Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1851 สี่สิบเก้าแคว้นแห่งหงเหมิง

ตอนที่ 1851 สี่สิบเก้าแคว้นแห่งหงเหมิง
หลังจากยานลมกรดเคลื่อนย้ายเข้าไปยังโลกใหญ่หงเหมิงที่มีไอขุ่นมัวอบอวลนั้น มุ่งหน้าไปอีกสองวันก็ค่อยๆ มาถึงในที่สุด
เมืองหลินอัน
เมืองท่าแห่งหนึ่งในโลกใหญ่หงเหมิง เจริญรุ่งเรืองคราคร่ำ มีผู้คนมากมายอยู่อาศัยแน่นขนัด
แต่ละวันล้วนมียานข้ามโลกจากพื้นที่ต่างๆ มากมายมาจอดอยู่นอกเมืองนี้ และก็มียานข้ามโลกนับไม่ถ้วนเคลื่อนยานจากเมืองนี้ไปบนฟ้าดารา
ในโลกใหญ่หงเหมิง เมืองท่าเช่นนี้มีอยู่นับไม่ถ้วน พบเห็นได้ทั่วไป
ตามหลังเสียงกัมปนาท ยานลมกรดลงจอดบนพื้นปฐพี
พริบตานี้หลินสวินสัมผัสได้ถึงพลังกฎเกณฑ์ฟ้าดินอันหนักหน่วงที่ถาโถมเข้าใส่ทันที กลิ่นอายดึกดำบรรพ์พร่ามัวที่แผ่กระจายทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั้งตัว
รสชาตินั้นก็เหมือนออกมาจากทะเลทรายที่แห้งแล้ง และมาถึงแดนมงคลอันอัศจรรย์งามวิจิตรกะทันหัน ลมหายใจในจมูกปากแต่ละสายล้วนเป็นกลิ่นอายแรกกำเนิดที่บริสุทธิ์
ส่วนจิตใจก็เหมือนถูกกลิ่นอายมหามรรคแทรกซึม มีความรู้สึก ‘ปลอดโปร่งโล่งใจ สบายไปทั้งตัว’
หลินสวินไหวหวั่นทันที
เป็นโลกที่วิเศษผิดธรรมดานัก!
ด้วยพลังปราณระดับมกุฎราชันอริยะของเขาในตอนนี้ ชั่วพริบตาก็ชี้ชัดได้แล้วว่าหากฝึกปราณอยู่ที่นี่ จะเทียบได้กับการฝึกปราณในถ้ำสวรรค์แดนมงคลชั้นหนึ่งของดินแดนรกร้างโบราณ
แต่ต้องรู้ว่านี่เป็นแค่นอกเมืองแห่งหนึ่งของโลกใหญ่หงเหมิงเท่านั้น ไม่ใช่ถ้ำสวรรค์แดนมงคลอะไรเลย!
‘ไม่แปลกที่ผู้ฝึกปราณบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้จะมองโลกใหญ่หงเหมิงเป็นแดนฝึกปราณศักดิ์สิทธิ์ ที่นี่… ไม่ธรรมดาเกินไปแล้วจริงๆ’
หลินสวินทอดถอนใจอยู่ภายในใจ
ตั้งแต่ฝึกปราณจนถึงตอนนี้เขาเคยไปมาไม่รู้กี่ที่ แต่สถานที่ซึ่งเปรียบเทียบกับโลกใหญ่หงเหมิงได้นั้นแทบไม่มี!
กฎเกณฑ์ฟ้าดินของที่นี่แผ่กลิ่นอายดั้งเดิมออกมา ประสานเข้ากับมรรคและเหมาะกับการฝึกปราณที่สุด
บนยานลมกรด ผู้โดยสารแห่กันลงมาราวกระแสน้ำ ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ล้วนเผยสีหน้าตื่นเต้นยินดี เฝ้ารอและอยากรู้อยากเห็น
พวกเขาก็มาที่โลกใหญ่หงเหมิงเป็นครั้งแรกเช่นกัน ทะยานผ่านฟ้าดารานานครึ่งปี ในที่สุดก็มาถึงดินแดนอันอุดมสมบูรณ์สำหรับการฝึกปราณที่อัศจรรย์ผืนนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าต้องตื่นเต้นเพียงใด
“ผู้อาวุโสอวี่เสวียน ข้ากับอาจารย์ตั้งใจจะมุ่งหน้าไปแดนพิสุทธิ์กัมปนาททันที”
เสียงของหลิ่วชิงเยียนนุ่มนวลไพเราะ นางมาเพื่อบอกลาหลินสวิน
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ ยิ้มกล่าว “ไปเถอะ ต่อไปพวกเราต้องมีโอกาสได้พบกันแน่”
ตอนอยู่บนยานลมกรด เขามอบป้ายคำสั่งอักษร ‘เสวียน’ นั้นให้หลิ่วชิงเยียนแล้ว หากไม่ผิดคาด หลิ่วชิงเยียนต้องสามารถเข้าไปฝึกปราณในแดนพิสุทธิ์กัมปนาทได้แน่
“ผู้อาวุโสอวี่เสวียน ข้าขอถามท่านเรื่องหนึ่งได้ไหม”
หลิ่วชิงเยียนสูดหายใจลึก นัยน์ตาใสดั่งวารีจ้องมองหลินสวิน
หลินสวินยิ้มขื่นอยู่ในใจ เขาไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหลิ่วชิงเยียนจะถามอะไร
เขาก้มมองหญิงงามแห่งยุคที่ประหนึ่งก้าวออกมาจากภาพวาดที่อยู่ตรงหน้า กล่าวอย่างจริงจัง “แม่นางชิงเยียน รอพบกันครั้งหน้า ไม่ว่าเจ้าจะถามเรื่องอะไร ข้ารับรองว่าจะบอกเจ้าตามความจริงทั้งหมด”
หลิ่วชิงเยียนอึ้งไป ส่วนลึกของนัยน์ตาฉายแววขุ่นข้อง ทอดถอนใจกล่าว “ก็ได้ เช่นนั้น… วันหน้าจะได้พบกันอีกไหม”
เดิมทีนางก็งดงามแต่กำเนิด ดูพริ้งเพราสะอาดตา นุ่มนวลดั่งดอกกล้วยไม้ ทว่ายามพูดจาเวลานี้สีหน้ากลับเจือความผิดหวังและหดหู่เสี้ยวหนึ่ง ท่าทางน่าสงสารนั้นทำให้หลินสวินรู้สึกว่าอยากบอกฐานะของตัวเองกับอีกฝ่าย
แต่สุดท้ายเขายังอดกลั้นไว้ ยิ้มพลางพยักหน้า “แล้วพบกันอีกวันหน้า”
หลิ่วชิงเยียนกล่าวอืมออกมาคำหนึ่ง ก้าวลงจากยานลมกรดไปพร้อมกับจวงอวิ้นจื้ออาจารย์ของนาง
มองส่งนางค่อยๆ ห่างไป หลินสวินอดถอนใจกลางทรวงไม่ได้ จากกันครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้พบฝ่ายตรงข้ามอีกเมื่อไหร่
สิ่งที่หลินสวินไม่ได้สังเกตเห็นคือยามจากยานลมกรดไป มุมปากของหลิ่วชิงเยียนพลันโค้งเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
‘พี่หลินหนอพี่หลิน ตั้งแต่ครั้งแรกที่ท่านพูดถึงขลุ่ยวิญญาณโบราณ ข้าก็เดาฐานะของท่านได้แล้ว…’
นางรำพันในใจ
หกปีก่อนแหล่งสถานคุนหลุนมีข่าวใหญ่แพร่ออกมา ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลินสวินก็ชื่อเสียงสะเทือนทางเดินโบราณฟ้าดาราด้วยเหตุนี้ ชักนำให้ใต้หล้าปั่นป่วน
และตั้งแต่นั้นมาหลินสวินก็กลายเป็นศัตรูที่ขุมอำนาจใหญ่มากมายประกาศจับ ใต้หล้านี้มีผู้คนมองเขาเป็นเหยื่อไม่รู้เท่าไหร่ อยากได้ศุภโชคบนตัวเขาจนน้ำลายหก
แน่นอนว่าหลิ่วชิงเยียนก็รู้เรื่องนี้ดี
ดังนั้นนางจึงเข้าใจว่าเหตุใดหลินสวินต้องปิดบังฐานะ ทำเป็นไม่รู้จักนาง
‘เปลี่ยนเป็นคนอื่น คงไม่มีทางปกป้องข้าอย่างท่านแน่…’
นึกถึงตรงนี้นางหันกลับไปอย่างอดไม่ได้ ห่างออกไปยังเห็นเงาร่างสูงตระหง่านร่างนั้นยืนทอดสายตามองส่งตน
นางอดไม่ได้ที่จะโบกมือ บนใบหน้างามโดดเด่นเผยรอยยิ้มสดใส
ในใจกำลังพูดว่า ‘ขอบคุณที่คุ้มกันมาตลอดทาง คุณชายหลิน’
“พวกเราก็ไปกันเถอะ”
หลินสวินพูดพลางเดินออกจากยานลมกรดไป
ข้างๆ กัน จินเทียนเสวียนเยวี่ยในชุดขาวดุจหิมะ ท่าทางสง่างาม ก้าวตามจังหวะฝีเท้าของหลินสวินไป
มองส่งพวกเขาจากไป คนใหญ่คนโตทั้งหมดของหอเสียงสวรรค์รวมถึงเหลียงชวนต่างรู้สึกผ่อนคลายเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ในที่สุดก็ส่งนายท่านคนนี้ออกไปได้แล้ว!
นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบนยานลมกรดช่วงครึ่งปีมานี้ ในใจพวกเหลียงชวนต่างซับซ้อนขึ้นมา
‘หลังจากกลับไปข้าจะปิดด่าน ถ้าไม่แจ้งมรรคเป็นจักรพรรดิ จะไม่ก้าวออกมาในโลกอีกแม้เพียงก้าว!’
เหลียงชวนสูดหายใจลึก ตัดสินใจเด็ดขาด
ตลอดทางมานี้จิตใจของเขาถูกทรมานและทุกข์ทน แต่ก็ทำให้เขามองทะลุโซ่ตรวนและปราการที่อยู่ในใจด้วยเหตุนี้ได้เช่นกัน
บางทีคงนับได้ว่าเป็นทุกขลาภ
โลกใหญ่หงเหมิง หากไม่พูดถึงแดนแห่งปริศนา อาณาเขตที่ผู้ฝึกปราณอาศัยอยู่ตอนนี้แบ่งเป็นสี่สิบเก้าแคว้น
นำนัยมาจาก ‘มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า’
แต่ละแคว้นต่างครอบคลุมตัวเมืองและภูผาธารานับไม่ถ้วน กว้างใหญ่และไพศาลเป็นอย่างยิ่ง
‘แคว้นทรัพย์วิจิตร’ ที่เล็กที่สุดยังครองดินแดนเท่ากับดินแดนรกร้างโบราณทั้งหมด
ส่วน ‘แคว้นกลางมรรค’ ที่ใหญ่ที่สุดก็มีอาณาเขตกว้างกว่าแคว้นทรัพย์วิจิตรถึงพันเท่า
และเมื่อแดนแห่งปริศนาที่อยู่ใกล้แคว้นกลางมรรคถูกเบิกทางออกมา เทียบกับสมัยบรรพกาลแล้ว อาณาเขตของแคว้นกลางมรรคก็ยิ่งกว้างใหญ่กว่าในอดีตหลายเท่า!
ที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงคือ แคว้นกลางมรรคยังเป็นใจกลางของโลกใหญ่หงเหมิง ขุมอำนาจหกเรือนมรรคใหญ่ล้วนครองพื้นที่อยู่ในนั้น!
แคว้นกลางมรรคยังถูกมองเป็น ‘แหล่งรวมเหล่าจักรพรรดิ สถานที่ปลีกวิเวกของบรรพจารย์’ ด้วย!
