ตอนที่ 311 การประลองผูกมิตร (2)
ฝั่งสตรีในห้องหอนั้นมีองค์หญิงฉังผิงและนายหญิงตระกูลเซี่ย เซี่ยโหวฮูหยินคอยรับผิดชอบวิจารณ์แสดงความคิดเห็น อีกฝั่งเองก็เลือกผู้อาวุโสที่น่าเชื่อถือมารับผิดชอบเป็นผู้วิจารณ์และแสดงความคิดเห็นเช่นกัน เดิมเป็นการจัดขึ้นกะทันหันจึงมิได้เคร่งครัดอันใด
“เอ๋ ที่นั่นไยจึงมีพระหนึ่งรูปได้เล่า” ซังเนี่ยนเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ด้านหลังหนานกงมั่วเอ่ยกระซิบเสียงเบาด้วยความตกใจ ทุกคนเงยหน้าหันไปมอง มองเห็นพระในชุดสีขาวถูกเชิญมานั่งด้านหน้าของระเบียง องค์หญิงหลิงอี๋ตกใจเล็กน้อย “นั่นคือไต้ซือเนี่ยนหย่วนแห่งวัดต้ากวงหมิง แต่ได้ยินมาว่าไต้ซือเนี่ยนหย่วนเดิมไม่ชอบยุ่งเรื่องทางโลกเฝ้าสวดมนต์ขอพรอยู่ตลอด ไยจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า”
เนี่ยนหย่วนเรียกได้ว่าเป็นพระที่มีชื่อเสียงที่สุดในจินหลิง ไม่เพียงเขาเป็นพระอาวุโสเพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังอายุน้อยและยังมีความรู้ความสามารถ บางทีอาจเพราะยังมีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาอีกด้วย พระที่มีอายุน้อยโดดเด่นมีความสามารถเป็นที่ประจักษ์ เมื่อเทียบกับพระอาวุโสที่ศึกษาพระธรรมลึกล้ำแล้วนั้นยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจและเป็นที่น่าจับตามองมากขึ้น
ตระกูลขุนนางผู้มีอำนาจในจินหลิงล้วนมีการเชิญพระมาสวดมนต์ให้พรที่จวนของตนเพื่อเสริมบารมี ทว่าเนี่ยนหย่วนผู้อายุยังน้อยนั้นน้อยมากที่จะตอบรับคำเชิญเช่นนี้ มีเพียงติดตามอาจารย์เมื่อครั้งยังเด็กหรือเข้าวังบ้างเป็นบางครั้ง โดยปกติแล้วแม้แต่พระราชวังยังไม่ก้าวเข้าไปเหยียบเท่าใดนัก
เพราะเหตุนี้เมื่อเนี่ยนหย่วนมาปรากฏตัว ณ ที่แห่งนี้จึงเป็นที่สนใจของผู้คนโดยที่ไม่อาจเลี่ยงได้ เซี่ยโหวฮูหยินยิ้มบางๆ “เรื่องนี้ข้าพอได้ยินมาบ้าง ได้ยินว่าจวนเกาอี้ปั๋วบริจาคน้ำมันหอมแก่วัดต้ากวงหมิงเป็นเงินกว่าหนึ่งแสนตำลึง องค์หญิงเองก็รู้ แม้วัดต้ากวงหมิงจะมีชื่อเสียง แต่การรับผู้ไร้บ้านทุกๆ ฤดูหนาว หรือการเปิดสถานที่ให้การรักษาก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก เกาอี้ปั๋วจ่ายไปหนึ่งแสนตำลึงเพื่อเชิญไต้ซือเนี่ยนหย่วนมาสวดมนต์ภาวนาแก่บุตรีที่รัก ต่อให้ไต้ซือเนี่ยนหย่วนไม่ไว้หน้าเกาอี้ปั๋ว อย่างไรเสียก็ต้องไว้หน้าเจ้าอาวาส”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” องค์หญิงหลิงอี๋พยักหน้ายิ้มบางๆ “เกาอี้ปั๋วผู้นี้ช่างรักบุตรียิ่งนัก” การจ่ายเงินหลายหมื่นตำลึง ใช่ว่าใครจะทำได้ง่ายๆ
บรรดาคุณหนูในห้องหอที่มีความอยากรู้อยากเห็นต่อเนี่ยนหย่วนนั้นมีไม่น้อย ยามนี้พากันรุมล้อมจูชูอวี้สอบถามเรื่องราวของเนี่ยนหย่วน ใช่ว่าพวกนางจะมีความคิดไม่ดีอยู่ในใจ เพียงแค่อดไม่ได้อยากรู้อยากเห็นเรื่องของเนี่ยนหย่วนผู้ที่เป็นพระเท่านั้น จูชูอวี้เองก็มีท่าทีไม่ยินดียินร้าย คอยตอบคำถามมากมาย
ไม่นานการแสดงความสามารถก็เริ่มขึ้น เรียกไม่ได้ว่าเป็นการแข่งขันเท่าใดนัก มีเพียงคุณหนูหรือคุณชายผู้มีความสามารถคอยออกมาแสดงความสามารถทีละคนก็เท่านั้น สุดท้ายตัดสินมอบรางวัลใหญ่โดยองค์หญิงหลิงอี๋ หนานกงมั่วนั่งชมบรรดาสตรีในห้องหอและคุณชายออกมาทำการแสดงอยู่ข้างกายองค์หญิงหลิงอี๋และเซี่ยโหวฮูหยิน สตรีที่มีอายุขึ้นมาบ้างส่วนใหญ่ความสามารถนั้นดูธรรมดา แต่เมื่อมาถึงคุณหนูที่มีอายุช่วงวัยเดียวกับหนานกงมั่วจึงเรียกได้ว่ามีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง มีดีดฉินเป่าขลุ่ย มีแต่งกลอนวาดภาพ แม้แต่ซุนเหยียนเอ๋อร์เองก็มีการเขียนตัวอักษร
บุรุษฝั่งตรงข้ามเองก็ไม่น้อยหน้า ฉิน หมาก วาดภาพ แต่งกลอนล้วนเชี่ยวชาญ หนานกงมั่วรับชมอย่างสนุกสนาน ความจริงเมื่อก่อนตอนอยู่ตานหยางอาจารย์อาก็บังคับให้นางเรียนพวกนี้ ทว่าตลอดหลายปีมานี้หนานกงมั่วเอาเวลาส่วนใหญ่ไปเล่าเรียนวิทยายุทธและวิชาการแพทย์เสียมากกว่า หนานกงมั่วผู้ที่รู้ตัวเองอยู่บ้างต้องยอมรับว่าหากเอ่ยถึงเรื่องความรู้ความสามารถ ตนเองนั้นคงไม่ถูกจัดอันดับใดๆ ในจินหลิงได้
“อู๋สยา เจ้าคงยังไม่เคยเห็นบรรดาคุณชายในจินหลิงเหล่านี้สินะ คิดว่าเยี่ยงไรบ้าง” องค์หญิงหลิงอี๋เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม เซี่ยฮูหยินมองนางเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มบางๆ “องค์หญิงถามเช่นนี้ ระวังกลับไปเว่ยซื่อจื่อจะต่อต้านนะเพคะ” องค์หญิงหลิงอี๋เลิกคิ้วพลางเอ่ย “เขาไม่กล้าต่อต้านหรอก หากอู๋สยาคิดว่าคนอื่นเก่งกว่าเขา เช่นนั้นก็หมายความว่าตนเองไม่ได้เรื่อง บุรุษก็เป็นเช่นนี้ เห็นอยู่ว่าตนเองไม่ได้เรื่องยังจะโทษสตรีไม่ดี อู๋สยา เจ้าอย่าได้ปล่อยให้เจ้าเด็กจวินเอ๋อร์ได้ใจเล่า”
หนานกงมั่วเม้มริมฝีปากยิ้ม “เสด็จน้าวางใจเถิดเพคะ หม่อมฉันไม่ตามใจเขา”
“ต้องแบบนี้สิ” องค์หญิงหลิงอี๋ลูบหลังหนานกงมั่วเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม พลางชี้นิ้วไปฝั่งตรงข้ามพร้อมกระซิบหนานกงมั่วเสียงเบา “ปกติเขาก็ไม่ค่อยออกจากเรือน คงไม่รู้จักคนในจินหลิงเท่าใดนัก นั่น คนที่สวมชุดสีฟ้า…เป็นคุณชายสามจากตระกูลฉิน เป็นที่รู้จักในนามอัจฉริยะแห่งจินหลิง ชุดสีขาวนั่นคือคุณชายเจ็ดจากตระกูลเซี่ย มีความสามารถทั้งการเขียนอักษรและวาดภาพ บุคคลผู้เป็นที่สนใจในการสอบจ้วงหยวนในวันพรุ่งนี้ และคนใบหน้าเย็นชาผู้นั้น…คือลู่เชิงบุตรชายของหยางชุนโหวที่จากไปแล้ว คนนั้น…หร่วนอวี้จือผู้ที่มีคะแนนอยู่ในอันดับต้นๆ ของรอบที่แล้ว ยามนี้รับราชการบัณฑิตประจำสำนักศึกษาฮั่นหลินขั้นสี่ ได้ยินมาว่าปีพรุ่งนี้ก็จะได้เลื่อนขั้นแล้ว นับว่ามีอนาคตไม่น้อย เดิมที…ผู้นี้นั้นเหมาะสมกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเซี่ย น่าเสียดาย ผู้นี้ได้หมั้นหมายกับคุณหนูสี่ตระกูลฉินไปแล้วเมื่อสองปีก่อน”
หนานกงมั่วหันมองตามไปเห็นว่าผู้ที่องค์หญิงฉังผิงชี้นั้นรูปลักษณ์ไม่ธรรมดาเลย หลายวันมานี้เห็นพวกคุณชายในจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องนั่นจนชินแล้ว คุณชายสามตระกูลจู อีกทั้งกลุ่มตระกูลลิ่นนั่น ไม่รู้ว่าเป็นตระกูลหลักหรือเป็นเครือญาติกัน หนานกงมั่วรู้สึกผิดหวังต่อบรรดาคุณชายตระกูลขุนนางในจินหลิงขึ้นมาบ้างแล้ว ยามนี้มองไปยังคนเหล่านั้น แม้หน้าตาท่าทางจะร้ายกาจมีอำนาจสู้เว่ยจวินมั่วและศิษย์พี่ของตนไม่ได้ ทว่าไม่ได้ต่างจากลิ่นฉังเฟิงมากนัก หากเอ่ยถึงจิตใจ เกรงว่าคุณชายเหล่านั้นคงต้องหลีกทางให้คุณชายฉังเฟิงผู้ที่ทำตัวล่องลอยไปทั่ว
“หร่วนอวี้จือหรือ” สายตาของหนานกงมั่วมองไปยังชายหนุ่มผู้สง่างามดูมีวิชาความรู้ที่กำลังดีดฉิน เลิกคิ้วเอ่ยถาม “คล้ายกับว่าจินหลิงจะไม่มีตระกูลที่มีแซ่หร่วนมิใช่หรือ”
เซี่ยเพ่ยหวนกระซิบตอบ “จินหลิงไม่มีตระกูลแซ่หร่วนจริงๆ ไต้เท้าหร่วนผู้นี้เกิดในครอบครัวที่ยากจน แต่เมื่อสองปีก่อนสอบหลังจากสอบได้ทั่นฮวา[1]ก็ตกหลุมรักกันกับคุณหนูสี่ตระกูลฉิน คุณหนูสี่ฉินยังเด็กร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นตระกูลฉินจึงรอให้อายุครบสิบแปดก่อนจึงแต่งงาน แต่สองปีมานี้เมื่อมีตระกูลฉินคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ไต้เท้าหร่วนผู้นี้จึงเรียกได้ว่าเดินได้ราบรื่น” ผู้ที่สอบเข้ามาพร้อมกันในครั้งนั้นยามนี้ยังคงแย่งชิงขั้นห้ากันอยู่เลย หร่วนอวี้จือกลับกระโดดขึ้นมาอยู่ขั้นสี่ได้ ว่ากันว่าปีหน้าก็จะได้เลื่อนอีกหนึ่งขั้นมาเป็นรองเจ้ากรมขุนนางแล้ว อนาคตของหร่วนอวี้จือไม่ได้มีเพียงเท่านี้ กฎที่ไม่ถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรของราชวงศ์นี้ที่ว่าไม่ใช่ฮั่นหลินไม่อาจเข้าร่วมเป็นขุนนางในราชสำนัก เช่นนี้หร่วนอวี้จือผู้นี้ยังมาจากสำนักฮั่นหลินอีกด้วย อีกไม่กี่ปีไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นขุนนางในราชสำนักที่อายุน้อยที่สุดก็ไม่อาจทราบได้
“ตระกูลฉินอู๋สยาพอนึกออกหรือไม่” เซี่ยเพ่ยหวนเอ่ยถาม
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “เซี่ย ฉิน ลิ่น หยาง เจี่ยง เหลียน หลี่ ซู จ้าว จู ตระกูลใหญ่อันดับสองในสิบตระกูลของจินหลิง หร่วนทั่นฮวาผู้นี้ช่างรู้จักเชื่อมสัมพันธ์” สิบตระกูลใหญ่แต่ละตระกูลล้วนมีรากฐาน เช่นตระกูลหนานกงที่เติบโตมากะทันหัน แต่ต่อให้หนานกงไหวมีอำนาจยิ่งใหญ่ก็ยังสู้ไม่ได้
เซี่ยฮูหยินได้ยินบทสนทนาของพวกนาง ส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม “ตระกูลเซี่ยไม่สนใจการเมือง ยามนี้เกรงว่าคงเป็นตระกูลฉินที่เป็นอันดับหนึ่งของจินหลิง ไต้เท้าหร่วนผู้นี้ ได้ยินมาว่ามีความสามารถอยู่พอตัว”
หนานกงมั่วเอ่ยถาม “เพ่ยหวนเคยเห็นคุณหนูสี่ตระกูลฉินหรือไม่”
——————–
[1] ทั่นฮวา ผู้ที่สอบจอหงวนได้ลำดับสาม