ตอนที่ 329 ไม่รับผิดชอบ (1)
แน่นอนว่าฉินจื่อซวี่เข้าใจ สีหน้าจึงยิ่งทะมึนขึ้น เนิ่นนาน…ฉินจื่อซวี่จึงเอ่ยเสียงเย็น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หร่วนอวี้จือก็ไม่ควรเก็บเอาไว้”
“เกรงว่าเวลานี้คุณชายฉินคงจะแตะต้องหร่วนอวี้จือไม่ได้” เว่ยจวินมั่วเอ่ยขึ้นทันใด ฉินจื่อซวี่ขมวดคิ้วแล้วหันไปหาเว่ยจวินมั่ว แสดงออกว่าต้องการขอเหตุผลจากเขา เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านคิดว่าหร่วนอวี้จือเป็นคนของตระกูลฉินจริงๆ หรือ”
ฉินจื่ออวี้ชะงัก ไม่นานจึงได้สติ ดวงตาหรี่แคบ ปกปิดสายตาที่เย็นยะเยือก “ ดี หร่วนอวี้จือช่างดียิ่งนัก” หรือว่าเขาคิดว่าเพียงเขาคนเดียวก็สามารถถอนรากถอนโคลนตระกูลฉินได้อย่างนั้นหรือ ใครให้ความกล้ากับเขาถึงเพียงนี้กัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้เขาได้เห็นว่าอำนาจของตระกูลขุนนางเป็นเยี่ยงไร
สมแล้วกับการเป็นผู้มีการศึกษา ฉินจื่อซวี่ไม่นานก็สงบสติอารมณ์ลงได้ ใบหน้าหล่อเหลากลับมาสง่างามอ่อนโยนเช่นเดิม ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ฉินจื่อซวี่เอ่ยถามต่อว่า “ทั้งสามท่านเลือกที่จะบอกเรื่องนี้กับข้า คงไม่คิดจะเอ่ยจบง่ายๆ หรอกใช่หรือไม่ ไม่รู้ว่ามีแผนการใดอยู่บ้าง”
หนานกงมั่วมองสบตากับลิ่นฉังเฟิง แสดงออกให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีแผนการใด เรื่องแผนการ หากสามารถปล่อยให้ผู้อื่นทำแทนได้ไยต้องลำบาก ยิ่งไปกว่านั้นเห็นได้ชัดว่าหร่วนอวี้จือเป็นคนของคนในวังผู้นั้น หากสามารถยืมมือตระกูลฉินจัดการเขาได้แน่นอนว่าย่อมดีที่สุด อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่คิดจะล่วงเกินฮ่องเต้ หากจะจัดการหร่วนอวี้จือทางอ้อมโดยเลี่ยงจากฮ่องเต้มิใช่ว่าทำไม่ได้แต่ก็ยุ่งยากทีเดียว
ฉินจื่อซวี่เองมิใช่ตะเกียงไร้น้ำมัน จะไม่รู้แผนการของพวกเขาหรือ หร่วนอวี้จือนั้นดูถูกฉินจื่อซวี่ มันคิดว่าหากฉินจื่อซวี่ไม่ได้เกิดในตระกูลที่ดีก็คงไม่ต่างอะไรกับตน แต่ฉินจื่อซวี่มิใช่ไม่สู้เขา สิ่งที่หร่วนอวี้จือไม่รู้ก็คือตระกูลขุนนางอย่างตระกูลฉิน ผู้สืบทอดผู้นำตระกูลไม่จำเป็นต้องฉลาดล้ำเกินใครในตระกูล แต่เป็นคนที่ต้องมั่นใจว่าจะสามารถดูแลรักษาอำนาจของตระกูลเอาไว้ได้ เพราะแบบนี้คุณชายตระกูลเซี่ยผู้มีความสามารถที่สุดคือคุณชายเซี่ยเจ็ด แต่คุณชายว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลเซี่ยยังคงเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลเซี่ย เพียงแต่…เรื่องนี้เดิมก็เป็นเรื่องของตระกูลฉิน ไม่ว่าลิ่นฉังเฟิงจะมีความแค้นใดกับหร่วนอวี้จือหรือไม่ เพียงเขานำเรื่องนี้มาบอกกับตระกูลฉินโดยตรงไม่ได้เปิดเผยต่อผู้คน นับว่าเป็นพระคุณต่อตระกูลฉินอย่างยิ่งแล้ว
ฉินจื่อซวี่นวดหัวคิ้วเบาๆ แล้วจึงเอ่ยเสียงเรียบ “หร่วนอวี้จือย่อมมิใช่ปัญหา ตอนนี้ปัญหาก็คือ…ซีเอ๋อร์”
ลิ่นฉังเฟิงเลิกคิ้ว ฉินจื่อซวี่ถอนหายใจ เอ่ยต่อว่า “ร่างกายของซีเอ๋อร์…” เอ่ยเพียงเท่านี้ ฉินจื่อซวี่พลันชะงักงัน มองเว่ยจวินมั่วที่นั่งอยู่ด้านข้าง ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ย “ล่วงเกินแล้ว…ไม่รู้ว่าข้าจะเชิญพระชายาซื่อจื่อไปดูอาการซีเอ๋อร์ได้หรือไม่”
เวลานี้ชื่อเสียงด้านการแพทย์ของพระชายาซื่อจื่อโด่งดังไปทั่วจินหลิง แต่ตระกูลฉินไม่เคยคิดถึงการเชิญหนานกงมั่วมารักษา เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่ว่าจะสถานะใด พระชายาซื่อจื่อแห่งจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องหรือซิงเฉิงจวิ้นจู่ล้วนไม่สามารถรักษาใครทั่วไปได้ เอ่ยร้องขอเช่นนี้ นับว่าเป็นการดูหมิ่นและเหยียบย่ำฐานะของหนานกงมั่ว หากใจแคบสักนิดคงขุ่นเคืองใจไม่น้อย จากเรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าฉินจื่อซวี่รักฉินซีน้องสาวผู้นี้มากเพียงใด มิเช่นนั้นด้วยฐานะของฉินจื่อซวี่คงไม่เอ่ยร้องขอเรื่องนี้ขึ้นมา
เว่ยจวินมั่วกวาดสายตาเย็นชามองฉินจื่อซวี่ไม่เอ่ยสิ่งใด ฉินจื่อซวี่เข้าใจว่าเขาปฏิเสธแล้ว แม้จะรู้สึกผิดหวังแต่ก็ไม่แปลกใจ ทำได้เพียงยิ้มขมขื่น “ข้าล่วงเกินแล้ว”
ได้รับสัญญาณจากหนานกงมั่ว ลิ่นฉังเฟิงจึงยกมือเคาะปลายจมูกเบาๆ ยิ้มแห้ง “อย่าเข้มงวดนักเลย…แหะๆ จวินมั่ว เรื่องนี้ความจริงเจ้ากลับไปหารือกับแม่นางมั่วก่อนดีหรือไม่” สีหน้าของเว่ยจวินมั่วเฉยชา เห็นได้ชัดว่าไม่คิดว่าเรื่องนี้จะมีอะไรน่าหารือ ลิ่นฉังเฟิงถอนหายใจ “วิชาการแพทย์แม่นางมั่วล้ำเลิศ เจ้ารู้ได้เยี่ยงไรว่านางไม่ยินดีช่วยตรวจดูอาการของคุณหนูฉิน ต่อให้ไม่เอ่ยถึงเรื่องช่วยไม่ช่วย แม่นางมั่วมีสหายเพิ่มอีกสักคนสองคนก็น่าจะดี”
สีหน้าของลิ่นฉังเฟิงขมขื่นถึงเพียงนี้ ขอเพียงเว่ยซื่อจื่อไม่ได้ตาบอดก็คงรู้ว่านี่เป็นความต้องการของใคร ไล่สายตามองหนานกงมั่วที่นั่งเล่นถ้วยชาตรงหน้า ราวกับไม่มีสิ่งใดทำแล้วจึงเอ่ยตอบเสียงเรียบ “ข้ากลับไปจะหารือกับอู๋สยา”
ฉินจื่อซวี่รู้สึกดีใจ “ขอบคุณเว่ยซื่อจื่อแล้ว” ไม่ว่าสุดท้ายซิงเฉิงจวิ้นจู่จะยอมรักษาน้องสาวหรือไม่ หรือจะรักษาได้หรือไม่ อย่างน้อย…ก็ยังมีความหวังเพิ่มขึ้นมามิใช่หรือ
ทั้งสองฝ่ายทำข้อตกลงกันเรียบร้อย รอยยิ้มบนใบหน้าของลิ่นฉังเฟิงพลันสดใสขึ้นหลายส่วน เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “คุณชายฉินคิดจะจัดการหร่วนอวี้จือเยี่ยงไร”
ฉินจื่อซวี่นวดขมับ เอ่ยตอบ “หากเป็นหร่วนอวี้จือผู้เดียวคงมิใช่เรื่องใหญ่ ขอเพียงซีเอ๋อร์ไม่เป็นอันใด เรื่องอื่นก็คงจัดการได้ง่าย ส่วน…ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขา…” ฉินจื่อซวี่เผยรอยยิ้มเย็น “คงไม่คิดจะเสียสละเพราะปกป้องหร่วนอวื้จือคนเดียวหรอกกระมัง หร่วนอวี้จือยังไม่ได้สำคัญถึงเพียงนั้น”
ลิ่นฉังเฟิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “คุณชายใหญ่ฉินรู้ขอบเขตแล้วก็ดี เพียงแต่อย่าได้บุ่มบ่ามไปเล่า”
ฉินจื่อซวี่ยิ้ม “บอกข้าอย่าได้บุ่มบ่าม มิใช่นิสัยของคุณชายฉังเฟิงเลยหนา” ลิ่นฉังเฟิงลูบจมูกไม่เอ่ยสิ่งใด แน่นอนว่านี่มิใช่ความคิดเห็นของเขา แต่เป็นความคิดเห็นของหนานกงมั่วต่างหาก หร่วนอวี้จือไม่มีอะไรเพียงใช้อำนาจบีบเขาให้ตายก็ทำได้ แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเขานั้นไม่ควรไปยุ่ง หากไปแตะต้องการต่อสู้ของเชื้อพระวงศ์และบัลลังก์ของคนผู้นั้น…หึหึ เช่นนั้นคงน่าอึดอัดแล้ว
“จื่อซวี่” หร่วนอวี้จือรีบเดินเข้ามา มองเห็นทั้งสี่นั่งดื่มชากันอยู่ในศาลาสีหน้าตกตะลึง “มาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร”
ฉินจื่อซวี่เลิกคิ้ว ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววงุนงงไม่เข้าใจพลางเอ่ย “ด้านในค่อนข้างอึดอัดจึงออกมาสูดอากาศสักหน่อย ทำไมหรืออวี้จือ”
สีหน้าของหร่วนอวี้จือผ่อนคลายลง สายตาระแวดระวังมองไปยังเว่ยจวินมั่วทั้งสามลอบถอนหายใจอยู่ภายใน แม้ไม่อาจแน่ใจว่าลิ่นฉังเฟิงจะรู้เรื่องใดบ้างแต่คุณชายแซ่มั่วผู้นี้ดูจะรู้เรื่องของเขากับเหยียนลัวอีอยู่? หร่วนอวี้จือมักรู้สึกว่าทั้งสองไม่ได้ประสงค์ดีต่อเขา แม้ไม่คิดว่าตนเองมีความผิดแต่หร่วนอวี้จือรู้ว่าหากฉินจื่อซวี่รู้เรื่องเหล่านี้ เขาย่อมต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของฉินซีอย่างแน่นอนคงไม่อาจสงบนิ่งได้ถึงเพียงนี้
“ในเมื่อจื่อซวี่รู้สึกอึดอัด พวกเรากลับก่อนเถิด ข้ากำลังอยากไปดูซีเอ๋อร์พอดี” หร่วนอวี้จือเอ่ยขึ้น เขานึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดี แต่การแยกฉินจื่อซวี่ออกจากลิ่นฉังเฟิงนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ฉินจื่อซวี่ขมวดคิ้ว เอ่ยตอบ “อวี้จือ วันนี้เจ้าเป็นอันใดไป ไยจึงว้าวุ่นเช่นนี้…เห็นเว่ยซื่อจื่อยังไม่คารวะอีก”
หร่วนอวี้จือสำลัก พลันพูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะ เดิมเขาแสดงออกถึงความมีมารยาทอ่อนน้อมถ่อมตน ท่าทีว้าวุ่นเช่นนี้น้อยครั้งนักจะได้เห็น
ถึงจะไม่ยินยอมทว่าก็ทำสิ่งใดไม่ได้ หร่วนอวี้จือประสานมือคารวะ “คารวะเว่ยซื่อจื่อ”
เว่ยจวินมั่วเงยหน้า กวาดสายตามองเขานิ่งๆ พยักหน้ารับเบาๆ แม้หร่วนอวี้จือจะไม่พอใจทว่าทำอันใดไม่ได้ เว่ยจวินมั่วฐานะสูงส่งกว่าเขา ระดับขั้นก็สูงกว่าเขา ความสัมพันธ์กับฮ่องเต้ยิ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจเทียบได้ อย่าว่าแต่เว่ยจวินมั่วเย็นชา ต่อให้เว่ยจวินมั่วถีบเขาตอนนี้เขาคงทำได้เพียงน้อมรับ เพราะความอดทนและความอัปยศที่อยู่ในใจนี้ทำให้เขายอมไม่ได้ จึงยืนหยัดมั่นคงที่จะปีนขึ้นไปอีกครั้ง