ตอนที่ 298 น้ำของราชวงศ์ลึกเกินไป (2)
เสี่ยวเอ้อร์เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้านายท่านลิ่นอย่างร่าเริง ยิ้มจนตาหยี “นายท่าน เดือนที่แล้วบวกกับของเดือนนี้และวันนี้ จวนของท่านติดค่าอาหารอยู่หนึ่งพันสิบสองตำลึงขอรับ จวนของท่านเป็นลูกค้ารายใหญ่ของเรา จ่ายหนึ่งพันตำลึงเท่านั้น ถือเป็นการขอบคุณจากเราขอรับ” สิ่งที่ไม่ต้องจ่ายเงินแน่นอนว่ามีมากเช่นกัน อาหารเล็กๆ น้อยๆ ในหอเทียนอีก็สองสามตำลึงเงินแล้ว หนึ่งพันตำลึงไม่นับประสาอะไร
นายท่านลิ่นสีหน้าพลันเปลี่ยนไล่สายตามองไปยังคุณชายตระกูลลิ่นทั้งหลายที่อยู่ตรงนั้น เอ่ยเสียงเย็น “พวกเขาไม่กี่คนเพียงไม่กี่เดือนก็กินไปหนึ่งพันตำลึงเชียวหรือ พวกเขามากินข้าวที่นี่ทุกวันหรืออย่างไร” ไม่ใช่ว่าตระกูลลิ่นจ่ายเงินหนึ่งพันตำลึงไม่ไหว แต่เมื่อครู่พึ่งแตกหักกับบุตรชายไป นายท่านลิ่นไม่มีทางยอมให้ใครมารีดไถเอาเงินได้
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มร่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ “แน่นอนว่าไม่ใช่ขอรับ หากมากินข้าวที่ร้านทุกวัน ราคา…เกรงว่าคงจะมากกว่านี้สี่ถึงห้าเท่า นี่คือรายการอาหารของที่ร้านเราขอรับ เชิญดูได้” เสี่ยวเอ้อร์ยื่นใบรายการอาหารที่เรียบง่ายทว่างดงามให้ด้วยสองมือ ด้านบนนั้นเขียนชื่อและราคาของอาหารเอาไว้ชัดเจน อาหารจานที่มีชื่อเสียงหลายรายการมีวัตถุดิบและสรรพคุณอธิบายไว้อย่างละเอียด แน่นอนว่าราคาก็ไม่ธรรมดา “พวกเราเปิดร้านทำการค้า ราคาแน่นอนว่าสมเหตุสมผล ไม่มีการเอาเปรียบใดๆ ขอรับ” หากรังเกียจว่าแพง ท่านก็ไม่ต้องมากินก็พอแล้วมิใช่หรือ ซาลาเปาผักข้างถนนหนึ่งอีแปะนั้นซื้อได้ถึงสองลูก
แม้เสี่ยวเอ้อร์จะพูดจาสุภาพ แต่เห็นถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดได้อย่างชัดเจน นายท่านลิ่นรู้สึกว่าวันนี้ขายหน้าไปมากพอแล้ว ไม่อยากจะพัวพันอีกต่อไป จ้องเขม็งไปยังบรรดาลูกหลานตระกูลลิ่นที่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเอ่ยวาจาใด จากนั้นเหลือบตามองลิ่นฮูหยินที่อยู่ข้างๆ แม้ลิ่นฮูหยินจะปวดใจแต่ก็ต้องหยิบตั๋วเงินใบล่ะห้าร้อยตำลึงสองใบยื่นส่งไปให้เสี่ยวเอ้อร์ เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มเบิกบานขึ้นมาในทันที เอ่ยว่า “ขอบคุณนายท่านลิ่น ขอบคุณลิ่นฮูหยิน ยินดีต้อนรับพวกท่านกลับมาเป็นลูกค้าของร้านเราอีกครั้งขอรับ”
นายท่านลิ่นส่งเสียงหยัน ชาตินี้เขาไม่อยากก้าวเข้ามาเหยียบร้านนี้อีกแล้ว
เดินนำออกไปด้วยท่าทีโกรธเกรี้ยว ยามที่เดินผ่านหนานกงมั่วนายท่านลิ่นจึงหยุดไปชั่วครู่ เอ่ยเสียงเรียบ “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ช่างมีความสามารถ มิน่าเล่าเพิ่งกลับมาถึงจินหลิงก็ทำให้จวนฉู่กั๋วกงเละเทะวุ่นวาย” หนานกงมั่วไม่ใส่ใจ ยิ้มบางๆ “นายท่านลิ่นกำลังรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนท่านพ่อข้าหรือ ไม่คิดว่านายท่านลิ่นจะมีบุคลิกและเข้ากันได้ดีกับท่านพ่อของข้า บังเอิญข้าและซื่อจื่อกับคุณชายฉังเฟิงเองก็เข้ากันได้ดี ท่านว่านี่นับได้ว่าเป็นการแบ่งแยกประเภทของคนหรือไม่”
นายท่านลิ่นใบหน้าบิดเบี้ยวสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป ชื่อเสียงของหนานกงไหวในยามนี้สะพัดไปทั่วท้องถนน ใครจะอยากมีบุคลิกและเข้ากันได้ดีกับเขากัน
หนานกงมั่วกลับมาถึงห้องจัดเตรียมพิเศษ ทว่าเห็นลิ่นฉังเฟิงกำลังสนทนากับฮ่องเต้อยู่ คุณชายลิ่นฉังเฟิงแม้จะดูอิสระไร้พันธนาการ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ก็รู้จักระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทเองก็ค่อนข้างพึงพอใจลิ่นฉังเฟิง สอบถามว่าลิ่นฉังเฟิงสนใจเข้าร่วมราชสำนักไปเป็นขุนนางหรือไม่
เมื่อครั้งที่ลิ่นฉังเฟิงถูกถอนสิทธิ์เข้าร่วมการสอบจอหงวนนั้นเป็นรับสั่งของฮ่องเต้ ยามนี้หากฮ่องเต้จะรับเขาไปเป็นขุนนางแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าโต้แย้ง ทว่าลิ่นฉังเฟิงชะงักไปชั่วครู่ สุดท้ายจึงส่ายหน้า เอ่ยตอบ “ขอบพระทัยฝ่าบาททรงเอ็นดู ฉังเฟิงเกียจคร้านมีอิสระจนชินแล้ว เกรงว่าคงจะเป็นขุนนางไม่ได้”
ฮ่องเต้เองก็ไม่ใส่ใจ เพียงเอ่ยถามลิ่นฉังเฟิงไปเท่านั้น คนมีความสามารถในราชสำนักมากมายไม่จำเป็นต้องรับบุรุษวัยเลยยี่สิบเข้าราชสำนักอยู่แล้ว เพียงยิ้มแล้วเอ่ยต่อไปว่า “หอเทียนอีก็นับว่ามีเงินทองไหลมาเทมาตลอดทั้งปีแล้ว ถึงตอนนั้นคงมีหน้ามีตากว่าการเป็นขุนนางไปมาก” ต่อให้เป็นขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่ง เงินเดือนทั้งปีได้รับเพียงสองร้อยกว่าตำลึง รายได้หอเทียนอีทำให้ผู้คนต้องอิจฉาอยู่ไม่น้อย แต่มีพระชายาซื่อจื่อคอยอยู่เบื้องหลัง อิจฉาก็คงทำได้เพียงอิจฉาแล้ว
อาหารมาครบแล้ว ลิ่นฉังเฟิงจึงถอยออกไป ที่เขาปฏิเสธฮ่องเต้นั้นไม่ได้โกหก เมื่อเทียบกับขุนนางที่ต้องถูกกักขังอยู่ในราชสำนัก เขาชื่นชอบชีวิตในตอนนี้มากกว่า ยิ่งกว่านั้นยังมีวังจื่อเซียว เว่ยจวินมั่วถูกขังไว้ในจินหลิงไม่อาจไปไหนมาไหนได้ง่ายๆ เขาที่แขวนชื่อไว้เป็นเจ้าสำนักวังจื่อเซียวหากเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนัก ต่อไปก็คงวุ่นวายมากทีเดียว
อาหารหอเทียนอีแม้จะแพงจนแทบกระอักเลือด แต่วัตถุดิบและรสชาตินั้นเหมาะสมกับเงินที่จ่ายออกไป ฮ่องเต้กินเข้าไปก็เอ่ยชื่นชมไม่หยุด กินข้าวมากกว่าปกติไปกว่าครึ่งชาม ถึงขั้นวางแผนจะคุยกับหนานกงมั่วเพื่อพาพ่อครัวกลับเข้าวังไปด้วยสักคน แน่นอนว่าหนานกงมั่วไม่ยอม ความยากลำบากในการฝึกฝนพ่อครัวสักคนนั้นยังไม่ต้องเอ่ยถึง แต่หากว่าเกิดฝ่าบาทเป็นอันใดไปแล้วจะทำเช่นไรเล่า ดังนั้นจึงได้แต่บอกว่าจะมอบของให้ฮ่องเต้ จะให้อะไรก็ย่อมได้ แต่จะให้ของกินไม่ได้ คนที่ทำออกมาก็เช่นกัน นางช้อนดวงตาขึ้นและเอ่ยกับฮ่องเต้ “ทูลฝ่าบาท พ่อครัวที่หอเทียนอีนั้นเดิมก็มาจากในวังเพคะ”
พ่อครัวในวังหลวง นอกจากบรรดาพ่อครัวอายุมากเลื่อนตำแหน่งไม่ได้แล้ว ก็เห็นจะมีแต่พวกที่ทำผิดจึงถูกไล่ออกมาจากวังหรือพวกคนที่ไม่ได้รับความโปรดปรานในห้องเครื่องและคิดหาทางออกจากวังไป ฮ่องเต้เองก็เข้าใจหลักการนี้ ทำได้เพียงก้มหน้ากินข้าวเงียบๆ ต่อไป เมื่อคนอยู่ในวังเขาไม่รับรู้ถึงความอร่อยของอาหาร ตอนนี้เขาออกมาแล้วกลับต้องการ ฮ่องเต้รู้สึกว่าจะยอมเสียหน้าไม่ได้ นั่นไม่ได้หมายความว่าฮ่องเต้เช่นเขานั้นมองคนไม่เป็นหรอกหรือ ก็แค่พ่อครัว ช่างมันเถิด เพียงแต่…ฮ่องเต้ลอบคำนวณอยู่ในใจ ขุนนางในสำนักพระราชวัง[1]พวกนั้นควรชำระสะสางได้แล้ว
“ทูลฝ่าบาท หวงจั่งซุนขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ด้านนอก องครักษ์เอ่ยรายงานอย่างนอบน้อม
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว เอ่ยถามขึ้น “เชียนเยี่ยหรือ เขาไม่ได้อยู่ในวังหรือ” ในห้องพิเศษนั้นไม่มีใครกล้าเอ่ยตอบ เว่ยจวินมั่วที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงเอ่ยขึ้น “ทูลฝ่าบาท วันนี้เป็นวันที่หวงจั่งซุนกลับออกจากวังพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้เรียกเซียวเชียนเยี่ยเข้าวังเพื่อติดตามและฝึกฝน ทุกๆ เดือนสามารถกลับจวนได้สองวัน อย่างไรตอนนี้จวนเย่ว์จวิ้นอ๋องก็มีหญิงตั้งครรภ์อยู่ถึงสองคน ยิ่งไปกว่านั้นหวงจั่งซุนมิใช่รัชทายาท อยู่แต่ในวังคงไม่ดีนัก
คิ้วขาวของฮ่องเต้เลิกขึ้นด้วยความสงสัย พยักหน้าพลางเอ่ย “ให้เขาเข้ามาเถิด”
หนานกงมั่วนั่งอยู่ด้านข้างเว่ยจวินมั่ว หันกลับมามองใบหน้าเย็นชาของเขา เว่ยจวินมั่วพยักหน้าให้นางเบาๆ เผยรอยยิ้มปลอบโยน หนานกงมั่วยิ้มบางๆ อยู่ในใจ หันไปมองฮ่องเต้ที่เคร่งขรึมขึ้น รู้แล้วว่าฮ่องเต้ไม่พอใจเท่าใดนัก พวกเขาออกจากวังมายังไม่ถึงชั่วโมงเซียวเชียนเยี่ยก็รีบออกจากวัง ต่อให้มีใจกตัญญูต่อเสด็จปู่จริง ทว่าฮ่องแต่ก็คงเกิดปมในใจขึ้นมา อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็มิได้เป็นเพียงเสด็จปู่แต่ยังเป็นจักรพรรดิของแผ่นดินอีกด้วย
ไม่นานเซียวเชียนเยี่ยก็ถูกองครักษ์เชิญเข้ามาด้านใน “หลานถวายพระพรเสด็จปู่”
ฮ่องเต้พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ลุกขึ้น นั่งลงคุยกัน”
เซียวเชียนเยี่ยลุกขึ้นเอ่ยขอบพระทัย มองเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วที่นั่งอยู่ข้างฝ่าบาททว่ากลับไม่แปลกใจ ทำเพียงพยักหน้าให้เงียบๆ เป็นการทักทาย แน่นอนว่าเขารู้ว่าหลายวันมานี้เสด็จปู่ชอบเรียกหนานกงมั่วเข้าวังไปสนทนาพูดคุยด้วย เมื่ออยู่ในวังก็ยังเคยเจอหนานกงมั่วอยู่หลายครั้ง เพียงแต่เมื่อมาเจออยู่ที่นี่ก็รู้สึกประหลาดใจที่เสด็จปู่รักและเอ็นดูคู่สามีภรรยาคู่นี้เท่านั้น หลังจากได้รับการฝึกฝนจากฮ่องเต้ด้วยพระองค์เองมาสักระยะแล้ว เซียวเชียนเยี่ยจึงเก็บความรู้สึกเก่งว่าเมื่อก่อนมาก
เซียวเชียนเยี่ยนั่งลงก่อนจะเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่นั่งดื่มชาอยู่ที่โรงน้ำชาฝั่งตรงข้าม บังเอิญเห็นองครักษ์เคียงกายของเสด็จปู่อยู่ด้านล่าง หลานจึงมาดู ไม่คิดว่าเสด็จปู่จะมาอยู่ที่นี่จริงๆ” คำพูดนี้ของเซียวเชียนเยี่ยแสดงให้เห็นถึงใจที่มีความกตัญญูและอธิบายชัดเจนว่าทำไมตนจึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ แสดงให้เห็นว่าตนมิได้มีเจตนาแอบตามมาแต่อย่างใด
————————
[1] สำนักพระราชวัง ห้องเครื่องขึ้นตรงต่อสำนักพระราชวัง ทำหน้าที่ดูแลอาหารของฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์ อีกทั้งยังคอยจัดการในพิธีเฉลิมฉลองต่างๆ อีกด้วย