หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1 – ตอนที่ 307 จุดยืนของอำนาจฮ่องเต้กับตระกูลขุนนาง (1)

ตอนที่ 307 จุดยืนของอำนาจฮ่องเต้กับตระกูลขุนนาง (1)

ตอนที่ 307 จุดยืนของอำนาจฮ่องเต้กับตระกูลขุนนาง (1)
เว่ยจวินมั่วย่นคิ้ว ส่ายศีรษะ “ไม่รู้ แต่ว่า…มองซ้ายขวาก็มีเพียงเรื่องเล็กน้อย มากสุดก็คงแย่งชิงบัลลังก์” แม้โอกาสสำเร็จจะมีไม่มาก ขาข้างหนึ่งของคุณชายเว่ยอยู่ในราชสำนัก ขาอีกข้างเหยียบอยู่ในยุทธภพ แน่นอนว่าย่อมรู้เรื่องราวมากมาย สำหรัลเรื่องการชิงบัลลังก์ โอกาสสำเร็จของคนในยุทธภพนั้นน้อยเท่าเศษฝุ่น หากกงอวี้เฉินมีแผนนี้จริงๆ แทนที่จะไปแฝงตัวอยู่ในยุทธภพเข้ามาอยู่ในราชสำนักจะไม่มีโอกาสสูงกว่าหรือ

หนานกงมั่วขมวดคิ้ว “ท่านเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของกงอวี้เฉินหรือไม่”

“ไม่มีผู้ใดเคยเห็น” เว่ยจวินมั่วส่ายศีรษะ กระทั่งวังจื่อเซียวยังสืบไม่ได้นั่นเห็นได้ชัดแล้วหนึ่งเรื่อง กงอวี้เฉินไม่เคยเปิดเผยหน้าตาต่อหน้าใครเลย คิดมาถึงตรงนี้ เว่ยจวินมั่วจึงหันไปมองหนานกงมั่ว คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านซื่อจื่อมีความคิดอย่างไรเล่า”

เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ใบหน้าของกงอวี้เฉิน…สำคัญมาก นั่นหมายความว่า…หากเห็นใบหน้าของเขาไม่แน่อาจรู้ถึงที่มาและเป้าหมายของเขาได้”

เพียงแต่…นี่มันเกี่ยวอันใดกับเขา เว่ยซื่อจื่อนั้นไม่มีความสนใจต่อเรื่องนี้ ขอเพียงกงอวี้เฉินไม่มาหาเรื่องเขาอีก เขาก็ไม่อยากเอาวังจื่อเซียวไปสู้กับหอธารา อย่างไรเสีย เขาสร้างวังจื่อเซียวขึ้นมาไม่ได้เอาไว้เพื่อตอบโต้กงอวี้เฉินไปมา หากฐานะของวังจื่อเซียวรั่วไหล สำหรับเขาคงเป็นเรื่องวุ่นวายไม่น้อย ต่อให้กงอวี้เฉินคิดแย่งชิงบัลลังก์จริงๆ คนที่เดือนร้อนที่สุดก็ไม่ใช่เขาหรอก

มองสีหน้าของเขาก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หนานกงมั่วเองไม่สนใจ ความจริงความคิดของนางกับเว่ยจวินมั่วก็ใกล้เคียงกัน ขอเพียงกงอวี้เฉินไม่มาหาเรื่องพวกตน นางเองก็ไม่อยากไปหาเรื่องกงอวี้เฉิน อย่างไรเสียพวกนางก็ไม่ใช่คนในยุทธภพอย่างเดียว หากฮ่องเต้รู้ว่าในมือของเว่ยจวินมั่วนั้นมีอำนาจเช่นวังจื่อเซียว สถานการณ์ของพวกนางคงอันตรายกว่ากงอวี้เฉิน

“แต่ว่า…อย่างไรก็รู้สึกเบื่อหน่ายนะ” หนานกงมั่วบ่น จะไปโยวโจวตอนนี้ก็ไม่ได้ วันทั้งวันอยู่แต่ในจินหลิงช่างน่าเบื่อเหลือเกิน

