ตอนที่ 336 แยกทาง จวนองค์หญิง (2)
ปกป้องหรือ คุณชายเว่ยสามเกือบถูกพวกเจ้าโบยจนแหลกละเอียดอยู่แล้ว เจ้ายังต้องการอะไรอีก
อ้อ… ผู้คนเข้าใจทันที สายตาที่มองไปยังคนในจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องยิ่งไม่เห็นด้วยขึ้นไปอีก หาเรื่องเองทั้งนั้น
“เจ้า…เจ้า…” ถูกความลื่นไหลของหนานกงมั่วทำให้โกรธจนพูดไม่ออก แม่เฒ่าชี้หน้าหนานกงมั่วพูดไม่ออกอยู่เนิ่นนาน หนานกงมั่วเองก็ไม่สนใจนาง หากทำให้แม่เฒ่าผู้นี้โกรธจนเป็นลมหรือกระอักเลือด เดิมทีมีเหตุผลอาจจะกลายเป็นไม่มีเหตุผลแล้วก็ได้ หันกลับมายิ้มให้องค์หญิงฉังผิงและเว่ยจวินมั่ว เอ่ยขึ้นว่า “เสด็จแม่ พวกเราไปกันเถิดเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงมองหนานกงมั่วเงียบๆ ดวงตาฉายแววชื่นชม จวินเอ๋อร์เงียบขรึมไม่เชี่ยวชาญเรื่องการพูดจา ต้องการภรรยาที่ฉลาดเฉลียวในการพูดเช่นนี้ พยักหน้าลง องค์หญิงฉังผิงเอ่ยตอบรับ “ได้ เราไปกันเถิด”
เพราะตามกฎของอาณาจักรเซี่ยอันยิ่งใหญ่แล้ว องค์ชายเมื่อเติบโตก็ต้องรับตำแหน่งและออกไปปกครองตามหัวเมือง ดังนั้นเมืองจินหลิงจึงไม่มีวังที่สร้างเอาไว้เพื่อองค์ชาย มีเพียงเรือนที่เอาไว้เป็นที่พักเมื่อผู้ครองเมืองกลับเข้ามายังเมืองหลวง องค์หญิงฉังผิงส่งคนมาแจ้งข่าวกับพ่อบ้านจวนเยี่ยนอ๋องเอาไว้แล้ว ดังนั้นเมื่อทั้งสามเดินทางมาถึงจวนเยี่ยนอ๋องพ่อบ้านจึงเตรียมต้อนรับทั้งสามเอาไว้เรียบร้อย เพราะอาศัยอยู่เพียงชั่วคราวจึงไม่ต้องสนใจสิ่งใดมาก เห็นองค์หญิงฉังผิงพักผ่อนแล้ว หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วจึงจูงมือกันกลับไปยังเรือนที่เตรียมเอาไว้รับแขก
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้ย้ายออกจากจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องง่ายถึงเพียงนี้” เอนตัวพิงหน้าต่าง หนานกงมั่วยังคงรู้สึกประหลาดใจ จะว่าไปเรื่องวันนี้ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่ว่าจะเป็นนางหรือเว่ยจวินมั่วต่างไม่คิดว่าองค์หญิงฉังผิงจะย้ายออกมาจากจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องแบบนี้ ถ้าหากองค์หญิงฉังผิงไม่คิดออกมา นางและเว่ยจวินมั่วคงไม่สามารถย้ายออกมาโดยทิ้งองค์หญิงไว้คนเดียวได้
“เสด็จแม่คงคิดไว้นานแล้ว” เว่ยจวินมั่วเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ
องค์หญิงฉังผิงมิใช่คนทำอะไรบุ่มบ่าม แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้โกรธเหมือนวันนี้และพาพวกเขาหนีออกมา หากมิใช่เพราะในหัวขององค์หญิงฉังผิงคิดเรื่องแยกตัวออกมาอยู่แล้ว นางก็ไม่มีทางตัดสินใจเช่นนี้
หนานกงมั่วหันกลับไปกอดเขาเอาไว้ เอ่ยเสียงเบา “ไม่ว่าอย่างไร ย้ายออกมาก็มีอิสระกว่าอยู่ที่นั่นเยอะ หรือว่า ท่านทำใจไม่ได้”
แม้หนานกงมั่วจะคิดว่าในจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องไม่มีใครกล้ารังแกนาง แต่ต้องพบเจอกับคนที่ตนไม่ชอบหรือเกลียดก็เป็นเรื่องน่ารำคาญ แบบนี้ก็ดี พวกเจ้าอยากทำสิ่งใดก็ทำเถิด ข้าไม่เล่นกับพวกเจ้าแล้ว
คิ้วคมของเว่ยจวินมั่วเลิกขึ้น ดวงตาฉายแววรังเกียจแล้วจึงขมวดคิ้ว “คิดว่าจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องคงไม่ปล่อยไปง่ายๆ”
เว่ยหงเฟยคาดหวังจะไล่เขาออกมานั่นไม่ผิด แต่องค์หญิงฉังผิงหนีออกมาด้วยมิใช่เรื่องที่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องจะยอมรับได้ เพราะไม่มีบารมีแต่กลับถูกแต่งตั้งให้เป็นจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง เมื่อไม่มีองค์หญิงนั่นหมายความว่าความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นไกลห่างจากเชื้อพระวงศ์แล้ว ยิ่งทำให้ตำแหน่งจวิ้นอ๋องของพวกเขานับวันยิ่งไร้ซึ่งอำนาจ
หนานกงมั่วกุมขมับ ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “นี่คือปัญหา หากคนจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องหน้าด้านมาอ้อนวอนให้เสด็จแม่ให้อภัย ไม่แน่ฝ่าบาทอาจจะไม่เห็นด้วยหากเสด็จแม่แยกจากจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง อย่างไรเสีย…ความสัมพันธ์ของฝ่าบาทกับตระกูลขุนนางก็ใกล้จะขาดสะบั้น เว่ยหงเฟยแม้จะไม่มีประโยชน์ใด แต่อย่างน้อยเขาก็มิใช่คนของตระกูลขุนนาง และยังเรียกได้ว่าสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์” หากไม่มีเรื่องใดฝ่าบาทก็คงรักธิดาไม่ผิด เข้มงวดต่อราชบุตรเขยเป็นการแสดงอำนาจอย่างหนึ่งของราชวงศ์ แต่ว่าเมื่อมีสถานการณ์การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องก็ยากจะพูดได้
เว่ยจวินมั่วยื่นมือไปโอบกอดนาง เอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องกังวล ข้ากับเสด็จแม่มีแผนอยู่ในใจ”
หนานกงมั่วเอนตัวพิงแผ่นอกกว้างของเขา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี ข้าก็ไม่เชื่อว่าคุณชายเว่ยจะรับมือจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องไม่ได้ มีเวลาลองคิดดู…หากพวกเรามีบ้านเป็นของตัวเอง จะเป็นอย่างไร”
“อู๋สยาชอบแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น” เว่ยจวินมั่วก้มหน้า เอ่ยกระซิบข้างหูของหนานกงมั่ว “อู๋สยา ยังจำเรื่องที่เจ้าตกลงกับข้าก่อนจะไปซินเย่ว์หยวนได้หรือไม่”
หนานกงมั่วกลอกตา “เว่ยซื่อจื่อ เวลาแบบนี้ท่านยังจำเรื่องแบบนี้ได้อีกหรือ” นางนึกว่าวันนี้มีเรื่องมากมาย ใครบางคนอาจจะลืม กลับเป็นนางเองที่เกือบจะลืมไปแล้ว
เว่ยจวินมั่วเบิกตาสีม่วงโตขึ้น มองนางด้วยท่าทางใสซื่อ “เรื่องที่เกี่ยวกับอู๋สยาข้าจะลืมได้อย่างไร”
หนานกงมั่วกัดฟัน “ก็ใช่น่ะสิ ท่านไม่เคยลืมว่าจะจัดการกับข้าอย่างไร”
“อู๋สยาจะกลับคำหรือ ไม่เป็นไร…ข้าไม่โกรธหรอก” เว่ยซื่อจื่อเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ
หนานกงมั่วมองเขาอย่างแค้นเคือง “ข้าเป็นคนรักษาคำพูด หญิงสาวเช่นข้าตกลงแล้วไม่มีทางกลับคำอย่างแน่นอน”
“อู๋สยามิใช่หญิงสาวแล้ว” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่ต้องมาเตือนข้า” หนานกงมั่วใบหน้าบูดบึ้ง “ท่านซื่อจื่อ ให้ภรรยาช่วยท่านเปลี่ยนชุดหรือไม่เจ้าคะ”
“รบกวนอู๋สยาแล้ว” เว่ยจวินมั่วยิ้มบางๆ
แม้หลายคนยากที่จะหลับได้ ทว่าสองสามีภรรยาที่พึ่งแต่งงานไม่นานกลับหลับสบาย ฝันดีทั้งคืน
รุ่งเช้าองค์หญิงฉังผิงพาหนานกงมั่วเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ พระองค์เรียกทั้งสองไปเข้าเฝ้าที่ห้องทรงอักษร
“ถวายพระพรเสด็จพ่อ”
“ถวายพระพรฝ่าบาท”
ฮ่องเต้โยนสมุดพับในมือไปอีกฝั่ง เงยหน้ามองทั้งสองพลางเอ่ย “เข้าวังมาแต่เช้าเลยหรือ ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้ามาตั้งแต่เช้าตรู่” องค์หญิงฉังผิงคุกเข่าลงกับพื้น เอ่ยขึ้นว่า “ลูกมาขอหย่าร้างกับจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องเพคะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว จ้องมององค์หญิงฉังผิงนิ่ง เอ่ยถาม “ทำไมหรือ ผ่านไปหลายปีแล้ว พวกเจ้าทะเลาะกันอีกแล้วหรือ ครั้งนี้เพราะเหตุใดกันเล่า”
องค์หญิงฉังผิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ฟังหนึ่งรอบ ไม่มีการเสริมเติมแต่งแต่อย่างใด เรื่องเช่นนี้แน่นอนว่าปิดบังฮ่องเต้ไม่ได้ จะเล่าทั้งหมดหรือเล่าเพียงบางส่วนก็ไม่มีความหมายใด ใบหน้าฮ่องเต้จมลึก กวาดสายตามององค์หญิงฉังผิงอย่างไม่พอใจ “ไร้ความสามารถ เพียงลูกหลานเชื้อสายรองและชายารองไม่กี่คนก็จัดการไม่ได้ อีกทั้งเว่ยหงเฟย เจ้าเป็นองค์หญิงเขาเป็นบริพาร จะทำสิ่งใดไยต้องให้เขามาพูดมาก หากครั้งนั้นมิใช่เจ้าที่เชื่อฟังเขา ไยจึงทำเรื่องราวให้ใหญ่โตกระจายไปทั่วเมือง ดูน้องเจ็ดของเจ้าสิ แล้วหันมาดูเจ้า”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว รู้สึกสนใจในคำพูดของฮ่องเต้ เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทไม่คิดว่าเว่ยจวินมั่วที่อาจจะเป็นลูกขององค์หญิงฉังผิงกับชายอื่นที่ไม่ใช่จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องนั้นเป็นเรื่องที่ผิด ที่พระองค์โกรธเป็นเพราะองค์หญิงฉังผิงเอาจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องไม่อยู่และทำให้เรื่องราวเหล่านี้แพร่งพรายไปทั่วเมืองทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของเชื้อพระวงศ์ ความคิดของฮ่องเต้ผู้ปกครองใต้หล้าความจริงแล้วไม่ยากที่จะเข้าใจ องค์หญิงของราชสำนักจะมีชายอื่นแล้วอย่างไร หากไม่ใช่เพราะขนบธรรมเนียมไม่อนุญาต ต่อให้มีมากมายหลายคนแล้วจะทำไม แต่เป็นบริพารไม่ควรมีท่าทีไม่พอใจต่อเชื้อพระวงศ์ นี่เป็นการบอกว่าข้ารังแกใต้หล้าได้แต่ไม่ยอมให้คนทั่วทั้งแผ่นดินมารังแกข้า หากองค์หญิงฉังผิงกดเว่ยหงเฟยและแม่เฒ่าเอาไว้ให้มั่น อย่าว่าแต่นางให้กำเนิดบุตรชายที่หน้าตาไม่เหมือนเว่ยหงเฟย ต่อให้นางให้กำเนิดสามคนห้าคนเว่ยหงเฟยก็ต้องเคารพดุจบรรพบุรุษ เพียงแต่การกระทำขององค์หญิงฉังผิงในตอนนั้นทำให้ฝ่าบาทไม่พอใจนัก เพียงแต่สุดท้ายมีอดีตฮองเฮาและเยี่ยนอ๋องฉีอ๋องขอร้องอ้อนวอน จิ้งเจียงจวิ้นอ๋องจึงได้รับรางวัลเพื่อเป็นการประนีประนอมยุติเรื่องนี้