ตอนที่ 334 ค่าเสียหายเจ้าจะจ่ายหรือไม่จ่าย (3)
ใบหน้าของพระชายารองเฝิงซีดขาวขึ้นมาทันใด หากให้ฝ่าบาทรับรู้ เกรงว่าเจ๋อเอ๋อร์คงจะไม่รอดชีวิตเป็นแน่
หนานกงมั่วเม้มริมฝีปากยิ้ม เอ่ยตอบรับอย่างว่าง่าย “เพคะ เสด็จแม่”
“หยุด” เว่ยหงเฟยก้าวเดินขึ้นมาด้านหน้า ยื่นมือไปจับองค์หญิงฉังผิงเอาไว้ ทว่าถูกมือหนึ่งแทรกเข้ามากันเขาออกไป เว่ยจวินมั่วเข้ามายืนอยู่ข้างองค์หญิงฉังผิงจ้องมองเขานิ่งด้วยใบหน้าเฉยชา
“หลบไป” มองเห็นเว่ยจวินมั่ว เว่ยหงเฟยยิ่งทนไม่ไหว ตวัดมือไปทางเว่ยจวินมั่ว ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ตลอดหลายปีมานี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่อยากจะฆ่าตัวประหลาดที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนคนนี้ เมื่อครั้งยังเด็กถูกองค์หญิงฉังผิงกันออกห่างไม่ให้เข้าใกล้เว่ยจวินมั่วได้ไม่ว่าทางใด รอจนเว่ยจวินมั่วโตแล้วก็กลายเป็นตนไม่มีความสามารถพอจะทำอะไรเขาได้แล้ว ยามนี้ยังมาถูกเว่ยจวินมั่วขวางทางเอาไว้อีก เว่ยหงเฟยทนไม่ไหวต่อยเว่ยจวินมั่วออกไป
เว่ยจวินมั่วจะยอมให้เขาทำให้ตนต้องบาดเจ็บได้เยี่ยงไร เบี่ยงตัวหลบเบาๆ ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะวาดมือตอบโต้กลับไป เป็นฝ่ามือที่ดูไม่ตั้งใจทว่าทำให้เว่ยหงเฟยปวดร้าวไปทั้งร่าง มองใบหน้าเรียบนิ่งของเว่ยจวินมั่วอย่างตกใจ ที่แท้วรยุทธของเว่ยจวินมั่วร้ายกาจถึงเพียงนี้…
“จวินเอ๋อร์…”
หนานกงมั่วพาองค์หญิงฉังผิงมารอชมอยู่ในที่ปลอดภัย ยิ้มบางๆ “เสด็จแม่วางใจเถิด จวินมั่วเขาไม่เป็นไรหรอกเพคะ” องค์หญิงฉังผิงไม่รู้วรยุทธ แต่เมื่อเห็นท่าทางไม่มีความกังวลแม้เพียงนิดของหนานกงมั่วจึงวางใจอยู่บ้าง
เว่ยหงเฟยไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของเว่ยจวินมั่วได้ เพียงสาม ห้ากระบวนท่าก็พ่ายแพ้แล้ว คนที่อยู่ตรงนี้ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีวรยุทธก็สามารถดูออกว่าทั้งสองนั้นมิใช่คู่ต่อสู้ที่เทียบชั้นกันได้ ดูความแตกต่างของอายุ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคำพูดขององค์หญิงเมื่อสักครู่ จวิ้นอ๋องที่วรยุทธต่ำต้อยเพียงนี้อาศัยความสามารถตนเองขึ้นเป็นจวิ้นอ๋องจริงๆ น่ะหรือ คิดดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้ หรือว่าคำพูดขององค์หญิงจะเป็นความจริง
แม่เฒ่าถูกประคองอยู่ มือที่ชี้ไปยังเว่ยจวินมั่วสั่นเทา “ช่าง…ช่างสามหาวยิ่งนัก เด็กๆ ข้าจะเข้าวัง ข้าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท บนโลกนี้ยังมีผู้น้อยทำกับผู้อาวุโสเช่นนี้ได้หรือ”
ดวงตาสีม่วงเย็นยะเยือกคู่นั้นมีไอสังหารพาดผ่าน ไม่สนใจแม่เฒ่าที่กำลังร้องโวยวาย ก้าวเดินไปหยุดตรงหน้าองค์หญิงฉังผิง ไม่เอ่ยสิ่งใด ดวงตาสีม่วงเข้มเพียงจ้องมองมารดานิ่ง องค์หญิงฉังผิงมองบุตรชายพลางถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของบุตรชายเบาๆ เอ่ย “จวินเอ๋อร์ เจ้ามั่นใจแล้วหรือ”
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ลูกไม่อยากให้เสด็จแม่และอู๋สยาต้องลำบาก หากมีครั้งต่อไป ลูกคง…สังหารพวกเขาทั้งหมด”
หันกลับไป ดวงตาสีม่วงกวาดตามองทุกคน ณ ที่ตรงนี้ ทุกคนรู้สึกสันหลังเย็นวูบ เสียงโวยวายของแม่เฒ่าพลันเงียบลง ชั่วครู่จึงมีสติกลับมาเอ่ยขึ้นเสียงดัง “เจ้ากล้า…”
“ข้ากล้า” เว่ยจวินมั่วเอ่ยตอบโต้ แสงสีเงินตวัดผ่าน ทุกคนมองเห็นแสงสีเงินวาดผ่าน ปลายกระบี่คมพาดผ่านไป ต้นไม้ใหญ่ที่เว่ยจวินเจ๋อแขวนอยู่เมื่อสักครู่เอนล้มลงเกือบทับผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ
ชั่วครู่ทั่วทั้งเรือนพลันเงียบสงบ บรรยากาศเงียบสงัดกดดันจนแทบได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้น
แม่เฒ่ากรีดร้องขึ้นมา เป็นลมล้มพับไปทันที
หนานกงมั่วยืนอยู่ข้างองค์หญิงฉังผิงส่ายศีรษะมอง ยักไหล่ ครั้งนี้เป็นลมไปจริงๆ แล้ว
องค์หญิงฉังผิงเอ่ยเสียงเข้ม “ลากตัวเว่ยจวินเจ๋อออกไป โบยให้หนัก คนอื่นๆ…ไปเก็บของ ตามข้าไปจากที่นี่”
ทุกคนตกตะลึง เว่ยหงเฟยมองไปยังองค์หญิงฉังผิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ ลืมแม้กระทั่งเรื่องของเว่ยจวินเจ๋อ หลายปีมานี้องค์หญิงฉังผิงไม่เคยเอ่ยถึงการจากไป อยู่ในฐานะองค์หญิงเดิมต้องมีจวนองค์หญิง แต่เมื่อพวกเขาแต่งงานความสัมพันธ์ยังดีองค์หญิงฉังผิงเลยไม่ต้องการจวนองค์หญิง ต่อมาเพราะให้กำเนิดเว่ยจวินมั่วทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขามีรอยร้าว ทว่าองค์หญิงฉังผิงก็ยังอาศัยอยู่ที่เรือนของตนเองไม่เคยคิดจะจากไป ยามนี้ได้ยินคำพูดขององค์หญิงฉังผิงแล้ว เว่ยหงเฟยไม่อาจเข้าใจได้
“เสด็จแม่ พวกเราจะไปอยู่ที่ไหนหรือเพคะ” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
นางไม่มีความคิดเห็นต่อการจะไปอยู่ที่ไหนมากนัก ไม่ว่าไปอยู่ที่ใดขอเพียงไม่มีใครมาหาเรื่องนางมากนักก็พอแล้ว
องค์หญิงฉังผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ไปที่จวนรับรองในจินหลิงของเสด็จลุงเยี่ยนอ๋องของเจ้าก่อน พรุ่งนี้แม่จะเข้าไปขอให้เสด็จพ่อประทานจวนองค์หญิงให้” เมื่อครั้งนั้นสินสมรสของนางยังขาดจวนองค์หญิง แม้ว่าตอนนั้นเป็นนางเองที่ไม่ต้องการก็ตาม หนานกงมั่วยิ้มร่า “ความจริงไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก อู๋สยามีบ้านหลายหลังอยู่ในจินหลิง”
องค์หญิงฉังผิงยิ้มบางๆ เอ่ย “เด็กโง่ นั่นจะเหมือนกันได้เยี่ยงไร” ฐานะเช่นพวกนางใครกันจะซื้อบ้านไม่ได้ แต่หากมิใช่สถานที่ที่ฝ่าบาทประทานให้ ต่อให้ดีเพียงใดก็ดูไม่เหมาะสม