เว่ยจวินมั่วมองนาง “หากอู๋สยาเบื่อ…พวกเรามาทำอย่างอื่นกันก็ได้”

“หืม” หนานกงมั่วสงสัยขึ้นมา ดูเหมือนเว่ยจวินมั่วจะเบื่อหน่ายมากกว่านางเสียอีก ยังมีเรื่องใดได้อีกหรือ

ถูกคนออกแรงดึงเข้าสู่อ้อมกอด ดวงตาสีม่วงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของนาง ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ อยู่ข้างหูนาง “หากเบื่อ พวกเรามีลูกมาเล่นกันดีหรือไม่”

“…” ลูกเอามาเล่นได้หรือ

สุดท้ายหนานกงมั่วจึงหลบเลี่ยงอย่างตื่นตระหนก หนานกงมั่วรู้สึกเป็นทุกข์กับเรื่องนี้ พูดตามตรง นางไม่ใช่คนงอแงไร้เหตุผล แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเว่ยจวินมั่วนางก็อดไม่ได้ที่จะเอาแต่ใจ งอแงจนไม่อาจสบตากับเขาตรงๆ ได้ หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน นางไม่ยอมรับไม่ได้เลยว่ามีความคาดหวังต่อเว่ยจวินมั่วในแบบที่ต่างออกไป ไม่ใช่ถูกชะตาแล้วจะสามารถเป็นสามีภรรยากันไปตลอดชีวิตได้ ยิ่งไม่ใช่รู้สึกว่าเข้ากันได้แล้วจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งได้ ไม่ว่าชาติที่แล้วหรือชาตินี้หนานกงมั่วผู้ไม่เคยมีความรักไม่คิดว่าตนเองจะเปิดใจได้เพียงนั้น อีกทั้งยังมีความใสสะอาดและมีข้อเรียกร้องต่อเรื่องความรักมากเกินไปจนน่าตกใจ

ถ้าหากเว่ยจวินมั่วไม่ใช่เว่ยจวินมั่ว ถ้าหากเว่ยจวินมั่วมิได้เอาอกเอาใจนาง บางทีพวกเขาอาจได้ทำในเรื่องที่สมควรทำไปตั้งนานแล้ว แต่เช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจจะไม่พัฒนาไปตลอดชีวิต บางทีอาจต้องเดินบนถนนคดเคี้ยวอีกมากมาย เว่ยจวินมั่วเข้าใจความคิดของหนานกงมั่วอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงได้ตามอกตามใจนางอย่างไร้ขีดจำกัด สุดท้ายหากพวกเขาไม่เหมาะสมที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต เช่นนั้นต่อให้พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ก้าวไปอีกขั้น ต่อให้มีลูก หนานกงมั่วก็ยังคงเลือกที่จะจากไป ในเมื่อรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เว่ยจวินมั่วย่อมไม่ต้องการให้นางเสียใจภายหลัง แม้ว่า…ในหัวใจของเขาตอนนี้จะมั่นใจแล้วว่าเป็นนางเท่านั้น

ว่ากันว่า ในเรื่องของความรัก ใครรักก่อนคนนั้นแพ้ แต่ถ้าหากอีกฝ่ายที่เรารักเชื่อมั่นว่าบนโลกใบนี้นอกจากตนเองแล้วไม่มีใครสามารถทำให้นางยินยอมที่จะรักได้ เช่นนั้นแล้วระหว่างคนสองคนใครแพ้ใครชนะแล้วจะสำคัญอย่างไร

ในตอนที่หนานกงมั่วกำลังสับสนกับความสัมพันธ์ของตนเองและเว่ยจวินมั่วอยู่นั้น เทียบเชิญที่พิถีพิถันทำขึ้นมาอย่างงดงามก็ถูกส่งมาอยู่ตรงหน้าของนาง มองเทียบเชิญที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ตรงหน้า หนานกงมั่วเลิกคิ้วไม่เอ่ยสิ่งใด องค์หญิงฉังผิงหัวเราะ มองลูกสะใภ้ที่นั่งอยู่ด้านข้าง เอ่ย “ไยอู๋สยาจึงมีท่าทีเช่นนั้น หากไม่อยากไปไม่ไปก็ได้ แม้ยามนี้เกาอี้ปั๋วจะเป็นดั่งดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวัน เราก็ไม่จำเป็นต้องไปประจบสอพลอพวกเขา” ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้จวนเกาอี้ปั๋วยังไม่อาจเรียกว่าเป็นดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันได้ ฮ่องเต้เพียงเลื่อนตำแหน่งให้เพียงเท่านั้น แต่หากตระกูลจูคิดว่าจะได้เปรียบง่ายๆ เช่นนั้นคงผิดแล้ว ตระกูลขุนนางมีอำนาจพวกนั้นจะยอมให้ตระกูลพ่อค้าเช่นตระกูลจูมาเหยียบหัวพวกเขาได้หรือ

หนานกงมั่วกำผ้าเช็ดหน้าในมือพลางขมวดคิ้ว “เสด็จแม่ หม่อมฉันคิดว่า…จวนเกาอี้ปั๋วคงจะโดดเด่นขึ้นมาแล้วจริงๆ ไปดูสักหน่อยก็ดีเพคะ พอดีช่วงนี้หม่อมฉันอยู่แต่ในเรือนเริ่มเบื่อขึ้นมาแล้วเพคะ”

มองดูความทุกข์ทรมานใจบนใบหน้าเล็กของนาง องค์หญิงฉังผิงอดไม่ได้ยกมือขึ้นมาปิดปากหัวเราะเบาๆ แน่นอนนางรู้ว่าบุตรชายของนางไม่ให้หนานกงมั่วออกจากจวนเลย จึงหัวเราะออกมาเบาๆ “จวินเอ๋อร์หวังดีกับเจ้า ได้รับบาดเจ็บภายในหากไม่ระวังเมื่อยังเยาว์ แก่เฒ่าไปจะทรมาน เด็กดี หากเจ้ารู้สึกเบื่อ ออกไปเดินเล่นสักหน่อยก็ได้ อยู่ในจินหลิงคงไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นได้หรอก”

แม้องค์หญิงฉังผิงจะรู้ว่าตนเองเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ไม่มีความสนใจสถานการณ์การเมืองในราชสำนัก แต่ลูกสะใภ้ผู้นี้นั้นแตกต่างออกไป ดังนั้นไม่ว่าหนานกงมั่วอยากทำสิ่งใดองค์หญิงฉังผิงจึงไม่เคยห้าม เพียงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “อู๋สยารู้ได้อย่างไรว่าตระกูลจูกำลังโดดเด่นขึ้นมาแล้วจริงๆ”

หนานกงมั่วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตระกูลขุนนางใหญ่ในจินหลิงพวกนี้ ในสายตาของฝ่าบาทนั้นนับประสาอะไรเล่าเพคะ ไม่ใช่ฝ่าบาทอยากให้ใครขึ้นใครก็ขึ้นได้อยากให้ใครร่วงใครก็ร่วงได้หรอกหรือ แม้ยามนี้ตระกูลขุนนางจะมิได้แข็งแกร่งเทียบเท่าเมื่อก่อน แต่ตระกูลเหล่านี้มีตระกูลใดบ้างที่ไม่หยั่งรากลึก มีฝ่าบาทอยู่แน่นอนว่าไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะมีความคิดทำอันใด แต่ถ้าเป็นคนอื่นเล่าเพคะ”

องค์หญิงฉังผิงตระหนก “ฮ่องเต้ต้องการสนับสนุนตระกูลจูมาต่อสู้กับตระกูลขุนนางหรือ”

หนานกงมั่วยิ้มบาง “หากเป็นเช่นนั้น แม้ตระกูลจูจะมีความดีความชอบใหญ่หลวงในการมอบโอสถทิพย์ ไยฝ่าบาทต้องนำตระกูลจูเข้ามาอยู่ในราชสำนักอีกทั้งยังให้จวิ้นจู่ผู้เป็นธิดาขององค์รัชทายาทสมรสกับบุตรชายคนโตเชื้อสายหลักของตระกูลจูเล่าเพคะ เสด็จแม่อย่าลืมว่ายามนี้บุตรีเชื้อสายรองของตระกูลจูก็เป็นอนุอยู่ในจวนเย่ว์จวิ้นอ๋อง หม่อมฉันคิดว่า…อีกไม่นานอนุผู้นี้ก็คงถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นพระสนมเป็นแน่ เช่นนี้แล้วตระกูลจูก็นับว่ารวมเข้าด้วยกันกับจวนรัชทายาทแล้ว” เพราะรู้ดีว่าตระกูลพ่อค้ามีเงินไร้อำนาจเช่นตระกูลจูนั้นรับมือได้ง่ายกว่าตระกูลขุนนางมีอำนาจพวกนั้นมาก ต่อให้ในอนาคตตระกูลจะเอาชนะตระกูลใหญ่เหล่านั้นได้ ก็ไม่ได้ยุ่งยากไปกว่าตระกูลขุนนางที่หยั่งรากลึกพวกนั้น ตระกูลจูอยากเป็นตระกูลใหญ่ ไม่ใช่จะมีสนมคนสองคนแล้วจะยิ่งใหญ่ได้ หากไม่มีคุณงามความดีสะสมกว่าสี่ห้าช่วงอายุคนก็คงไม่นับประสาอะไร

องค์หญิงฉังผิงเงียบไปเนิ่นนาน สุดท้ายจึงพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ “ข้ารู้ดีว่าเสด็จพ่อนั้นทุ่มเทเหนื่อยยากลำบาก เพียงแต่…เมืองจินหลิงคงจะไม่สงบอีกแล้ว ตระกูลขุนนางเหล่านี้…ทำอันใดผิดกันเล่า”

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

หมอหญิงยอดมือสังหาร เล่ม 1

Status: Ongoing

นิยายรักย้อนยุค ว่าด้วยการแก้แค้นของหมอหญิงมือสังหาร และแต่งงานกับบุรุษสุดประหลาด!

เมื่อมารดาสิ้นใจและตนถูกไล่ให้มาอยู่หมู่บ้านบรรพบุรุษ เพราะความลำบากและคับแค้นใจจึงทำให้ หนานกงชิง คุณหนูคนโตแห่งตระกูลหนานกงจากโลกนี้ไป

ร่างของนางกลับถูกแทนที่ด้วยวิญญาณของ หนานกงมั่ว นักฆ่าสาวมือฉกาจแห่งเอเชีย เมื่อได้รับชีวิตใหม่หนานกงมั่วก็ได้กราบอาจารย์ เรียนวิชาแพทย์ ใช้ชีวิตอิสระเสรีตามที่ตนหวัง พร้อมรับใบสั่งสังหารคนบ้างเป็นครั้งคราว… จนเมื่อราชโองการพระราชทานสมรสมาถึงชีวิตของนางก็ถึงคราวพลิกผัน!

เล่าลือกันว่าจวิ้นอ๋องว่าที่สามีของนาง เว่ยจวินมั่ว แม้จะมียศสูงศักดิ์แต่เพราะดวงตาแปลกประหลาดสีม่วงและการคลอดก่อนกำหนดทำให้ชาติกำเนิดของเขาตกเป็นขี้ปากคนไปทั่ว อาจเพราะแบบนี้การสมรสนี้จึงตกมาถึงตัวนาง แม้คนทั่วไปไม่ยินดีแต่นางดูๆ แล้วกลับคิดว่าชายหนุ่มคนนี้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท