ตอนที่ 292 ถ้าไม่ตบนางจะคันมือ (2)
หนานกงไหวถอนหายใจ เอ่ยขึ้นว่า “เด็กคนนั้นนิสัยแปลกประหลาดมาตั้งแต่เด็ก แม้แต่วาจาของข้านางก็ไม่เคยฟัง ทำให้พวกเจ้าต้องลำบากแล้ว” เฉียวเฟยเยียนเอ่ยทั้งน้ำตา “มั่วเอ๋อร์…นางจะโกรธจะเกลียดข้าก็ไม่เป็นไร แต่นางจะตัดอนาคตของเชียนหนิงเช่นนี้ได้เยี่ยงไร อีกทั้งต่อไปอู่เอ๋อร์จะหาครอบครัวแต่งงานได้เยี่ยงไร ฮือ…เพราะข้า เป็นเพราะข้าทำให้พวกเขาต้องลำบาก ข้าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออันใดกัน”
“เยียนเอ๋อร์ เจ้าอย่าวู่วาม” มองเฉียวเฟยเยียนที่ร้องไห้อย่างเจ็บปวด หนานกงไหวเองก็ทนไม่ไหวรีบเอ่ยปลอบ “ไม่เป็นไร จะต้องมีวิธีอย่างแน่นอน”
เฉียวเฟยเยียนส่ายหน้า “ยังจะมีวิธีใดอีกหรือ เชียนหนิงถูกฝ่าบาทเพิกถอนแซ่สกุล ต่อไปก็…ก็นับว่าเปลี่ยนแซ่สกุล ไม่อาจเข้าสู่ราชสำนักเป็นขุนนางได้ อู่เอ๋อร์ยิ่ง…ฮือ….ไม่ ข้าจะไปหามั่วเอ๋อร์ ข้าจะไปถามนางว่าไยจึงทำเช่นนี้ หากนางมีความแค้นก็มาลงที่ข้าสิ”
“เยียนเอ๋อร์” หนานกงไหวกอดเฉียวเฟยเยียนที่กำลังพุ่งตัวออกไปด้านนอก เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เยียนเอ๋อร์…ราชโองการนั้นเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท ไร้ประโยชน์ เจ้าอย่าโวยวายเลย หากโวยวายต่อไปฝ่าบาทคงไม่อาจทนต่อเจ้าแล้ว”
เฉียวเฟยเยียนชะงัก เอ่ยถามด้วยท่าทีเปราะบาง “ทำไมกัน ข้าเพียงชอบพี่หนานกงเท่านั้น…ข้าทำอันใดผิดหรือ”
“เจ้าไม่ผิด” หนานกงไหวกอดนางเอาไว้ เอ่ยอย่างอ่อยโยน “ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเยียนเอ๋อร์…”
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เพราะคนทั่วไปบนโลกไม่อาจเข้าใจความรักระหว่างเรา” เสียงหัวเราะสดใสดังเข้ามาจากด้านนอก “ฮ่าๆ ทั่วทั้งโลกก็ไม่เข้าใจพวกเรา ข้าก็จะทิ้งคนทั้งโลกเพื่อเจ้า เยียนเอ๋อร์ ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ใคร” สีหน้าของหนานกงไหวพลันเปลี่ยนไป พุ่งตัวออกไปยังประตูอย่างรวดเร็ว ทุกคนออกมาจากประตูใหญ่ เห็นคู่ชายหญิงนั่งอยู่บนชายคาที่มุมหนึ่งของเรือน หญิงสาวอิงอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม ขาทั้งสองข้างที่หย่อนลงแกว่งไกวไปมาอย่างเป็นอิสระ เพียงแต่มือเรียวขาวผ่องราวกับหยกข้างหนึ่งนั้นกำลังบีบปลายคางกระด้างของบุรุษข้างๆ ดูแล้วเหมือนคุณชายเกเรกำลังหยอกเล่นอยู่กับสตรีไร้เดียงสา หากคนอื่นเห็นคงบอกว่า สลับบทบาทแล้ว
เว่ยจวินมั่วจับมือเล็กที่เล่นซนบนใบหน้าของเขาเอาไว้ลงมา ส่งสายตาตักเตือนไปให้ จากนั้นจึงส่งสัญญาณให้นางมองลงไปด้านล่าง ที่เรือนด้านล่างนั้นหนานกงไหวโกรธจนใบหน้าเขียวปั๊ดไปนานแล้ว
“หนานกงมั่ว!” หนานกงไหวกดเสียงต่ำด้วยความโกรธ “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
หนานกงมั่วยิ้มตาหยีพิงอยู่ในอ้อมแขนของเว่ยจวินมั่ว เอ่ยด้วยท่าทางน่ารัก “ตอบท่านพ่อ บังเอิญเดินผ่านลูกนึกว่ามีนักแสดงมีชื่อเสียงจากไหนมาเรียบเรียงเรื่องราวอยู่ที่นี่ ไม่คิดว่า…จะเป็นท่านพ่อนี่เอง” น้ำเสียงใสของคุณหนูหนานกงไม่อาจทำให้คนสัมผัสได้ถึงความคาดไม่ถึงของนางด้วยซ้ำ
“ลงมา” หนานกงไหวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
หนานกงมั่วเลิกคิ้วสวย เว่ยจวินมั่วที่ซ้อนอยู่ด้านหลังพานางลอยลงมายังพื้นเบาๆ
หนานกงมั่วที่ยังพิงเว่ยจวินมั่วเอาไว้ กวาดตามองที่นี่ “สี่คนครอบครัว” หนานกงไหวกระอักกระอ่วนทั้งโกรธแต่ก็ปล่อยไปไม่ได้ สองพี่น้องนั้นแสดงความไม่พอใจออกมาตรงๆ ส่วนเฉียวเฟยเยียน…ไม่พูดไม่ได้เลยว่าความอดทนของเฉียวเฟยเยียนนั้นไม่เลวเลย หากเป็นคนอื่นคงวิ่งเข้ามาฉีกหนานกงมั่วเป็นชิ้นๆ แล้ว แต่เฉียวเฟยเยียนยังคงยืนน้ำตานองหน้า ราวกับหัวใจสลาย หนานกงมั่วเบียดตัวเข้าหาเว่ยจวินมั่วโดยไม่รู้ตัว นางไม่กลัวสตรีเสแสร้งเช่นนี้ แต่หากไม่สามารถบีบให้ตายคนเช่นนี้ก็น่าขยะแขยงไม่เบา
คุณชายเว่ยก้มลงมองนาง คิ้วคมเลิกขึ้นเล็กน้อยดึงนางไปอยู่ด้านหลังตนเอง จนเฉียวเฟยเยียนที่อยู่ด้านข้างเงียบๆ ต้องกระตุกยิ้มมุมปาก ท่าทางหวาดกลัวราวกับข้ารังแกเจ้าแบบนี้หมายความเช่นไรหรือ เห็นได้ชัดว่านางกำลังรังแกเราสามแม่ลูกไม่ใช่หรือ ยามนี้เฉียวเฟยเยียนได้แต่แปลกใจ ดวงตาของเว่ยซื่อจื่อนั้นเพราะสีตามีปัญหาจึงส่งผลให้การมองเห็นมีปัญหาไปด้วยหรือ
หนานกงไหวจ้องมองบุตรีและบุตรเขยด้วยใบหน้าไม่น่ามอง เอ่ยเสียงหนัก “ว่ามาสิ พวกเจ้าคิดจะทำอันใดกันแน่”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยเสียงเนิบช้า “ท่านพ่อ เห็นบุตรีที่แต่งออกเรือนไปแล้วต่อให้ไม่ชอบมากเพียงใดก็ไม่ควรใช้น้ำเสียงหงุดหงิดเช่นนี้ให้คนต้องเสียใจสิ หรือว่า เพราะพวกเราไม่ระวังมาเห็นท่านพ่อกับเฉียวฮูหยินพลอดรักกัน ทำให้ท่านพ่อเขินอายหรือเจ้าคะ แต่ตอนที่พวกท่านกำลังอ้อยอิ่งก็ไม่ได้หลบซ่อนใครนี่ ที่นี่ยังมีอีกตั้งสองคนอยู่ด้วยมิใช่หรือ หรือว่าท่านพ่อรู้สึกอายกับข้าและชิงสิงเท่านั้น ไม่เป็นไรนะเจ้าคะ พวกเราเป็นบุตรีและบุตรเขยผู้รู้แจ้งและจิตใจกว้างขวาง อย่าว่าแต่อยู่ในบ้าน ต่อให้พวกท่านไปเดินโอบกอดกันอยู่กลางถนนพวกเราก็ไม่ว่าอันใด ท่านซื่อจื่อ ท่านว่าใช่หรือไม่”
เว่ยซื่อจื่อสีหน้าเฉยเมย “พระชายาซื่อจื่อกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
หนานกงมั่วยิ้มเขินอาย หันไปยักไหล่ให้หนานกงไหว “ท่านดูสิเจ้าคะ”
สีหน้าของหนานกงไหวเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวคล้ำ พูดไม่ออกชั่วขณะ ยามนี้ในที่สุดเฉียวเฟยเยียนก็ได้สติ ทว่าต้องหน้าแดงเพราะคำพูดของหนานกงมั่ว
“มั่วเอ๋อร์” เฉียวเฟยเยียนก้าวขึ้นมาด้านหน้าสองก้าว เอ่ยทั้งน้ำตา
“หยุด!” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ หันกลับไปมองสำรวจเฉียวเฟยเยียนอย่างแปลกใจอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านใช้แป้งอันใดหรือ”
“อะ…อะไรนะ” เฉียวเฟยเยียนชะงัก ถูกคำถามที่ไม่คาดคิดทำให้มึนงง หนานกงมั่วเอ่ย “อยากถามท่านตั้งนานแล้ว ท่านใช้แป้งอันใด ร้องไห้ตั้งแต่เช้าจนเย็นเครื่องหน้าก็ยังไม่เลือน อืม ไม่ใช่สิ ต้องถามว่าท่านมีวิธีการอย่างไรที่รักษาท่าทีน้ำตาคลอทว่าไม่ร่วงออกมาเช่นนี้เอาไว้ได้ตลอดเวลา รับลูกศิษย์หรือไม่ ถ้าน้ำตาของท่านไม่ร่วงออกมา มันถูกเก็บเข้าไปใช้ครั้งหน้าหรือว่าระเหยไปกับอากาศหรือ ดวงตาจะเจ็บหรือไม่”
“…”
ท่าทางน่าสงสารที่เฉียวเฟยเยียนแสดงออกมาพลันแข็งค้าง ทว่าน้ำตาถึงเวลาก็เก็บกลับคืนไปจริงๆ เพียงแต่ขอบตายังคงแดงระเรื่อ แลดูน่าสงสารอยู่ดี
เมื่อเห็นหนานกงมั่ว เย่ว์อู่และเชียนหนิงที่ไร้ซึ่งแซ่สกุลแทบอยากพุ่งตัวเข้าหา แม้เมื่อครู่ถูกโบยไปยี่สิบไม้ต่อให้เบามือแล้วแต่ก็ยังเจ็บแทบตาย ดังนั้นการพุ่งเข้าหาในยามนี้คงมากเกินไป ทำให้แม่นางเย่ว์อู่เจ็บจนต้องแยกเขี้ยวยิงฟันเอ่ย “หนานกงมั่ว พวกเราไปมีความแค้นอันใดกับเจ้าจึงต้องทำร้ายเราเช่นนี้ เจ้ามันร้าย…”
แสงสีเงินวาดผ่านบนพื้น ปลายกระบี่แหลมคมเย็นยะเยือกหยุดอยู่ที่ลำคอของนาง เงยหน้าขึ้นไปก็เห็นเพียงเว่ยจวินมั่วที่ก้มมองต่ำลงมายังนาง เย่ว์อู่หัวใจสั่นระริกไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดอีก
หนานกงไหวโมโห เอ่ยเสียงดัง “หนานกงมั่ว หากเห็นสมควรแล้วเจ้าจงหยุดเสีย ผู้น้อยมายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
หนานกงมั่วเองก็มิได้โกรธ เพียงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อกล่าวหนักไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่กล้ายุ่งเรื่องของท่านพ่อหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่…”
‘เพี๊ยะ!’ ฝ่ามือหนึ่งฟาดลงบนใบหน้าของเฉียวเฟยเยียน มือของเฉียวเฟยเยียนไร้เรี่ยวแรง ถูกฝ่ามือนั้นตบจนต้องลงไปกองกับพื้น หนานกงมั่วปัดมือหันกลับไปยิ้มบางๆ ให้หนานกงไหว “ข้าเพียงมองนางแล้วขัดหูขัดตา ท่านพ่อ ไม่ถูกชะตาจำต้องมีเหตุผลด้วยหรือเจ้าคะ”