ตอนที่ 309 จุดยืนของอำนาจฮ่องเต้กับตระกูลขุนนาง (3)
กลุ่มสาวใช้ทยอยถอยออกไปเหลือไว้เพียงสาวใช้เคียงกายเซี่ยเพ่ยหวนและหมิงฉินคอยติดตามอยู่ห่างๆ คนอื่นๆ ไปอยู่ในสถานที่รับรองที่จัดไว้เป็นสถานที่พักผ่อนของบ่าว
เซี่ยเพ่ยหวนลากหนานกงมั่วเดินลึกเข้าไปในสวนดอกไม้ เดินไปพลางเอ่ย “เหยียนเอ๋อร์รอพวกเราอยู่ด้านใน จริงสิ ยังมีอีกหนึ่งคนที่ต้องแนะนำให้เจ้ารู้จัก” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว แปลกใจเล็กน้อย “เพื่อนใหม่ของเจ้าหรือ” เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นเพื่อนใหม่ของข้าก็จริง แต่ก็เกี่ยวข้องกับเจ้าด้วย เดิมควรพาเจ้าไปพบตั้งนานแล้ว แต่ช่วงนี้เจ้ากำลังรักษาตัวมิใช่หรือ ดีขึ้นแล้วหรือ”
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยตอบ “ดีขึ้นมากแล้ว” เรื่องหลอกลวงเช่นนี้คงไม่ต้องเล่าให้เซี่ยเพ่ยหวนฟังหรอก
ระหว่างทางมองเห็นสตรีชนชั้นสูงมากมาย หนานกงมั่วถอนหายใจ เอ่ย “งานวันเกิดคุณหนูใหญ่ตระกูลจูช่างยิ่งใหญ่ไร้ขีดจำกัดเสียจริง แม้กระทั่งคุณหนูใหญ่ตระกูลเซี่ยเช่นเจ้ายังมาแสดงความยินดีด้วยตนเอง”
เซี่ยเพ่ยหวนยักไหล่ “ท่ายยายและท่านพ่อบอกว่า ในเมื่อฝ่าบาทคิดจะอุ้มชูตระกูลจู แน่นอนพวกเราไม่อาจไม่ไว้หน้าได้ คิดว่าคนอื่นๆ ก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน” ดังนั้นที่คนเหล่านี้มาร่วมยินดีมิใช่เพราะเห็นแก่หน้าตระกูลจูทั้งหมดแต่เป็นเพราะเห็นแก่หน้าฮ่องเต้
“แม้ตระกูลจูจะเป็นพ่อค้า แต่ก็นับว่าเป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ในจินหลิง น่าเสียดายความโลภมีมากพอจนลืมบทเรียนของตระกูลเสิ่นเสียแล้ว หรือว่า ตระกูลจูคิดว่าเชื้อพระวงศ์จะยอมให้มีตระกูลร่ำรวยมาเป็นปฏิปักษ์กับประเทศเป็นครั้งที่สองหรือ” เดินอยู่ข้างกายหนานกงมั่ว เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยเสียงเบา หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ใครก็บอกยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาวแต่คนที่ยังไม่เคยเดินไปถึงจุดสูงสุดจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าความเหน็บหนาวและขุมนรกใต้ฝ่าเท้าเป็นเช่นไร พวกเขาเพียงอิจฉาคนที่รุ่งเรืองเหนือผู้คนเท่านั้น”
เซี่ยเพ่ยหวนถอนหายใจ “ทำเกินนั้นต่างจากทำให้สำเร็จ ตอนนี้ตระกูลเซี่ยค่อยๆ ถอยออกมาแล้ว เกรงว่าคงไม่ได้จบเหมือน…” เซี่ยเพ่ยหวนส่ายหน้าเบาๆ แล้วเอ่ยต่อ “ไม่ใช่ว่าทุกตระกูลจะคิดเหมือนเรา เส้นทางของตระกูลจูก็ไม่ง่าย” ทั่วทั้งจินหลิงมีผลประโยชน์มากมาย มีคนอยากขึ้นไปแน่นอนก็ต้องมีคนลงมา ตระกูลเซี่ยถอยออกมาได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าตระกูลอื่นๆ จะยอมถอย
หนานกงมั่วเอ่ย “นั่นน่ะสิ…เมืองจินหลิงดูเหมือนจะครึกครื้นขึ้นมาแล้ว”
เดินตามเซี่ยเพ่ยหวนมายังศาลาด้านในสวนหย่อมพลันมองเห็นซุนเหยียนเอ๋อร์และหญิงสาวในชุดสีส้มกำลังนั่งพูดคุยอยู่ในศาลา มองเห็นทั้งสองเดินเข้ามาจึงรีบลุกขึ้นทักทาย “คารวะซิงเฉิงจวิ้นจู่” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทั้งสองไม่ต้องเกรงใจ แม่นางซุน นานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน”
ความจริงหนานกงมั่วก็ไม่ได้สนิทสนมกับซุนเหยียนเอ๋อร์มากนัก แต่รู้จักผ่านเซี่ยเพ่ยหวนจึงรู้ว่านิสัยของซุนเหยียนเอ๋อร์นั้นไม่เลว เพียงแต่การอบรมสั่งสอนของตระกูลซุนนั้นเข้มงวด หนานกงมั่วเองก็ยุ่งไม่น้อย ทั้งสองจึงไม่ได้พูดคุยกันมากนัก ซุนเหยียนเอ๋อร์ยิ้มบางๆ “พระชายาซื่อจื่อไม่ได้พบกันนานเลยเจ้าค่ะ”
เหลือบมองหญิงสาวไม่คุ้นตาด้านข้าง หนานกงมั่วเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “เซี่ยสาม แม่นางผู้นี้คือ…”
เซี่ยเพ่ยหวนยกมือปิดริมฝีปากยิ้ม “นี่คือซังเนี่ยนเอ๋อร์ บุตรีของแม่ทัพกุยฮว่า”
“แม่นางซัง ยินดีที่ได้พบกันเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วเอ่ย เซี่ยเพ่ยหวนถอนหายใจ ดึงนางเข้าหากระซิบเบาๆ ไม่กี่ประโยค หนานกงมั่วมองซังเนี่ยนเอ๋อร์ท่าทางประหลาดใจ เห็นใบหน้าสวยแดงระเรื่อขึ้นมาทั้งยังดูสุภาพเรียบร้อย ยิ่งรู้สึกดีขึ้นมาในใจ
เซี่ยเพ่ยหวนลากนางมานั่งลง เอ่ยขึ้นอย่างไม่มีทางเลี่ยง “ไม่รู้จริงๆ ว่าคุณชายใหญ่หนานกงกำลังคิดอันใดอยู่ ที่แท้เขากลับไม่เคยปรึกษาเจ้าเรื่องนี้ พวกเรานึกว่าเจ้ารู้ตั้งนานแล้วเสียอีก”
หนานกงมั่วยักไหล่ หันไปส่งยิ้มให้กับซังเนี่ยนเอ๋อร์ เอ่ย “ช่วงนี้ข้ากำลังรักษาตัวอยู่ แม่นางซังอย่าได้ถือสา ข้ากับพี่ใหญ่พี่รองนั้นไม่สนิทกันมากนัก มิได้มีอคติอันใดกับเจ้าเลย” ซังเนี่ยนเอ๋อร์เม้มปากยิ้มบางๆ มิได้เอ่ยตอบ เรื่องราวของหนานกงมั่วแน่นอนนางย่อมเคยได้ยินมาบ้าง หนานกงมั่วไม่มีความคิดเห็นใดๆ ต่อตระกูลหนานกงเลยนั่นสิจึงจะเป็นเรื่องแปลก
เซี่ยเพ่ยหวนพ่นลมหายใจ “ข้าไม่สนใจว่าเจ้ามีปัญหาอันใดกับตระกูลหนานกงสองคนนั้นอย่างไร อย่างไรเสียนี่คือว่าที่พี่สะใภ้ของเจ้า ข้าพาเจ้ามาพบ”
“กำหนดวันแต่งงานแล้วหรือ” หนานกงมั่วประหลาดใจเล็กน้อย ประสิทธิภาพการทำงานของหนานกงชวี่ช่างน่าตกใจ แต่ว่ากันว่าแม่ทัพกุยฮว่าไม่ลงรอยกับหนานกงไหวมาโดยตลอด ไยจึงตอบรับการแต่งงานง่ายดายเพียงนี้ หนานกงชวี่ตัดสินใจไม่ยอมให้นางเกี่ยวข้องกับตระกูลหนานกงจริงๆ หรือ แม้กระทั่งเรื่องสำคัญเพียงนี้ยังไม่บอกนางแม้เพียงเล็กน้อย หนานกงมั่วสงสัยขึ้นมาว่าหากเซี่ยเพ่ยหวนไม่บอก หนานกงฮุยแต่งงานไปแล้วหนานกงชวี่ก็ไม่คิดจะบอกนางเลยใช่หรือไม่
ซังเนี่ยนเอ๋อร์ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ เซี่ยเพ่ยหวนยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะออกมา “คุณชายใหญ่หนานกงมาเชิญท่านแม่ข้าไปสู่ขอด้วยตนเอง แม่ทัพกุยฮว่าหวงบุตรี ตระกูลหนานกงให้สัญญากับเขาว่าเมื่อแต่งงานแล้วจะแยกครอบครัวออกมาทันที ไม่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลควบคุมของแม่เลี้ยงหรือพี่สะใภ้ใหญ่ที่ไหน เพียงแต่งงานก็จะได้เป็นนายหญิงของเรือน นอกจากนี้ หนานกงฮุยเองก็ให้คำสัญญาต่อหน้าแม่ทัพกุยฮว่า นอกเสียจากอายุสี่สิบแล้วยังไม่มีบุตร มิเช่นนั้นจะไม่มีทางรับอนุภรรยา”
“เพ่ยหวน” ใบหน้างดงามอ่อนหวานของซังเนี่ยนเอ๋อร์แดงก่ำราวกับมีไฟแผดเผา ส่งสายตาค้อนให้เซี่ยเพ่ยหวน แม้กระทั่งซุนเหยียนเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ด้านข้างยังอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เนี่ยนเอ๋อร์โชคดีจริงๆ” ซังเนี่ยนเอ๋อร์มองค้อนพวกนางเล็กน้อย “พวกเจ้าเอาแต่รังแกข้า ต่อไปไม่รู้ว่าใครจะหัวเราะเยาะใครกันแน่”
ดูท่าทางโมโหของนาง ทั้งสามก็อดไม่ได้หัวเราะออกมา
หนานกงมั่วรู้สึกดีต่อพี่สะใภ้รองผู้นี้ไม่น้อย อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าหลินซื่อที่จวนฉู่กั๋วกงผู้นั้นหลายเท่า แม้ซังเนี่ยนเอ๋อร์จะอายุน้อย เติบโตในตระกูลแม่ทัพทว่าสุภาพเรียบร้อย กล้าหาญมากกว่าสตรีทั่วไป หากแยกตัวออกไปอาศัยอยู่กับหนานกงฮุย ในบ้านก็ไม่มีเรื่องใดให้นางต้องกังวลใจมากนัก ไม่ต้องเป็นห่วงอันใด เพียงแต่นึกถึงหนานกงชวี่ หนานกงมั่วขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะโยนความคิดในหัวทิ้งไป
“ไม่รู้ว่าท่านพ่อกำลังคิดอันใดอยู่ ถึงได้ให้พวกเรามาร่วมยินดีในงานวันเกิดของจูชูอวี้ ไม่ดูเลยว่านางสมควรได้รับหรือไม่” น้ำเสียงไม่พอใจดังขึ้นมาจากเขาจำลองด้านหลังศาลา ทั้งสี่คนในศาลาต่างพากันชะงักนิ่ง ซุนเหยียนเอ๋อร์ขมวดคิ้วเอ่ยเสียงกระซิบ “น่าจะเป็นฮุ่ยถิง คุณหนูใหญ่ตระกูลหยาง”
ไม่นาน ด้านหลังพลันมีอีกหนึ่งเสียงดังขึ้น “ใครใช้ให้ตระกูลจูกำลังได้รับความโปรดปรานเล่า ช่วยชีวิตองค์รัชทายาทเอาไว้ แม้แต่องค์รัชทายาทยังยกให้จวิ้นจู่สมรสด้วย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราที่เป็นบริพารเล่า”
“พูดถึงช่วยชีวิตองค์รัชทายาท ซิงเฉิงจวิ้นจู่เองก็ออกแรงช่วยเหลือเช่นกันมิใช่หรือ หากไม่ใช่เพราะวิชาการแพทย์ของซิงเฉิงจวิ้นจู่ที่ใช้กำลังภายในช่วยเหลือองค์รัชทายาท อาศัยโอสถทิพย์ของตระกูลจูเพียงอย่างเดียวจะมีประโยชน์อันใดเล่า ก็ไม่เห็นว่านางจะโอ้อวดอันใดเลย”
“นั่นน่ะสิ ซิงเฉิงจวิ้นจู่ที่บาดเจ็บยังไม่เอ่ยอันใดสักคำ หลายวันมานี้ตระกูลจูกลับแทบทนรอไม่ไหวให้คนทั้งโลกได้รับรู้ว่าพวกเขาช่วยชีวิตองค์รัชทายาท”
เสียงใสอีกเสียงดังขึ้นขัดจังหวะพวกเขา เอ่ยว่า “เอาล่ะ ในเมื่อมาแล้วก็อยู่ๆ ไปก็พอ เกาอี้ปั๋วกำลังเป็นที่โปรดปราน อย่าทำให้เป็นเรื่องวุ่นวายเลย”
เงียบไปชั่วครู่ ในที่สุดก็มีคนพ่นลมหายใจออกมา กล่าว “พี่เจี่ยงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ใครใช้ให้พวกเราไม่มีความสามารถเช่นเขาเล่า”
เสียงดังไกลออกไปเรื่อยๆ คนในศาลาทั้งสี่หันมองสบตากัน ในนั้นมีทั้งซุนเหยียนเอ๋อร์และเซี่ยเพ่ยหวนที่รู้จักคุณหนูในจินหลิงดีที่สุด ซุนเหยียนเอ๋อร์ขมวดคิ้ว เอ่ย “นอกจากนี้คงจะเป็นบุตรีคนรองเชื้อสายหลักตระกูลเจี่ยงและเชื้อสายรองของตระกูลเหลียนและตระกูลหลี่…เมื่อก่อนคุณหนูหยางมีความสัมพันธ์กับคุณหนูใหญ่ตระกูลจูไม่เลวเลย ไยตอนนี้จึง…”