ตอนที่ 338 งดงามมากกว่าซีจือ (2)
ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องราวในครั้งนั้นองค์หญิงฉังผิงก็โกรธและเกลียดชังขึ้นมาทุกครั้ง ขณะเดียวกันก็แอบดีใจที่ครั้งนั้นไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับเว่ยหงเฟยไป…ไม่เช่นนั้นคงเสียใจไม่น้อย
ใบหน้าของเว่ยหงเฟยแดงก่ำ เอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านก็บอกข้าสิ บอกข้ามาสิว่าเว่ยจวินมั่วเป็นลูกของข้า ขอเพียงท่านบอกออกมา ข้าก็จะเชื่อ ไยท่านจึงไม่เคยบอก”
เงียบไปชั่วครู่ จึงได้ยินองค์หญิงฉังผิงเอ่ยตอบด้วยความเฉยชา “ตั้งแต่ท่านบอกข้าว่า ชื่อของจวินเอ๋อร์คือจวินมั่ว…ความจริงเป็นเช่นไรก็ไม่สำคัญแล้ว ข้าย่อมไม่มีสิ่งใดต้องเอ่ยอีก” หมุนตัวกลับหลัง องค์หญิงฉังผิงจับมือสาวใช้ก้าวขึ้นรถม้าไป
“ช้าก่อน” เว่ยหงเฟยก้าวขึ้นมาคิดขวางเอาไว้ เขารู้ว่าหากครั้งนี้ไม่พูด ต่อไปการจะพบองค์หญิงฉังผิงคงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกแล้ว บุกรุกจวนองค์หญิง ต่อให้เป็นราชบุตรเขยก็มีโทษไม่เบา
หนานกงมั่วเคลื่อนตัวมาขวางทางเว่ยหงเฟย มุมปากยกยิ้มหยัน “จวิ้นอ๋อง เสด็จแม่ไม่อยากเห็นท่าน ได้โปรดให้เกียรตินางด้วย”
“เจ้าหลบไป” เว่ยหงเฟยเอ่ยด้วยความโกรธ
ดวงตาหนานกงมั่วเย็นยะเยือก “ท่านอ๋องคิดจะบุกเข้าไปในรถม้าขององค์หญิงหรือ ไม่เป็นไร ขอเพียงท่านเอาชนะข้าได้ ข้าจะปล่อยท่านไป ท่านอ๋องจะลองดูหรือไม่”
เว่ยหงเฟยจ้องหนานกงมั่วด้วยดวงตาที่แดงก่ำทว่าไม่ได้ลงมือ ฝีมือของหนานกงมั่วแน่นอนว่าเขาไม่เคยเห็น แต่ได้ยินคนที่เห็นเมื่อครั้งพิธีแต่งงานกล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง เว่ยหงเฟยรู้ว่าฝีมือของตนนั้นธรรมดา แม้แต่กระบวนท่าเดียวของเว่ยจวินมั่วเขายังสู้ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากลงมือที่หน้าประตูวัง นั่นหมายถึงว่าเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว
“เสด็จแม่กลับจวนไปก่อนเถิดเพคะ อู๋สยายังมีธุระคงกลับพร้อมพระองค์ไม่ได้แล้ว” หนานกงมั่วยักคิ้วส่งให้เว่ยหงเฟย เอ่ยบอกกับองค์หญิงฉังผิงโดยไม่หันหน้ากลับไปหารถม้าขององค์หญิงฉังผิง องค์หญิงฉังผิงเอ่ยเสียงเบา “มีธุระก็ไปจัดการเถิด อยู่ข้างนอกระวังตัวด้วย”
“ทราบแล้วเพคะ เสด็จแม่”
รถม้าขององค์หญิงฉังผิงเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ เหลือไว้เพียงหนานกงมั่วและเว่ยหงเฟยที่ยืนประจัญหน้ากันอยู่ รวมไปถึงคนของจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องที่ลุกลี้ลุกลนจะกล้าไม่กล้าบุกเข้ามา
ประตูวังแม้ไม่นับว่าเป็นสถานที่ที่คนสัญจรมากนัก แต่ก็มีขุนนางที่เข้าออกวังอยู่บ้าง เว่ยหงเฟยคิดว่าไม่อาจเสียหน้าได้ สุดท้ายจึงหมุนตัวเดินจากไป
มองเว่ยหงเฟยเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว หนานกงมั่วจึงหันกลับมาเดินเที่ยวเล่นอยู่ในถนนอันรุ่งเรืองของจินหลิงแทน
หอเทียนอี
ลิ่นฉังเฟิงและหนานกงมั่วนั่งพูดคุยกันอยู่ริมหน้าต่าง สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องเมื่อวานลิ่นฉังเฟิงสืบโดยละเอียดไปแล้ว เอ่ยชมต่อหน้าหนานกงมั่วไม่หยุด “ไม่คิดเลยว่าองค์หญิงฉังผิงจะเฉียบขาดเพียงนี้ ไม่เลวเลยจริงๆ ต่อไปพวกเจ้าก็จะเป็นอิสระแล้ว”
หนานกงมั่วยิ้มเอ่ย “ต่อให้อยู่ที่จวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องข้าก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่ได้รับอิสระ เพียงแต่…ไม่ต้องเห็นบางสิ่งน่ารำคาญอีก มันช่างยอดเยี่ยมไปเลย”
คุณชายฉังเฟิงฟุบลงกับโต๊ะ มองหนานกงมั่วด้วยความอยากรู้อยากเห็น เอ่ย “แล้วเป็นอย่างไร ขาของเว่ยจวินเจ๋อเป็นฝีมือเว่ยจวินมั่วหรือไม่ คนในจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องมีท่าทีเช่นไร”
หนานกงมั่วยักไหล่บ่งบอกว่าไม่รู้ “เพียงแต่ ท่าทีของจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องค่อนข้างน่าสนใจ ดูเหมือน…ทำใจไม่ได้” จะว่าไป ท่าทีของเว่ยหงเฟยนั้นแปลกประหลาด ในเมื่อเชื่อไปแล้วว่าองค์หญิงฉังผิงผิดต่อเขา หย่าร้างกันไปตั้งแต่ตอนนั้นและแต่งงานใหม่ก็ได้แล้ว อย่างไรองค์หญิงฉังผิงก็ไม่ยอมอธิบาย ตอนนั้นดูเหมือนเชื้อพระวงศ์จะเสียเปรียบ ต่อให้เขาหย่ากับองค์หญิงฉังผิงจริงๆ ราชวงศ์ก็ไม่อาจทำอันใดได้ อีกทั้งยังกลายเป็นราชบุตรเขยเพียงคนเดียวที่หย่า ชื่อเสียงนั้น…คงสะเทือนไปทั่วแผ่นดิน
ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “หากไม่มีองค์หญิงฉังผิงและจวินมั่ว เจ้าคิดว่าตำแหน่งจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องนั้นจะได้มาอย่างไร หากตอนนั้นเขาหย่าหรือแยกกันอยู่กับองค์หญิงฉังผิง ต่อให้เชื้อพระวงศ์จะไม่จัดการเขา ตระกูลเว่ยอย่างมากก็คงเป็นได้แค่ตระกูลที่สืบทอดมาสามช่วงอายุคน และเพราะอดีตฮองเฮาให้เกียรติที่พวกเขาเคยช่วยชีวิตฝ่าบาท ยามนี้ฮองเฮาจากไปแล้ว ยังมีใครให้ความสำคัญกับพวกเขาอีกเล่า” หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยอย่างเสียดาย “ตอนนี้ฝ่าบาทคงยังไม่จัดการจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง”
ลิ่นฉังเฟิงนั่งหลังตรง เอ่ยถาม “เป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทจึงตัดสินใจจะเปิดศึกกับตระกูลขุนนางแล้วหรือ”
หนานกงมั่วพยักหน้าเล็กน้อย ถอนหายใจพลางเอ่ย “เรื่องในวันนี้นับว่าเป็นการหยั่งเชิง ฝ่าบาทยืนยันไม่ยอมให้องค์หญิงหย่าจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง เกรงว่าคงอยากรักษาจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องเอาไว้ ไม่เพียงจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง รวมไปถึงตระกูลที่ร่วมก่อตั้งราชวงศ์ นักเรียนนักศึกษา ฝ่าบาทก็เริ่มดึงคนมาแล้ว” คิดจะจัดการกับตระกูลขุนนางที่ฝังรากลึก ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ย่อมมิใช่เรื่องง่าย ไม่แน่บางทีฮ่องเต้อาจจะเรียงลำดับผิดแล้ว หลายปีมานี้พระองค์ไม่ควรเสียเวลาอยู่กับตัวขุนนางผู้สร้างคุณงามความดี เมื่อเปรียบเทียบกับเหล่าวีรษุรุษผู้ก่อตั้งประเทศพวกนั้น เมื่อเทียบกันแล้วตระกูลขุนนางเหล่านี้ต่างหากที่จัดการได้ยากยิ่งกว่า แต่หนานกงมั่วก็เข้าใจการกระทำทุกอย่างของฝ่าบาท อย่างไรตระกูลวีรบุรุษเหล่านั้นก็มีกำลังทหารในมือ ตระกูลขุนนางพวกนี้เทียบไม่ได้ หากบรรดาวีรบุรุษผู้มีกำลังทหารในมือร่วมมือกับตระกูลขุนนาง เกรงว่าบังลังก์คงกระสับกระส่าย
ลิ่นฉังเฟิงอดขมวดคิ้วไม่ได้ คิ้วย่นขึ้นมา “ดังนั้นคนที่แก่งแย่งอำนาจนั้นคงจะต้องวุ่นวายทีเดียว”
หนานกงมั่วเท้าคางมองเขา “ฝ่าบาทคิดจะลงมีดกับตระกูลขุนนาง ตระกูลลิ่นเองก็คงหนีไม่พ้น ท่านคิดจะทำเช่นไร”
ลิ่นฉังเฟิงส่งเสียงหยัน “คุณชายใหญ่ตระกูลลิ่นเช่นข้าไม่มีความสามารถสมคำร่ำลือ ตระกูลลิ่นล้มไปก็ไม่มีผลเสียกับข้า ตระกูลลิ่นเจริญรุ่งเรืองก็ไม่เป็นผลดีกับข้า จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ว่าพวกเจ้า…ตามหลักแล้ว เจ้ากับเว่ยจวินมั่วควรยืนอยู่ข้างฝ่าบาทนะ”
หนานกงมั่วเอ่ย “ความจริงแล้ว พวกเราก็ยืนอยู่ข้างฝ่าบาทนะ” เพียงแต่บางครั้งก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างไม่อาจรวมเป็นหนึ่งได้ อย่างเช่นหร่วนอวี้จือคนเลวผู้นั้น อย่างเช่นท่าทีต่อจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง แต่สิ่งเหล่านี้…ล้วนเป็นเรื่องเล็ก ขอเพียงพวกเขาไม่ทำเกินไป ฝ่าบาทจับไม่ได้ ทุกอย่างก็จะยังว่าง่าย
“เช่นนั้นแล้วเจ้ายังอยากใกล้ชิดกับตระกูลฉินอยู่หรือไม่” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยเตือน
หนานกงมั่วเอ่ย “นั่นเพียงเพราะหร่วนอวี้จือต่างหาก พวกเรากับตระกูลฉินไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอันใด ฝ่าบาทก็ไม่ได้มีรับสั่งให้พวกเราต้องเป็นศัตรูกับตระกูลฉิน กำจัดคนเลว ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบ เกี่ยวข้องอย่างไรกัน”
ลิ่นฉังเฟิงยักไหล่ เอ่ยอย่างจนปัญญา “เอาล่ะ เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว”
หนานกงมั่วกะพริบตาปริบมองลิ่นฉังเฟิง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ข้ารู้ว่าคุณชายฉังเฟิงเป็นห่วงข้ากับจวินมั่ว วางใจเถิด เรื่องของจวินมั่วเขารู้ขอบเขตดี ส่วนข้า…ข้ากำลังเตรียมหาอะไรทำ ช่วงนี้ยุ่งมาก ไม่มีเวลาไปยุ่งเรื่องพวกนั้น”
“เอ๋ เจ้ามีสิ่งใดต้องทำกันเล่า” คุณชายฉังเฟิงประหลาดใจ มุมมองความคิดของคุณหนูใหญ่หนานกงนั้นสดใหม่เสมอ ดังนั้นทุกครั้งที่นางบอกว่ามีสิ่งใดต้องทำ คุณชายฉังเฟิงก็ราวกับกำลังมองเห็นเงินทองมากมาย แม้หนานกงมั่วจะเป็นเพียงคนออกคำสั่ง ลิ่นฉังเฟิงเป็นผู้วิ่งดำเนินงาน แต่ทุกวันนี้มีคนเดินงานไม่ขาด ขาดเพียงคนออกความคิดเท่านั้น