ความหมายก็คือทั่วทางเดินโบราณฟ้าดารา หากพูดถึงพื้นที่ที่มีจำนวนระดับจักรพรรดิมากที่สุด ย่อมต้องเป็นแคว้นกลางมรรคอย่างไร้ข้อกังขา
เมืองหลินอัน
ตั้งอยู่ใน ‘แคว้นเขียว’ หนึ่งในสี่สิบเก้าแคว้นแห่งโลกใหญ่หงเหมิง เป็นเมืองหนึ่งในหมู่เมืองเรือนหมื่นของแคว้นเขียว ไม่ถึงขั้นเลื่องชื่อเท่าไหร่
แต่สำหรับหลินสวินที่มาโลกใหญ่หงเหมิงครั้งแรก เมืองหลินอันนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่งแล้ว กำแพงเมืองสูงถึงพันจั้ง ทอดยาวจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด สูงตระหง่านโดดเด่นและทรงพลัง
เวลาเที่ยงวัน แสงจากฟากฟ้ากระจ่างวิจิตรตระการตา
หน้าประตูเมือง เงาร่างของผู้ฝึกปราณมากมายหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย บ้างขี่นกวิญญาณกระเรียนเซียน บ้างขับเคลื่อนกระบี่แสงสมบัติ บ้างนั่งบนเบาะรองนั่ง เมฆมงคล…
หนุ่มสาวแก่เด็กมากมายหลายหลาก ทั้งมีสิ่งมีชีวิตเผ่าอื่นที่รูปร่างหน้าตาสารพัดแบบปรากฏเป็นระยะ ทำให้หลินสวินได้เปิดโลกทัศน์อย่างอดไม่ได้
ทว่าผู้ฝึกปราณพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนเหมือนหลินสวิน เป็นได้แค่ ‘แขกต่างถิ่น’ ที่มาจากดินแดนอื่นบนฟ้าดารา
ความรู้สึกแรกของหลินสวินก็คืออึกทึกและครึกครื้น!
“คนต่างถิ่นอย่างพวกเจ้าจงฟัง ถ้าจะเข้าเมืองระดับต่ำกว่าอริยะต้องจ่ายสามร้อยผลึกมรรค ระดับสูงกว่าอริยะจ่ายแค่สิบผลึกมรรค!”
ห่างออกไป หน้าประตูเมืองมีเสียงตวาดดุจอสนีบาตดังขึ้น
ก็เห็นผู้ฝึกปราณสวมเกราะ กลิ่นอายทรงพลังกลุ่มหนึ่งรักษาการณ์อยู่หน้าประตูเมือง กำลังจัดระเบียบคนเข้าออกเมือง
แค่ผู้คุ้มกันเมืองบางส่วนเท่านั้น แต่ภายในนั้นคนที่ร้ายกาจที่สุดถึงกับมีพลังปราณระดับอริยะแท้!
“รีบจ่ายผลึกมรรคเถอะ นี่คือผู้แข็งแกร่งของ ‘ตระกูลสิง’ ขุมอำนาจใหญ่อันดับหนึ่งแห่งเมืองหลินอัน ผู้นำตระกูลสิงหลิวสุ่ยเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของ ‘สำนักกระบี่เมฆาม่วง’ สำนักที่จัดอยู่ในอันดับสามของแคว้นเขียว อำนาจล้นฟ้า ในแคว้นเขียวนี้นับได้ว่าเป็นคนใหญ่คนโตผู้หนึ่ง”
ในฝูงชนมีคนพูดเสียงเบา อธิบายให้ ‘คนต่างถิ่น’ อย่างพวกหลินสวินฟัง
อาณาเขตของแคว้นเขียวกว้างใหญ่กว่าโลกแห่งหนึ่ง ขอแค่เป็นขุมอำนาจใหญ่ที่ก้าวขึ้นไปอยู่ในสามอันดับแรกได้ หากอยู่ในโลกอื่นก็เรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจระดับนายเหนือหัว
อย่างหอเสียงสวรรค์ ยามอยู่ในเขตแดนดาราจื่อเหิงจะถูกมองเป็นสำนักอันดับหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ที่แคว้นเขียวนี้ อย่างมากก็แค่พอสูสีกับสำนักกระบี่เมฆาม่วงที่จัดอยู่ในอันดับสาม!
“เข้าเมืองก็ต้องจ่ายผลึกมรรคด้วย นี่มันกฎเกณฑ์อะไรกัน”
มีคนไม่พอใจ ใช่ว่าจ่ายผลึกมรรคไม่ได้ หากแต่รู้สึกว่าโดนดูถูก
“กฎเกณฑ์ของตระกูลสิงก็คือกฎเกณฑ์ของเมืองหลินอัน ก่อนหน้านี้ก็มีคนปฏิเสธไม่จ่ายผลึกมรรค จุดจบนั้นน่าอนาถเป็นอย่างยิ่ง”
มีบุคคลรุ่นอาวุโสอดทนอธิบาย
เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้กับตาจากไกลๆ หลินสวินก็อดรู้สึกผิดคาดไม่ได้ แค่เข้าออกเมืองเท่านั้น ถึงกับกล้าเรียกผลึกมรรคจากผู้ฝึกปราณ ไม่กลัวหาเรื่องโดนคนที่ไม่ควรหาเรื่องหรือ
“คุณชายคงยังไม่รู้ มังกรแกร่งไม่อาจสยบคนพาล เมืองท่าอย่างเมืองหลินอัน สิ่งที่มีมากที่สุดในแต่ละวันก็คือคนต่างถิ่นที่ไม่คุ้นเคยอะไรในโลกใหญ่หงเหมิง โดยทั่วไปใครก็ไม่อยากบุ่มบ่ามล่วงเกินงูเจ้าถิ่นอย่างตระกูลสิง”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ อธิบายด้วยเสียงแผ่วเบา
หลินสวินพลันเข้าใจกระจ่าง “หรือกล่าวอีกนัยคือ สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นแค่ใน ‘เมืองท่า’ ใช่ไหม”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยกล่าว “ใช่ ถึงอย่างไรโลกใหญ่หงเหมิงก็กว้างใหญ่เกินไป พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อน ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนแหวกว่ายดุจฝูงปลา ทันทีที่ไม่ระวังก็อาจหาเรื่องโดนผู้สืบทอดของสำนักโบราณหรือตระกูลใหญ่บางแห่งได้”
หลินสวินพยักหน้า
คิดดูแล้วก็ถูก คนมาใหม่ที่ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ว่าใครเกรงว่าคงไม่อยากยุ่งวุ่นวาย
หลินสวินสังเกตเห็นเช่นกัน ว่าบุคคลชั้นยอดอย่างมหาอริยะ ราชันอริยะบางส่วนในฝูงชน ยามเข้าเมืองก็ยังจ่ายผลึกมรรคแต่โดยดี
หากอยู่ที่อื่นระดับมหาอริยะและราชันอริยะพวกนี้ล้วนเป็นคนที่มากอิทธิพล แต่พวกเขาที่มายังโลกใหญ่หงเหมิงเป็นครั้งแรก…
ก็ได้แต่ให้ความร่วมมือโดยดี
หลินสวินยังเห็นคนรุ่นเยาว์บางส่วนที่เห็นได้ชัดว่าชาติกำเนิดไม่ธรรมดา นัยน์ตาต่างเจือความโกรธไม่มากก็น้อย แต่ด้วยการพูดปลอบใจของผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกาย สุดท้ายก็ต่างอดกลั้นไว้
ในดินแดนอื่นบนฟ้าดารา พวกเขาอาจเป็นบุคคลที่เจิดจรัสสูงส่งหาใดเปรียบ แต่ในโลกใหญ่หงเหมิงก็เป็นได้แค่ ‘คนต่างถิ่น’ เท่านั้น
ขณะที่หลินสวินและจินเทียนเสวียนเยวี่ยเดินตามฝูงชนเพื่อเข้าเมือง มีเสียงหนึ่งดึงดูดความสนใจของหลินสวิน
“รีบดูเร็ว กระดานรางวัลค่าหัวหน้าประตูเมืองนี้กว่าครึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับหลินสวินนั่น! หลังจากการต่อสู้ที่แหล่งสถานคุนหลุนครั้งก่อนก็ผ่านมาเกือบเจ็ดปีแล้ว แต่หลินสวินนี่ยังถูกประกาศจับอยู่อีก!”
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท