ตอนที่ 288 ลูกคนอื่นดีกว่า (2)
เมื่อเซียวเย่ว์อู่เห็นพี่ชายถูกคนจับเอาไว้ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา “พี่ใหญ่ นี่ท่านทำอันใด เห็นอยู่ว่าบ่าวคนนี้กำลังรังแกพี่ชายของข้า”
หนานกงชวี่กวาดตามองทั้งสองคนนิ่งๆ “แม่นางเซียว คุณชายเซียว เรือนจี้ชั่งเป็นสินเจ้าสาวของน้องสาวข้า ไม่ได้เป็นของจวนฉู่กั๋วกง ในเมื่อท่านทั้งสองมาเป็นแขกจวนฉู่กั๋วกง แน่นอนว่าจวนฉู่กั๋วกงไม่มีทางดูแคลนทั้งสองท่าน แต่คงต้องขอให้ท่านทั้งสองรักษามารยาทความเป็นแขกบ้าง” อย่าได้สำคัญตัวไป
ชั่วพริบตาดวงตาของเซียวเย่ว์อู่พลันแดงขึ้น เซียวเชียนหนิงที่อยู่ด้านข้างเองก็โกรธจนหน้าดำคล้ำ สองพี่น้องถูกเลี้ยงมาไม่เคยต้องเป็นรองใครมาตั้งแต่เด็ก ก่อนหน้าที่หวาหนิงจวิ้นอ๋องจะถูกปลดตำแหน่งนั้นไม่เคยต้องรู้สึกคับอกคับใจเลยสักครั้ง ไหนเลยจะยอมรับวาจาเสียดสีซึ่งหน้าของหนานกงชวี่ได้ เซียวเชียนหนิงผลักบ่าวที่จับยึดตนเองออก เอ่ยเสียงเย็น “เจ้าหมายความเช่นไร”
“หมายความตามคำที่เอ่ย” หนานกงชวี่เอ่ยเสียงเรียบ
เซียวเชียนหนิงยิ้มเย็น เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “จวนฉู่กั๋วกงมีอะไรดีอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าข้าชอบที่จะอยู่ที่นี่หรือ”
หนานกงชวี่มิได้โกรธ กวาดไล่สายตาขึ้นลงมองเซียวเชียนหนิง เอ่ยราบเรียบ “ที่แท้เป็นจวนฉู่กั๋วกงเชิญทั้งสองท่านมาอย่างนั้นหรือ ทำให้ทั้งสองท่านต้องลำบากแล้วคงต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง จะไปเมื่อไหร่ก็บอกกันก็พอ”
“เจ้า!” ใบหน้างามของเซียวเชียนเย่ว์บิดเบี้ยวทันใด เดิมหนานกงไหวไม่มีแนวคิดจะรับพวกเขาเข้าจวนฉู่กั๋วกง เป็นเพราะมารดาบอกว่านางไม่รู้ว่าตนเองจะคัดหนังสือมากมายเช่นนั้นเสร็จเมื่อใด กังวลว่าจะไม่มีใครดูแลลูกทั้งสอง หนานกงไหวจึงได้เกิดความคิดที่จะรับทั้งสองเข้ามาดูแล หนานกงชวี่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ เซียวเชียนหนิงจึงรู้สึกทั้งอายทั้งโกรธ ยามนี้รู้ดีว่าชื่อเสียงของมารดาตนเองนั้นไม่ดี แม้อยากสู้กับหนานกงชวี่ตาต่อตาฟันต่อฟันก็ไม่มีความมั่นใจ
เซียวเย่ว์อู่ไหนเลยจะไม่รู้ว่าหนานกงชวี่ไม่ต้อนรับพวกนาง แต่ไม่มีทางยอมถูกหนานกงชวี่ไล่ออกไปอย่างแน่นอน กลอกตาหนึ่งรอบ เดิมเข้าไปยืนตรงหน้าหนานกงชวี่เอ่ยเสียงหวาน “พี่ใหญ่ ต่อไปพวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกัน ไยท่านจึงเอ่ยกับพี่ชายเยี่ยงนี้เล่า”
ดวงตาเย็นราบเรียบของหนานกงชวี่ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ เอ่ยตอบเสียงเรียบ “ในเมื่ออาศัยอยู่ในจวนฉู่กั๋วกง มีกฎบางอย่างที่ต้องบอกกับแม่นางเซียวเอาไว้”
ดวงตาของเซียวเย่ว์อู่วาววับขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่มีอันใดชี้แนะ อู่เอ๋อร์จะรับฟังเอาไว้เจ้าค่ะ”
หนานกงชวี่เอ่ยตอบ “แม้ตระกูลหนานกงจะเกิดมายากจน แต่ตระกูลมารดาเมิ่งซื่อนั้นเป็นตระกูลชนชั้นสูงที่สืบทอดต่อกันมา แม่นางเซียวแม้จะเป็นแขกมาพักอยู่ในจวนก็ต้องรักษาท่าทีของคุณหนูชนชั้นสูงเอาไว้บ้าง กิริยาวาจาทางที่ดีควรรักษาให้เพียบพร้อมไว้ อย่าได้ไปเอาแบบอย่างจากสตรีที่ไม่อาจยกยอออกหน้าเหล่านั้น เพื่อไม่ให้ทำลายชื่อเสียงของมารดาข้า ว่ากันว่า…แม่นางเซียวเป็นหลานสาวของมารดาข้าเช่นนั้นหรือ” รอยยิ้มหวานบนใบหน้าของเซียวเย่ว์อู่ชะงักค้าง หนานกงชวี่กลับไม่ทันสังเกต เอ่ยเสียงเรียบ “แม้ข้าจะไม่เคยเจอเฉียวฮูหยินมาก่อน แต่ได้ยินประชาชนชาวจินหลิงบอกเล่าต่อกันมาว่าฮูหยินผู้นั้นกระดูกบอบบางเสียยิ่งกว่าคณิกาชั้นยอดในหอนางโลม หากแม่นางเซียวเองก็บอบบางเช่นเดียวกับนางล่ะก็ ข้าจะสั่งบ่าวรับใช้ให้ยกน้ำแกงกระดูกหมูไปบำรุงทุกมื้ออาหาร
“คิกๆ” ในกลุ่มคน ไม่รู้ใครทนไม่ไหวหัวเราะออกมา คุณชายใหญ่ผู้เคร่งขรึมมาสิบกว่าปี ไม่คิดว่าเมื่อเอ่ยเรื่องน่าขันจะน่าสนใจถึงเพียงนี้ ที่สำคัญก็คือท่าทางเคร่งขรึมของคุณชายใหญ่นั้นทำให้คนรู้สึกว่าเขาไม่ได้กำลังดูถูกแม่นางเซียว เพียงแต่เขาคิดเช่นนั้นจริงๆ
“ท่าน…” ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นมารดาของใครเมื่อถูกเอ่ยเปรียบเทียบกับคณิกาในหอนางโลมก็เกินทนทั้งนั้น หลังจากสะอึกสะอื้น เซียวเย่ว์อู่ก็กระทืบเท้าเร่าหมุนตัวปิดใบหน้านองน้ำตาและวิ่งหนีไป
“หนาน กง ชวี่” เซียวเชียนหนิงโกรธจนดวงตาแทบถลนออกมา
หนานกงชวี่เอ่ยด้วยท่าทางเรียบนิ่ง “อาศัยผู้อื่นอยู่ก็ต้องสำนึกว่ากำลังอาศัยผู้อื่น” กวาดตามองผู้คน เอ่ยเสียงเรียบ “เรือนจี้ชั่งเป็นสมบัติของพระชายาผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียง ผู้ใดไม่เกี่ยวข้องไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้!”
“ขอรับ คุณชายใหญ่” ผู้คนมองส่งหนานกงชวี่เดินจากไป หันไปมองเซียวเชียนหนิงด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความยินดีที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์ สายตาที่เซียวเชียนหนิงมองไปยังหนานกงชวี่นั้นแทบพ่นพิษออกมาได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารับรู้ได้ว่าเมื่อเขาไม่มีตำแหน่งผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งหวาหนิงแล้วเขาก็ไม่มีอะไรเลย
ช่วงนี้อารมณ์หนานกงไหวไม่ได้ดีนัก แม้จะเพิ่งได้สตรีที่รักที่จากหายกันไปหลายปีกลับคืนมา แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่เขาตั้งใจเอาไว้ อย่างแรกเพราะเฉียวเฟยเยียนสามแม่ลูกบังเอิญเจอกับหนานกงมั่วบนถนนจนฐานะของทั้งสามนั้นถูกเปิดเผยก่อนเวลาอันควร หลายวันมานี้ไม่ว่าอยู่ในหรือนอกราชสำนัก ไม่ว่าเวลาไหนล้วนต้องเผชิญหน้ากับขุนนางผู้ตรวจการของฝ่าบาท กระทั่งเดินออกประตูจวนไป สายตาผู้คนที่มองมายังเขายังแปลกออกไป หลายปีมานี้สิ่งที่หนานกงไหวหวงแหนเป็นที่สุดนั่นคือหน้าตาและชื่อเสียง ยามนี้นับว่าถูกทำลายไปไม่น้อย ที่สำคัญก็คือขุนนางผู้ตรวจการพวกนั้นยังติดตามเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อย หนานกงไหวรู้ดีว่าฮ่องเต้จะไม่ดำเนินการใดๆ กับเขาในเรื่องนี้ แต่ถ้าถูกขุนนางผู้ตรวจการทำให้เรื่องวุ่นวายหนักเข้า ไม่แน่ว่าฮ่องเต้อาจกำจัดเยียนเอ๋อร์ทิ้งไป
และยังมีเด็กทั้งสองนั่น…อย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเยียนเอ๋อร์ หากตอนนั้นสามารถรับเยียนเอ๋อร์เข้าจวนได้ เกรงว่าลูกของพวกเขาก็คงจะอายุมากกว่าเด็กสองคนนี้สักหน่อย ฐานะของเด็กทั้งสองคนนี้ หลายเรื่องยังต้องไตร่ตรอง เดิมทีบุตรชายคนโตที่เชื่อฟังมาตลอดกลับแข็งข้อขึ้นมา มีท่าทีต่อต้านต่อเซียวเชียนหนิงและเซียวเย่ว์อู่ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หนานกงไหวจึงส่งเสียงหยัน หรือว่าชวี่เอ๋อร์จะเอาอย่างเจ้าเด็กมั่วเอ๋อร์ผู้นั้น ต่อต้านตนขึ้นมาด้วยเช่นกันอย่างนั้นหรือ นึกถึงหนานกงมั่วบุตรีคนโตหนานกงไหวพลันรู้สึกจุกอยู่ในลำคอทว่ากระอักเลือดไม่ออก เป็นบุตรีที่ยอดเยี่ยมของเขาแท้ๆ ทว่าเอาแต่ทำตัวเป็นปรปักษ์กับเขาอยู่ตลอด หากชวี่เอ๋อร์เองคิดจะเอาแบบอย่างน้องสาวคิดแข็งข้อกับเขาผู้เป็นบิดาผู้นี้ เช่นนั้นคงคิดผิดแล้ว
“ท่านลุงหนานกง” ด้านนอก เสียงเซียวเย่ว์อู่ดังขึ้น หนานกงไหวเงยหน้าขึ้นมา เอ่ยว่า “อู่เอ๋อร์ เข้ามาสิ”
เซียวเย่ว์อู่ผลักประตูเข้ามา ใบหน้าคล้ายคลึงกับเฉียวเฟยเยียนนั้นยิ้มหวาน หนานกงไหวเอ่ย “อู่เอ๋อร์ หลายวันนี้อยู่ในจวนฉู่กั๋วกงคุ้นชินแล้วหรือไม่” เมื่อเทียบกับเซียวเชียนหนิงที่มีนิสัยสันโดษและเก็บตัว หนานกงไหวก็ย่อมต้องชื่นชอบเซียวเย่ว์อู่ที่สดใสร่าเริงเสียมากกว่า เดิมมีบุตรีสองคน บุตรีคนโตนั้นไม่ถูกชะตากับตน บุตรีคนรองยังไม่ได้เรื่องอีก เมื่อเห็นเซียวเย่ว์อู่ที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับเฉียวเฟยเยียน หนานกงไหวจึงเกิดความรู้สึกบิดาใจดีที่ได้เจอกับบุตรีเป็นครั้งแรกขึ้นมา
เซียวเย่ว์อู่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่และพี่รองดีกับอู่เอ๋อร์มากเลยเจ้าค่ะ”
หนานกงไหวพยักหน้า เอ่ย “นิสัยของชวี่เอ๋อร์นั้นเย็นชาอยู่บ้าง หากมีเรื่องอันใดพวกเจ้าอย่าได้เก็บเอามาใส่ใจ” เรื่องที่เกิดในจวนฉู่กั๋วกงมีหรือหนานกงไหวจะไม่รู้ เพียงแต่ยามนี้เห็นท่าทางของเซียวเย่ว์อู่ที่ไม่ได้มีท่าทีร้องเรียนแต่กลับเอ่ยถึงหนานกงชวี่และหนานกงฮุยในทางที่ดี ในใจนั้นรู้สึกดีต่อนางขึ้นมามาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องเรือนจี้ชั่งเจ้าอย่าได้กล่าวโทษชวี่เอ๋อร์ เรือนนั้นมารดาของเขาเก็บเอาไว้เป็นสินเจ้าสาวให้มั่วเอ๋อร์ ยามนี้นับว่าเป็นทรัพย์สินของจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับจวนของเรามากนัก”
เซียวเย่ว์อู่หลุบตาลง เอ่ยอย่างละอาย “เป็นอู่เอ๋อร์เองที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วยังวิ่งแจ้นไปที่นั่น…”
หนานกงไหวเอ่ยถาม “อู่เอ๋อร์มาที่นี่มีเรื่องอันใดอยากพูดหรือไม่”