หนานกงมั่วตบมือ “ได้ยินคำสั่งของเสด็จแม่แล้ว ยังไม่รีบไปเก็บของอีก”
“เจ้าค่ะ พระชายาซื่อจื่อ” บ่าวเรือนซูอวิ๋นรีบส่งเสียงตอบรับ ต้นไม้เรือนซูอวิ๋นถูกซื่อจื่อตัดแล้ว ตัวเรือนก็ถูกทุบแล้ว อย่างไรก็ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้แล้ว เจ้านายบอกให้ย้ายพวกเขาก็ต้องย้าย ภายใต้การนำของพ่อบ้านและสาวใช้เคียงกาย บ่าวเรือนซูอวิ๋นจึงพากันรีบไปเก็บข้าวของ ไปสนใจความวุ่นวายในเรือนแทน คนอื่นๆ ได้แต่นิ่งอึ้ง… องค์หญิง…จะไปจริงๆ หรือ
“ฉังผิง เจ้าจะสร้างเรื่องไปถึงเมื่อใดกัน” เว่ยหงเฟยเอ่ยขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าจะโบยเจ๋อเอ๋อร์ข้าก็ไม่ยุ่งแล้ว ยังไม่พออีกหรือ เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีก”
องค์หญิงฉังผิงเอ่ยเสียงเรียบ “อย่ามาพูดให้น่าสงสารนักเลย ข้าโบยเว่ยจวินเจ๋อเพราะเขาไม่รู้จักเคารพซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อ เป็นสิ่งที่เขาควรได้รับ ส่วนเจ้า…ข้าไม่ต้องการเจ้าแล้ว ข้ามีบุตรชายมีลูกสะใภ้ คร้านจะวุ่นวายกับพวกเจ้าแล้ว” เว่ยหงเฟยเริ่มลนลาน “ชื่อเสียงของเจ้าไม่ต้องการแล้วหรือ”
“ข้ามีชื่อเสียงใดด้วยหรือ” องค์หญิงฉังผิงไม่ใส่ใจ “จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องแห่งนี้ใครอยากได้ก็เอาไป แต่เว่ยหงเฟยเจ้าจำเอาไว้ ตำแหน่งจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง…นอกจากจวินเอ๋อร์เจ้าอย่าได้คิดจะยกให้ผู้ใด ต่อให้จวินเอ๋อร์ไม่เสียดาย เจ้าก็ภาวนาเอาเถิดว่าเจ้าจะอยู่ได้นานเพียงใดโดยไม่ถูกปลดจากตำแหน่ง มิเช่นนั้นข้าจะทูลขอฝ่าบาทให้เพิกถอนตำแหน่งของเจ้า”
“ด้วยสิทธิ์อันใด” พระชายารองเฝิงอดไม่ได้เอ่ยถามขึ้น วาจานี้ขององค์หญิงฉังผิงช่างโหดร้าย ไม่ว่าจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องจะยอมหรือไม่ยอมยกตำแหน่งให้เว่ยจวินมั่วก็มิใช่เรื่องของคนอื่น หากยกให้เว่ยจวินมั่วเช่นนั้นก็ย่อมไม่เกี่ยวข้องอย่างไรกับพวกนางสามแม่ลูก ทว่าหากไม่ถ่ายทอดสืบต่อไป ตำแหน่งจวิ้นอ๋องก็จะสิ้นสุดอยู่ที่เว่ยหงเฟย ยิ่งไม่เกี่ยวข้องใดเลย
องค์หญิงฉังผิงยิ้มบาง เอ่ย “เพราะข้าเป็นองค์หญิง เป็นธิดาของฮ่องเต้ ทุกอย่างในจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องนั้นเป็นรางวัลของข้า ข้าไม่ยินยอมจะยกให้พวกเจ้า”
“เจ้าไปไม่ได้” เว่ยหงเฟยเอ่ยเสียงดัง
หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วก้าวเดินขึ้นมาขวางระหว่างองค์หญิงฉังผิงและเว่ยหงเฟย สายตาขององค์หญิงที่มองไปยังพวกเขานั้นราบเรียบไร้เกลียวคลื่น “ข้าไปได้ หลายปีมานี้ที่ข้าไม่ไปเพราะมีความจำเป็น ในเมื่อจวินเอ๋อร์ไม่เสียดายตำแหน่งจวิ้นอ๋องแล้ว เว่ยหงเฟย นับประสาอันใดกับเจ้า เจ้าคิดว่า…ข้ายังเป็นเซียวโหย่วหนิงคนนั้นอยู่อีกหรือ”