ตอนที่ 299 น้ำของราชวงศ์ลึกเกินไป (3)
ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฮ่องก็อ่อนลง เอ่ยเสียงเรียบ “อยู่ฝั่งตรงข้ามหรือ เช่นนั้นก็บังเอิญแล้ว ข้าเองก็ได้ยินมาว่าอาหารที่หอเทียนอีนั้นเลิศรส จึงอยากออกมาลิ้มลอง ไม่เลวเลยจริงๆ เชียนเยี่ยเคยมาแล้วหรือไม่” เชียนเซียวเยี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินมาว่าราคาอาหารที่หอเทียนอีนั้นแพงมาก หลานยังไม่เคยมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ส่ายศีรษะ เอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “เชียนเยี่ยเป็นหวงจั่งซุน จะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเช่นนี้ไปทำไมกันเล่า หากกินตะกละทั้งวันคงเกินทน แต่ลองลิ้มรสดูบ้างเป็นครั้งคราก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อันใด” ในฐานะลูกหลานกษัตริย์ หากไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารกี่สิบตำลึงคงเป็นเรื่องน่าขัน หากรังเกียจว่าแพงนั่นหมายถึงคนผู้นั้นตระหนี่ รู้ว่าการประหยัดเป็นเรื่องที่ดี แต่หากตระหนี่เกินไปเช่นนั้นคงน่าเบื่อแล้ว ดังเช่นคนที่ครอบครัวร่ำรวย ทว่ากินหมั่นโถวเป็นอาหารทุกวัน นั่นไม่เรียกประหยัด นั่นเรียกขี้เหนียว ส่วนเชื้อพระวงศ์ นั่นเรียกการแสดง
“เสด็จปู่สั่งสอนได้ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เซียวเชียนเยี่ยก้มหน้า รับฟังการสั่งสอนด้วยความเคารพ
ฮ่องเต้โบกปัดมือ เอ่ย “ข้าไม่ได้สั่งสอนเจ้า การเป็นลูกหลานกษัตริย์นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็อย่าถึงขั้นให้ตนเองต้องลำบาก ควรเสพสุข หากไม่เสพสุขไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะเสียใจทีหลังก็เป็นได้”
เซียวเชียนเยี่ยพยักหน้าตอบรับ ในใจรู้สึกลังเลไม่แน่ใจขึ้นมาพักหนึ่ง คำสั่งสอนของเสด็จปู่ในตอนนี้นั้นขัดกับคำสอนของบรรดาอาจารย์ พลันเดาไม่ออกว่าเสด็จปู่นั้นหมายความเช่นไร ความจริงหากเวลานี้ฮ่องเต้รู้ว่าหลานชายของตนนั้นกำลังคิดอันใดอยู่ คงหัวเราะออกมาดังๆ และบอกกับเขาว่าเขาคิดซับซ้อนเกินไปแล้ว การเป็นเสด็จปู่ เขาเพียงอยากบอกกับหลานชายว่าอย่าทำให้ตนเองต้องลำบากมากเกินไป น่าเสียดาย ฐานะแตกต่าง เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงประโยคง่ายๆ ทว่ากลับถูกตีความไปมากมายหลายความหมาย
ชัดเจนว่าฮ่องเต้มิได้ให้เซียวเชียนเยี่ยติดตามในวันนี้ เอ่ยเพียงไม่กี่ประโยคก็ให้เขาไปจัดการเรื่องของตนเอง แม้ว่าเซียวเชียนเยี่ยจะไม่ยินยอมอยู่บ้าง ทว่าฮ่องเต้เอ่ยปากแล้วเขาจะไม่ไปคงไม่ได้
มองเซียวเชียนเยี่ยเดินออกไป บรรยากาศอบอุ่นในห้องที่เคยมีค่อยๆ จมลง ขันทีรอบข้างต่างก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยปากและไม่กล้ามอง เหลือเพียงหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วสองคนที่ใบหน้าเป็นปกติ เว่ยจวินมั่วคีบอาหารที่นางชอบกินให้ด้วยท่าทางนิ่งสงบ หนานกงมั่วเงยหน้าส่งยิ้มให้กับเขา ก้มหน้ากินต่อไปเงียบๆ กินข้าวร่วมกับฮ่องเต้บ่อยๆ ในสายตาของคนนอกมองว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง แต่คงมีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่านี่คือความขื่นขม โดยทั่วไปการกินข้าวกับฮ่องเต้คงไม่มีใครกล้ากินจนอิ่ม แม้หนานกงมั่วนั้นไม่จัดอยู่ในกลุ่มคนที่ไม่กล้ากิน แต่การกินข้าวที่มีคนกลุ่มใหญ่ยืนห้อมล้อมจำนวนมาก อาหารทุกจานจะต้องตรวจพิษ ลองชิม อาหารแต่ละจานห้ามคีบเกินสามครั้ง หนานกงมั่วรู้สึกว่าฮ่องเต้นั้นน่าสงสาร เป็นฮ่องเต้แล้วยังต้องกินอาหารที่เหลือจากคนอื่น…
ผ่านไปหลายครั้งเข้า หนานกงมั่วก็ค่อยๆ สงบนิ่ง แม้การกินข้าวกับฮ่องเต้จะไม่สามารถเลือกกินเฉพาะสิ่งที่ตนเองชอบ แต่โชคดีที่สำรับอาหารของฮ่องเต้นั้นมีมากมายหลายชนิด ต่อให้ต้องคีบครั้งเดียวทุกๆ จานก็เพียงพอให้อิ่มได้ พวกที่โชคร้ายกินไม่อิ่มนั้นเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่กล้ากินอาหารที่นอกเหนือจากอาหารตรงหน้าของพวกเขาเพียงไม่กี่จาน แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ หนานกงมั่วก็ไม่ชอบกินข้าวร่วมกันกับฮ่องเต้อยู่ดี
“เมื่อครู่หวงจั่งซุนมากับใครหรือ” ฮ่องเต้เอ่ยถามขึ้นมากะทันหัน
มือที่คีบอาหารของหนานกงมั่วชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นจึงกินต่อไป ผ่านไปครู่หนึ่งองครักษ์หน้าประตูจึงเอ่ยตอบเสียงเบา “ทูลฝ่าบาท เป็นคุณหนูใหญ่จวนเกาอี้ปั๋วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เอ่ย “ได้ยินมาว่า ช่วงนี้เชียนเยี่ยสนิทสนมกับสตรีตระกูลจูหรือ”
ในห้องเข้าสู่ความเงียบทันที ไม่มีใครกล้าเอ่ยตอบ ฮ่องเต้ไม่พอใจ เอ่ยเสียงเข้ม “จวินมั่ว”
เว่ยจวินมั่วเอ่ยตอบอย่างสงบ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่รู้งั้นหรือ” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้นด้วยโทสะ “แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ยังไม่รู้ ข้าจะให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการคุ้มกันเมืองหลวงไปทำไมกัน”
เว่ยจวินมั่วราวกับไม่ได้ตกใจกลัวความโกรธของฮ่องเต้ เพียงเอ่ยตอบเสียงเรียบ “กระหม่อมเป็นองครักษ์คุ้มกันเมืองหลวง ไม่ใช่ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร[1] แน่นอนย่อมไม่รู้ว่าหวงจั่งซุนสนิทสนมกับใคร ฝ่าบาทต้องการให้กระหม่อมส่งคนไปติดตามหวงจั่งซุนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้จ้องเขาเขม็งเอ่ยสิ่งใดไม่ออกอยู่ชั่วครู่ ความจริงไหนเลยฮ่องเต้จะไม่รู้ว่าตนเองนั้นพาลไร้เหตุผล แต่เมื่อคิดว่าเซียวเชียนเยี่ยกำลังปิดบังตนและทำเรื่องที่ไม่สมควรจึงรู้สึกผิดหวังและโกรธอยู่ในใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าบรรดาลูกหลานกษัตริย์จะไม่สามารถมีความคิดเป็นของตนเอง การเป็นเชื้อพระวงศ์หากไม่มีอุบายนั่นจึงโง่เขลา แต่ฮ่องเต้ทวนถามตนเองแล้ว ผู้เป็นเสด็จพ่อเสด็จปู่เช่นตนผู้นี้นั้นจัดการได้ไม่เลวเลยทีเดียว ในเมืองจินหลิงไม่มีองค์ชายที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่อยู่ที่นี่ และไม่มีใครแย่งบัลลังก์กับองค์รัชทายาท พวกเขายังมีอะไรไม่วางใจอีกหรือ โดยเฉพาะหลานผู้นี้ หากจะแย่งชิงกับตนในตอนนี้ คงจะเร็วไปบ้าง เสด็จพ่อของเขายังไม่ทันได้ครองบัลลังก์เลยด้วยซ้ำ
หนานกงมั่ววางตะเกียบลง รับผ้าจากขันทีด้านข้างมาเช็ดมือ เอ่ยกับฮ่องเต้ด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทอยากรู้ว่าหวงจั่งซุนกำลังทำอันใดอยู่ เรียกมาถามก็รู้แล้ว ไยต้องลำบากจวินมั่วด้วยเพคะ”
ฮ่องเต้จ้องนางเขม็งอย่างไม่พอใจ “เจ้าช่างรู้จักปกป้องเขา”
หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย “สามีภรรยาเป็นคนเดียวกัน หากหม่อมฉันไม่ปกป้องเขาจะไปปกป้องใครเล่าเพคะ อารมณ์ของฝ่าบาทนั้นช่างประหลาดเสียจริง” ฮ่องเต้เลิกคิ้ว เหลือบตามองนางเล็กน้อย “หากคนที่เจ้าไว้ใจทำเรื่องอื่นโดยปกปิดเจ้า เป็นเจ้าจะไม่โกรธหรือ” หนานกงมั่วกลอกตา เอ่ยตอบ “คนไม่ใช่ท่อนไม้ คงไม่ใช่ฝ่าบาทสั่งให้เขาทำอันใดแล้วเขาจะทำเพียงสิ่งนั้นหรอกใช่ไหมเพคะ หากเป็นเช่นนี้ เกิดฝ่าบาทไม่มีเวลามาควบคุมเขา เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นคนที่ไว้ใจจริงๆ ไยหม่อมฉันจะเชื่อใจเขาไม่ได้เล่าว่าเขาจะไม่ทำเรื่องที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อหม่อมฉัน”
ฮ่องเต้เงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะถอนหายใจออกมาโดยไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
ณ โรงน้ำชาอีกด้าน เมื่อเซียวเชียนเยี่ยกลับมาถึงห้องเล็กที่ถูกแยกพิเศษออกมา จูชูอวี้ยังคงนั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้น มองเห็นนางเซียวเชียนเยี่ยกลับมาจึงขมวดคิ้วเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “ไยเจ้าจึงยังไม่ไป” คิ้วสวยของจูชูอวี้เลิกขึ้น เอ่ยเสียงเรียบ “ไยพระองค์จึงกลับมาเล่า”
เซียวเชียนเยี่ยส่งเสียงหยัน นั่งลงตรงข้ามนาง เอ่ย “เสด็จปู่จะต้องรู้ว่าเจ้ากับข้าติดต่อกันลับๆ เป็นแน่ ในใจนั้นเกรงว่า…”
จูชูอวี้กลับไม่ใส่ใจ เอ่ยเสียงเรียบ “ฝ่าบาทมีกิจมากมาย จะสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรือ ยิ่งไปกว่านั้น…หม่อมฉันกับพระองค์ก็มิได้ทำเรื่องอันใดที่ไม่อาจบอกใครอื่นได้ ไม่ใช่หรือเพคะ” เซียวเชียนเยี่ยเลิกคิ้ว “เจ้าไม่กลัวว่าเสด็จปู่จะให้เจ้าเข้าจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องหรือ”
จูชูอวี้หัวเราะ เอ่ย “ชูอวี้นึกว่าหม่อมฉันกับพระองค์นั้นคบค้ากันอย่างใสสะอาดดุจน้ำ มิได้มีผลประโยชน์อื่นใดเสียอีก”
เซียวเชียนเยี่ยมองสังเกตจูชูอวี้ชั่วครู่ ส่ายศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่มีความสนใจต่อสตรีเช่นเจ้า”
“หม่อมฉันรู้เพคะ” จูชูอวี้ตอบกลั้วเสียงหัวเราะ “พระองค์คงไม่ชอบ…สตรีที่ฉลาดเกินไปใช่หรือไม่เพคะ สาเหตุนั้น คงเป็นเพราะพระชายาผู้สืบทอดจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียง และโชคดีที่เป็นเช่นนี้ มิเช่นนั้นชูอวี้คงไม่มีโอกาสได้ร่วมมือกับเย่ว์จวิ้นอ๋อง” เย่ว์จวิ้นอ๋องมองสำรวจนาง เอ่ยถามด้วยความสนใจ “ข้าอยากรู้มากว่า ไยคุณหนูจูจึงเลือกมาร่วมมือกับข้า”
จูชูอวี้ยิ้ม เอ่ยตอบ “นี่ไม่ใช่สิ่งที่แค่มองก็รู้ได้หรือเพคะ ท่านอ๋องเป็นหลานที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญ อีกทั้งยังเป็นโอรสเชื้อสายรองขององค์รัชทายาท ยิ่งไปกว่านั้น น้องสามยังอยู่ในจวนของพระองค์อีกด้วย หม่อมฉันผู้เป็นพี่สาวแน่นอนหวังให้ฝ่าบาทโปรดปรานน้องสาวบ้าง” เซียวเชียนเยี่ยเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเลิกคิ้ว เอ่ย “จูชูอวี้ เจ้าดูถูกข้าใช่หรือไม่” เซียวเชียนเยี่ยนั่นไม่ใช่คนโง่ พอเข้าใจท่าทีของจูชูอวี้อยู่บ้าง
—————————-
[1] องครักษ์เสื้อแพร เป็นหน่วยงานองค์กรที่ทำหน้าที่คล้ายตำรวจลับ เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง มีหน้าที่รับใช้ราชสำนัก ถูกก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในราชวงศ์หมิง พวกเขาได้รับอำนาจในกระบวนการยุติธรรมในการดำเนินคดีโดยมีอิสระเต็มที่ในการจับกุมสอบสวนและลงโทษผู้ใดรวมถึงขุนนางและพระญาติของจักรพรรดิ