ตอนที่ 340 งดงามมากกว่าซีจือ (4)
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “หากไม่ใช่เพราะมีหนานกงชวี่คอยปกป้องเขา หนานกงฮุยไม่แน่ว่าจะเป็นเหมือนทุกวันนี้ได้หรือไม่”
ลิ่นฉังเฟิงหัวเราะ “นั่นน่ะสิ แม่นางมั่วก็เป็นหลักฐานชั้นดีไม่ใช่หรือ แต่ว่า…สำหรับข้าแล้ว…ความจริงคงหวังว่าจะมีใครสักคนที่คอยปกป้องเราได้”
หนานกงมั่วเงียบไป ความสามารถหลายอย่างเป็นตัวบ่งบอกว่าคนเราผ่านความทุกข์ทรมานมามากมายเพียงใดกว่าจนเกิดเป็นความสามารถขึ้น แม้ว่าหลายคนจะบอกว่ามันคุ้มค่า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความยากลำบากนั้นใครบ้างไม่เคยคิดอยากจะมีใครสักคนที่คอยปกป้องตนเองโดยไร้ซึ่งเงื่อนไข เพียงแต่พวกเขาไม่เคยพบคนผู้นั้นจึงต้องต่อสู้ดิ้นรนปีนขึ้นมาด้วยตัวเอง
ลิ่นฉังเฟิงหัวเราะเบาๆ “จะบอกข่าวหนึ่งให้เจ้าฟัง หนานกงไหวกำลังจะซวยแล้ว”
“หืม” หนานกงมั่วเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย “เจ้ารู้หรือไม่ไยหนานกงชวี่จึงยอมให้เฉียวเฟยเยียนเข้ามาอยู่ในจวนง่ายเพียงนั้น ตอนนี้หนานกงไหวกำลังหลงใหลในตัวเฉียวเฟยเยียน หนานกงชวี่กำลังถือโอกาสกอบกุมอำนาจในจวนฉู่กั๋วกงอย่างไรล่ะ ไม่แน่เฉียวเฟยเยียนอาจจะดูออกแล้ว น่าเสียดายยังมีรับสั่งของฝ่าบาทอยู่ นางย่อมทำอันใดไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางเข้าไปในจวนฉู่กั๋วกงโดยไร้ตำแหน่งฐานะใดๆ บ่าวรับใช้จวนฉู่กั๋วกงไม่สนใจนางด้วยซ้ำ”
หนานกงมั่วเงียบไปชั่วครู่ ส่ายศีรษะพลางเอ่ย “ยังหรอก หนานกงชวี่สู้หนานกงไหวไม่ได้” นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องความสามารถ แต่เมื่ออยู่ภายในจวนฉู่กั๋วกงแล้ว หนานกงชวี่เผชิญหน้ากับหนานกงไหวก็อ่อนแอกว่า จวนฉู่กั๋วกงยังอยู่ได้เพราะหนานกงไหว หากหนานกงไหวยินยอมหนานกงชวี่จึงจะสามารถกุมอำนาจทั้งหมดของจวนฉู่กั๋วกงเอาไว้ได้ แต่ถ้าหนานกงไหวไม่ยอม เอ่ยเพียงประโยคเดียว หนานกงฮุยก็จะไม่เหลืออะไรเลย
ลิ่นฉังเฟิงเองก็นึกถึงจุดนี้ ตระกูลหนานกงไม่ใช่ตระกูลใหญ่เหมือนตระกูลขุนนางอื่น ทุกอย่างเป็นไปตามคำของหนานกงไหว
“เช่นนั้นหนานกงชวี่คิดจะทำอันใดกันแน่ สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้คงไม่เสียเวลาเปล่าใช่หรือไม่”
หนานกงมั่วขมวดคิ้วเอ่ย “นอกเสียจากว่า…เขาจะกุมจุดอ่อนของหนานกงไหวเอาไว้ได้ แต่ว่าหากเป็นเช่นนั้นก็ย่อมไม่เป็นผลดีต่อจวนฉู่กั๋วกง จำต้องแพ้ทั้งสองฝ่ายเท่านั้น หนานกงชวี่ไม่ได้ประโยชน์ใดเลยด้วยซ้ำ”
ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย “จวนฉู่กั๋วกงมีเพียงหนานกงชวี่และหนานกงฮุยบุตรชายสองคน หนานกงฮุยดูแลจวนฉู่กั๋วกงไม่ได้อย่างแน่นอน เช่นนั้นก็คงเหลือหนานกงชวี่เพียงคนเดียว ดังนั้นหนานกงไหวคงไม่สนใจคิดจะวางอำนาจจึงจะถูก ไม่แน่ว่าเราอาจจะคิดมากกันเกินไป”
หนานกงมั่วปรายตามองเขาไร้ซึ่งคำพูด เมื่อครู่เจ้าคิดว่าหนานกงไหวกำลังจะซวย แต่ไยจึงมองไม่เห็นว่าพฤติกรรมของหนานกงชวี่เองก็ไม่ได้ใจดีหรือสงบเสงี่ยม อีกทั้งหนานกงไหวผู้นั้นแม้หนานกงมั่วจะไม่รู้จักทั้งหมดแต่ก็พอรู้จักอยู่หลายส่วน หากเขาพบว่าหนานกงชวี่มีความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ หนานกงไหวย่อมไม่มีทางปรานีเขาเพียงเพราะเขาเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตนเป็นแน่
คุณชายฉังเฟิงโบกมือ บิดขี้เกียจ “โอ้ ความจริงเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเรา พวกเราแค่ดูรอก็พอแล้ว ใครจะสนว่าสองพ่อลูกนั่นคิดจะทำสิ่งใด ที่ข้าแปลกใจก็คือ…คนแบบหนานกงไหว เฉียวเฟยเยียนน่าหลงใหลเพียงใดถึงได้ทำให้เขาหลงได้เพียงนั้น” หรือว่าความงามของสตรีเป็นหลุมฝังศพของวีรบุรุษหรือ แต่เมื่อเอ่ยถึงหญิงงาม ก่อนออกเรือนเมิ่งฮูหยินก็เรียกได้ว่าเป็นหญิงงามในเจียงหูและสตรีผู้มากความสามารถ มีชาติตระกูล รูปลักษณ์ราวกับเทพธิดา ความสามารถล้นเหลือ หนานกงไหวแต่งกับสตรีเช่นนี้ไม่รู้เป็นที่อิจฉาของบุรุษอื่นมากเพียงใด แต่ก็ไม่เห็นว่าหนานกงไหวจะลุ่มหลงเพียงนี้ ใครจะรู้ว่าอยู่ดีๆ ก็เกือบจะหันหลังให้ตระกูลเมิ่งเพราะสตรีไร้ชื่อเสียงผู้นี้ได้
หนานกงมั่วยิ้มหวาน “ความจริงจุดนี้ก็เข้าใจได้ไม่ยาก”
“หืม สายตาของหนานกงไหวมีปัญหาหรือ”
หนานกงมั่วส่ายหน้า “ต้องเอ่ยเช่นนี้ หากข้าวางหนังสือโบราณที่ไม่ได้สืบทอดต่อกันมากับทองหนึ่งกล่องตรงหน้า ท่านจะเลือกสิ่งใด”
“หนังสือโบราณมีค่าหรือว่าทองที่มีค่า” คุณชายฉังเฟิงเอ่ยถาม
หนานกงมั่วกระตุกมุมปาก ถอนหายใจ “หากให้บัณฑิตกับพ่อค้ามาเลือกพร้อมกัน พวกเขาจะเลือกสิ่งใดหรือ”
ลิ่นฉังเฟิงยิ้ม “แน่นอนบัณฑิตก็ย่อมต้องเลือกหนังสือ พ่อค้าก็ต้องเลือกทองสิ อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว…ความหมายของเจ้าคือหนานกงไหวก็คือพ่อค้าคนนั้น อ่านหนังสือโบราณไม่เข้าใจ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ข้าไม่ได้เอ่ยนะ”
“เจ้าพูดมาแล้ว” คุณชายฉังเฟิงเอ่ยต่อ “เข้าใจแล้ว หากหนานกงไหวเกิดมาสูงศักดิ์ มีความสามารถล้นเหลืออีกทั้งมีจิตใจซื่อตรง แน่นอนว่าเขาต้องชื่นชมเมิ่งฮูหยินมากกว่า แต่หนานกงไหวเติบโตมาจากครอบครัวชาวนา ตัวอักษรยังรู้จักเพียงไม่กี่ตัว แม้ต่อมาตนเองจะเล่าเรียนมาบ้าง แต่เมื่อเทียบกับตระกูลขุนนางที่สืบทอดต่อกันมาช้านานอย่างตระกูลเมิ่งก็ไม่อาจเทียบได้ หากพูดถึงกลยุทธทางการทหารบางทีหนานกงไหวก็ยังพอคุยด้วยได้ แต่เมื่อเอ่ยถึงฉิน หมาก อักษร วาดภาพ บทกวี หนานกงไหวก็คงมึนงง บุรุษนั้น…ล้วนไม่ชอบให้ภรรยาเก่งกว่าตนเอง หากเป็นบุรุษที่จิตใจกว้างขวางก็คงไม่สนใจ แต่หนานกงไหวนั้นมิใช่ ตอนนี้ หันมามองเฉียวเฟยเยียนที่ราวกับไม่รู้สิ่งใดเลย สตรีที่เอาแต่พึ่งพาบุรุษหนานกงไหวจึงชื่นชอบเป็นพิเศษ อีกทั้งเขายังเคยถูกตระกูลเมิ่งขัดขวาง ยิ่งทำให้หนานกงไหวรู้สึกว่าความรักของเขานั้นถูกทำลายเพราะตระกูลเมิ่งและเมิ่งซื่อ หากยังไม่ได้ครอบครองย่อมยิ่งให้ความสำคัญ ดังนั้นเขาจึงมีใจฝักใฝ่ต่อเฉียวเฟยเยียนไม่ลืมเลือน”
“กล่าวง่ายๆ ก็คือมีเพียงเต่าเท่านั้นที่จะสบตากับเต่าได้ เมิ่งฮูหยินเป็นดอกไม่งามที่ถูกปักผิดลงบนกองขี้วัว” การสรุปความของคุณชายฉังเฟิง เหลือบมองหนานกงมั่วอย่างระมัดระวัง เห็นนางไม่สนใจจึงลอบถอนหายใจ
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “สายตาของคุณชายฉังเฟิงเป็นดั่งคบเพลิงจริงๆ”
ลิ่นฉังเฟิงยักไหล่ “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ตาเฒ่าที่บ้านข้าก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน”
“ข้าจำได้…ว่าฮูหยินคนใหม่ตระกูลลิ่นเองก็มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง” ตระกูลลิ่นไม่ได้เหมือนหนานกงไหวที่ไม่ได้เรื่อง ลิ่นฮูหยินแม้เป็นฮูหยินคนใหม่แต่ก็เป็นบุตรีคนโตจากครอบครัวที่มีความรู้ คุณชายฉังเฟิงส่งเสียงหยัน “ใครว่าตระกูลมีชื่อเสียงจะไม่มีกองขี้วัวเล่า”
“เอาล่ะ แล้วแต่เจ้า” หนานกงมั่วยกมือยอมแพ้
หนานกงมั่วลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “ตอนนี้จะไปที่ที่หนึ่งกับข้าหรือไม่”
“ที่ไหน” ลิ่นฉังเฟิงไม่เข้าใจ
“ตระกูลฉิน”
“เจ้าจะไปตระกูลฉินทำไมกัน” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยถาม
“ไปดูคุณหนูฉินสี่น่ะสิ” หนานกงมั่วเอ่ยตอบ “พวกเราย้ายบ้านแล้ว ตระกูลฉินคงไม่กล้าไปหา หากสามารถดึงคุณหนูฉินสี่มาได้ หร่วนอวี้จือก็น่าเวทนาแล้ว” ลิ่นฉังเฟิงไม่คาดหวังอันใดนัก “ว่ากันว่าคุณหนูฉินสี่รักหร่วนอวี้จือมาก สตรีที่มีความรักนั้นมักไร้ซึ่งเหตุผล เจ้าคิดว่านางจะช่วยเจ้าจัดการหร่วนอวี้จือหรือ”
“ข้าคิดว่า คุณหนูฉินสี่สามารถทำให้คนทั้งตระกูลฉินรักเอ็นดูนางเพียงนั้น คงไม่ใช่เพราะว่าร่างกายของนางไม่แข็งแรงเท่านั้นหรอก” หนานกงมั่วยิ้มตาหยี “อีกทั้ง บางครั้งสตรีก็แข็งแกร่งว่าบุรุษ นอกจากนี้ เจ้าก็รู้ว่ามีพวกที่รู้ทั้งรู้ว่าบุรุษเลวทรามชั่วช้า แต่ก็ยังคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มีอยู่บนโลกนี้ไม่มากนัก”