยความโกรธ เมื่อเห็นเช่นนั้น บ่าวในจวนฉู่กั๋วกงจึงรีบวิ่งไปรายงานหนานกงชวี่ที่เรือนลี่ฉิน
บ่าวในจวนฉู่กั๋วกงนั้นไม่ชอบเซียวเย่ว์อู่และเซียวเชียนหนิงสองพี่น้อง ไม่ว่าจะเป็นบ่าวที่เคยอยู่ฝ่ายหนานกงชวี่หรือเจิ้งซื่อก็ตาม มองเห็นสองพี่น้องนี้ล้วนรู้สึกไม่สบอารมณ์ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงท่าทางเย่อหยิ่งราวกับทุกคนติดหนี้เขาแปดร้อยตำลึงของเซียวเชียนหนิง เซียวเย่ว์อู่แม้จะดูสดใสร่าเริง แต่สาวใช้ที่อยู่ข้างกายนางต่างรู้ดีว่านิสัยนางนั้นไม่ดีเอาเสียเลย ดังนั้นบ่าวในจวนฉู่กั๋วกงจึงแอบนินทาถึงนิสัยแปลกประหลาดของสองพี่น้อง ยามนี้บ่าวในจวนฉู่กั๋วกงออกจากจวนล้วนถูกคนจับจ้อง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสองพี่น้องและมารดาของพวกเขาก่อขึ้นมาทั้งนั้น ไม่เพียงไม่รู้สึกละอายใจ ซ้ำยังทำราวกับตนเองเป็นใหญ่ไม่มีใครเทียบได้ ใครกันจะชื่นชอบคนประเภทนี้
เพิ่งมาถึงหน้าประตูเรือนจี้ชั่งก็ถูกขวางหน้าเอาไว้ บ่าวที่เฝ้าอยู่หน้าเรือนจี้ชั่งนั้นเป็นสินเจ้าสาวของหนานกงมั่ว ยามนี้ไม่นับว่าเป็นคนของจวนฉู่กั๋วกงแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความเกรงใจต่อเซียวเย่ว์อู่ เดิมเซียวเย่ว์อู๋ยังคิดจะพูดคุยดีๆ ไม่คิดว่าคนเฝ้าหน้าประตูจะไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย พลันโมโหขึ้นมา เอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “เป็นเพียงบ่าวเฝ้าประตู กล้าเสียมารยาทเพียงนี้เลยหรือ”
คนเฝ้าประตูผู้นั้นไม้แม้แต่จะชายตามอง เอ่ยเสียงเรียบ “ต่อให้เป็นบ่าวก็มิใช่บ่าวของแม่นางเซียว เรือนจี้ชั่งเป็นสถานที่ต้องห้าม ทั้งสองท่านเชิญกลับไปเถิด”
“สถานที่ต้องห้ามอันใดกัน เห็นได้ชัดว่าที่นี่คือจวนฉู่กั๋วกง หนานกงมั่วแต่งออกไปแล้วมีสิทธิ์อันใดมายึดเอาไว้” เซียวเย่ว์อู่เอ่ย
ผู้คนที่มุงดูอยู่รอบๆ กลอกตาอยู่ในใจ เจ้ารู้ด้วยหรือว่าที่นี่เป็นจวนฉู่กั๋วกง พูดราวกับว่าเจ้าเป็นหนึ่งเดียวในจวนฉู่กั๋วกงอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งไปกว่านั้นเรือนจี้ชั่งเป็นเรือนที่ฮูหยินเก็บไว้ให้คุณหนูใหญ่ ยามนี้ไม่นับว่าเป็นของจวนฉู่กั๋วกงแล้ว คนเฝ้าประตูปรายตาขึ้นมา เอ่ยถาม “ไม่รู้ว่าแม่นางเซียวเป็นใครในจวนฉู่กั๋วกงหรือ”
เซียวเย่ว์อู่โกรธจนหน้าแดง นางก็เป็นเพียงผู้ยืมฐานะหลานของเมิ่งซื่อเข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่เท่านั้น ไม่ใช่ใครที่สลักสำคัญเลย
คนเฝ้าประตูผู้นั้นราวกับรู้สึกสนุกขึ้นมาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าน้อยรู้ แม่นางเซียวเป็นบุตรีของบุตรีเชื้อสายรองของพี่น้องท่านปู่ของมารดาของคุณหนูใหญ่ของพวกเราใช่หรือไม่”
ทุกคนแสดงท่าทีว่าความสัมพันธ์ช่างห่างไกล พวกเขาฟังแล้วมึนหัว หลานสาวของฮูหยินอะไรกัน ลูกพี่ลูกน้องของคุณหนูใหญ่และคุณชายอย่างนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่าห่างไกลจนแทบไม่อาจนับญาติได้
“บังอาจ” เซียวเชียนหนิงที่ยืนอยู่ด้านข้างใบหน้าทะมึน เอ่ยเสียงดัง “ใครใช้ให้เจ้ามาเย้าแหย่เจ้านายตามอำเภอใจเช่นนี้” เอ่ยพลางยกเท้าถีบเข้าใส่บ่าวที่เฝ้าหน้าประตู คนเฝ้าประตูผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา เพียงเบี่ยงตัวหลบเบาๆ ก็หลบเท้าที่พุ่งเข้ามาอย่างง่ายดาย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ความหมายของคุณชายเซียวคือท่านไม่ใช่พี่ชายของบุตรีของบุตรีเชื้อสายรองของพี่น้องท่านปู่ของมารดาของคุณหนูใหญ่ของพวกเราอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นท่านมาจากไหนกันหรือ”
“…” ดีมาก ยิ่งใหญ่มาก
“สุนัขรับใช้” เซียวเชียนหนิงไหนเลยจะรับคำดูถูกเหยียดหยามได้ เอ่ยเสียงดังพร้อมพุ่งเข้าหาบ่าวรับใช้ที่เฝ้าหน้าประตู
“หยุด!” น้ำเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้น มองเห็นหนานกงชวี่เดินปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าถมึงทึง กวาดตามองพลางเอ่ยเสียงทรงอำนาจ “ยังไม่ลากตัวออกไปอีก” ในสายตาของข้ารับใช้ หนานกงชวี่นั้นน่าเกรงขามทีเดียว บ่าวรับใช้รีบพุ่งเข้าไปลากตัวเซียวเชียนหนิงออกมา คนเฝ้าประตูนั้นแน่นอนไม่มีใครสนใจเขา เพราะตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้ลงมือเลยแม้แต่นิดเดียว