ตอนที่ 331 ไม่รับผิดชอบ (3)
ฉินจื่อซวี่ยกมือขึ้นลูบผมของน้องสาว เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พี่ใหญ่ขอให้ซื่อจื่อแห่งจิ้งเจียงช่วยหารือกับพระชายาซื่อจื่อเพื่อมารักษาอาการให้เจ้า อีกสองวันรอพระชายาซื่อจื่อตอบกลับมา ก็ให้ท่านแม่พาเจ้าไปถวายพระพรองค์หญิงฉังผิงดีหรือไม่” ฉินซีชะงัก “จะดีหรือเจ้าคะ ซิงเฉิงจวิ้นจู่ฐานะสูงส่ง มารักษาข้าเกรงว่า…คงจะไม่เหมาะสม”
หร่วนอวี้จือเองก็รีบเอ่ย “ซีเอ๋อร์กล่าวถูกแล้ว จื่อซวี่…ซิงเฉิงจวิ้นจู่เป็นสะใภ้ขององค์หญิงฉังผิง องค์หญิงฉังผิงจะยอมให้สะใภ้ของตนมาเป็นหมอหญิงรักษาคนอื่นได้เยี่ยงไร ยิ่งไปกว่านั้น…เว่ยซื่อจื่อผู้นั้นดูเหมือน…พวกเราหาหมอท่านอื่นมารักษาซีเอ๋อร์ดีหรือไม่”
ฉินจื่อซวี่ช้อนสายตามองเขา เอ่ยขึ้นว่า “ซิงเฉิงจวิ้นจู่จะเป็นหมอหญิงได้เยี่ยงไร จวิ้นจู่วิชาการแพทย์สูงส่งเห็นว่าซีเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอเลยอยากตรวจดูไม่มีอันใดมาก ส่วนองค์หญิงฉังผิงก็ยิ่งไม่ต้องกังวล องค์หญิงมีเมตตา คงไม่เห็นคนเจ็บไปแล้วไม่ช่วย นอกจากนี้ ต่อให้ซิงเฉิงจวิ้นจู่จนปัญญา ข้าได้ยินมาว่าศิษย์พี่ของซิงเฉิงจวิ้นจู่เองก็เป็นหมอเทวดาท่านหนึ่ง ขอให้จวิ้นจู่ช่วยแนะนำก็ยังได้”
หร่วนอวี้จือไร้สิ้นคำพูดทว่าไม่ยินยอมอยู่ในใจ เขานึกถึงท่าทีของซิงเฉิงจวิ้นจู่ที่มีต่อเขาเมื่อครั้งที่แล้ว พลันรู้สึกว่าไม่อยากให้ฉินซีได้เจอกับหนานกงมั่ว แต่ฉินจื่อซวี่ไม่มีทางฟังคำของเขา ดังนั้นเขาจึงต้องอาศัยฉินซีแล้ว
ฉินซีชะงัก ยิ้มบางๆ “หลายปีมาแล้ว ไม่รู้เชิญท่านหมอมามากเพียงใดก็ยังเป็นเช่นนี้ จะหายได้หรือไม่ข้าก็ไม่ได้คาดหวัง เพียงแต่เรื่องราวของซิงเฉิงจวิ้นจู่ข้าเองก็เคยได้ยินมาไม่น้อย หากมีโอกาสได้รู้จักก็นับว่าเป็นวาสนาของข้าแล้ว”
ฉินจื่อซวี่พ่นลมหายใจออกมา เอ่ย “ซีเอ๋อร์กล่าวไม่ผิดเลย” สำหรับอาการของน้องสาวจะหายหรือไม่ ความจริงคนตระกูลฉินมิได้มีความหวังมากนัก ไม่ว่าใครหากผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่ามากว่าสิบปีก็คงไม่กล้าคาดหวังมากมายแล้ว ขอเพียงซีเอ๋อร์มีความสุขเท่านั้นก็เพียงพอ
หร่วนอวี้จือพูดคุยอยู่กับฉินซีชั่วครู่ก็ถูกนายท่านตระกูลฉินส่งคนมาตาม
ในซีอวี้เซวียน ฉินจื่อซวี่มองน้องสาวอยู่นานก่อนจะเอ่ยขึ้น “ซีเอ๋อร์ สาวใช้สองคนนั้นของเจ้าเปลี่ยนออกไปเถิด”
ฉินซีตกใจเล็กน้อย “พวกนางทำให้พี่ใหญ่ขุ่นเคืองหรือเจ้าคะ” สาวใช้เคียงกายในซีอวี้เซวียนล้วนแล้วแต่ติดตามปรนนิบัติฉินซีมานานหลายปี ร่างกายของฉินซีอ่อนแอ ก็มีพวกเขาที่คอยดูแล ดังนั้นจึงสนิทสนมกับสาวใช้เหล่านี้อยู่มาก ฉินจื่อซวี่เอ่ยเสียงเรียบ “ไม่มีอันใด เพียงรู้สึกว่า…นิสัยของสาวใช้เหล่านี้ค่อนข้างหยาบคายไม่ควรให้อยู่ข้างกายเจ้า”
ฉินซีชะงักไปชั่วครู่ รอยยิ้มบนใบหน้าหายไป เอ่ยถามเสียงเบา “พี่ใหญ่…อวี้จือมีอะไรไม่เหมาะสมหรือไม่”
ฉินซีไม่ได้โง่ เพราะร่างกายอ่อนแอจึงมีหลายอย่างที่ไม่อาจทำได้ นางจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอ่านหนังสือเล่าเรียนและขบคิด ส่วนสิ่งที่นางขาด คงเป็นเพราะคนตระกูลฉินทะนุถนอมนางเกินไปทำให้ขาดประสบการณ์ ฉินจื่อซวี่เป็นพี่ชายที่นางสนิทสนมที่สุด หร่วนอวี้จือคือคนที่นางชอบ และท่าทีของฉินจื่อซวี่ต่อหร่วนอวี้จือที่เปลี่ยนไป แม้ตัวหร่วนอวี้จือจะไม่สามารถสัมผัสได้ทว่าฉินซีนั้นสามารถสัมผัสมันได้เป็นอย่างดี
ฉินจื่อซวี่ลอบถอนลมหายใจอยู่ภายใน สงสารน้องสาวผู้อ่อนแอ ยกมือขึ้นไปจับผมทัดหูให้กับนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่าคิดมาก ไม่มีอันใด”
ฉินซียิ้มขมขื่น เอ่ย “พี่ใหญ่ ท่าน…คิดว่าข้าเป็นเด็กสาวโง่เขลาที่ไม่รู้สิ่งใดเลยอย่างนั้นหรือ”
ฉินจื่อซวี่ยื่นมือไปกอดน้องสาวเอาไว้พลางถอนหายใจ “ข้าก็หวังว่าเจ้าจะเป็นเด็กสาวโง่เขลาที่ไม่รู้สิ่งใดเลย” ไม่รู้สิ่งใดเลยก็จะไม่ต้องเสียใจ และไม่ต้องเจ็บปวด
“อย่าคิดมาก เพียงมีหลายเรื่องที่พี่ใหญ่…ไม่ชอบก็เท่านั้น ยังไม่ทันได้สืบให้ชัดเจนมาบอกกับเจ้าคงไม่มีประโยชน์” ฉินจื่อซวี่เอ่ย “อย่างไรก็ตาม ยังมีพี่ใหญ่ ยังมีท่านพ่อท่านแม่ ยังมีตระกูลฉิน”
“ข้ารู้เจ้าค่ะ” ฉินซีซบอยู่ในอ้อมแขนของฉินจื่อซวี่เอ่ยตอบเสียงเบา เพียงแต่ใบหน้าที่เดิมก็ซีดเซียวอยู่แล้วยามนี้ยิ่งซีดเซียวลงไปอีกโดยที่ฉินจื่อซวี่มองไม่เห็น แววตาของฉินซีมีแววกังวลและเจ็บปวดซ่อนอยู่ หลับตาลงช้าๆ
หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วกลับมาถึงจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องก็ค่ำแล้ว ยังไม่ทันก้าวเดินเข้าไปในเรือนซูอวิ๋นก็ได้ยินเสียงโวยวายดังออกมาจากด้านใน หนานกงมั่วขมวดคิ้ว เรียกบ่าวรับใช้เข้ามาเอ่ยถาม “เกิดอันใดขึ้น”
เห็นซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อกลับมา บ่าวรับใช้พลันตกใจ รีบเอ่ยรายงานติดๆ ขัดๆ “รายงาน…รายงานซื่อจื่อ พระชายาซื่อจื่อ เป็น…เป็นคุณชายสามเจ้าค่ะ”
“เว่ยจวินเจ๋อหรือ เขาเป็นอันใด” หนานกงมั่วขมวดคิ้วเอ่ยถาม”
“คุณชายสาม…คุณชายสามพาคนมาทำลายเรือนซูอวิ๋นเจ้าค่ะ”
“ว่าเยี่ยงไรนะ” หนานกงมั่วใบหน้าถมึงทึง เว่ยจวินมั่วที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถาม “เสด็จแม่อยู่ที่ใด”
“รายงานซื่อจื่อ องค์หญิงออกไปยังจวนองค์หญิงหลิงอี๋แล้วเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วส่งเสียงหยัน ดึงเว่ยจวินมั่วมุ่งตรงไปยังเรือนซูอวิ๋น “ไม่ต้องถามแล้ว ไปดูก็รู้” นางอยากรู้ เว่ยจวินเจ๋อกินความกล้าของสุนัขมาหรือถึงได้กล้ามาทำลายเรือนของนาง
นอกเรือนซูอวิ๋นมีผู้คนมารุมล้อม ด้านในเรือนเองก็วุ่นวาย ยังไม่ทันได้เข้าไปก็ได้ยินเสียงร้ายกาจอวดดีของเว่ยจวินเจ๋อ “ทุบมันให้หมด ทุบมันทั้งหมดเลย ใครไม่กล้าลงมือข้าจะตัดขามัน” เว่ยจวินเจ๋อนั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่เห็นได้ชัดว่าถูกคนยกเข้ามา ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนเว่ยจวินเจ๋อสลบไสลไม่ได้สติ ดูเหมือนพึ่งรู้สึกตัวจึงเข้ามาก่อเรื่อง
พระชายารองเฝิงยืนเกลี้ยกล่อมอยู่ด้านข้าง แต่เห็นได้ชัดว่าการเกลี้ยกล่อมนั้นไม่เป็นผลใด เว่ยจวินเจ๋อยิ่งตื่นตัวขึ้นไปอีก
“เจ้าช่างกล้ายิ่งนัก” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหู เว่ยจวินเจ๋อยังไม่ทันได้สติก็ถูกยกขึ้นจากเก้าอี้นั่ง ผู้คนเห็นเพียงเงาคน ชั่วครู่หนึ่งจึงมองเห็นซื่อจื่อยืนอยู่ด้านข้างเว่ยจวินเจ๋อด้วยใบหน้าเย็นชา จากนั้นเว่ยจวินเจ๋อที่เตี้ยกว่าเว่ยจวินมั่วไม่มากก็ถูกยกลอยขึ้นมาในอากาศโดยที่เท้าลอยไม่ติดพื้น
“อ๊า” เว่ยจวินเจ๋อร้องเสียงดัง เท้าที่พึ่งได้รับบาดเจ็บถูกยกลอยขึ้นมา ฉับพลันความเจ็บปวดราวกับเข็มพุ่งเข้ามานั้นทำให้เว่ยจวินเจ๋อร้องโหยหวนขึ้นมา
“เจ๋อเอ๋อร์” พระชายารองเฝิงเห็นเช่นนั้นกำลังจะพุ่งเข้ามาช่วยเว่ยจวินเจ๋อ ทว่าถูกหนานกงมั่วขวางทางเอาไว้ “พระชายารองเฝิง เจ้าคิดจะทำสิ่งใด”
พระชายารองเฝิงร้องเสียงดัง “ซื่อจื่อ ท่านปล่อยเจ๋อเอ๋อร์เดี๋ยวนี้นะ หลบไป”
หนานกงมั่วหันกลับมายิ้มร่าให้กับเว่ยจวินเจ๋อที่ถูกจับห้อยอยู่แบบนั้น หันมาเอ่ยกับพระชายารองเฝิงว่า “พระชายารองเฝิงจะรีบไปไย เรามาคุยกันสักหน่อยว่าเกิดอันใดขึ้นที่เรือนซูอวิ๋นแห่งนี้”
“ท่านแม่ ท่านแม่ช่วยข้าด้วย…” เว่ยจวินเจ๋อร้องเสียงดังอย่างน่าสงสาร
“ข้าจะสู้กับพวกเจ้า” พระชายารองเฝิงเอ่ยเสียงดัง วิ่งเข้าหาหนานกงมั่วโดยไม่สนสิ่งใด หนานกงมั่วเพียงตวัดมือ พระชายารองเฝิงที่คิดจะพุ่งเข้ามาก็กระเด็นออกไป โชคดีที่กระเด็นไปชนกับบ่าวรับใช้ที่ตามหลังพระชายารองเฝิงมา กลุ่มคนล้มลงกองกันระเนระนาด
หนานกงมั่วก้มมองต่ำ มองพระชายารองเฝิงที่ไม่อาจลุกขึ้นมาได้ เอ่ยเสียงเย็น “คิดจะสู้กับข้าหรือ เจ้ามีสิทธิ์อะไรจะมาสู้กับข้า พระชายารองเฝิง มาคุยกับข้าดีๆ จะทำอย่างไรกับเรือนซูอวิ๋นของข้า หากข้าพอใจแล้วจะปล่อยเว่ยจวินเจ๋อลงมา แต่ว่าถ้านานเกินไปซื่อจื่อปวดมือล่ะก็…”