ตอนที่ 347 ชีวิตอับจนของหร่วนอวี้จือ (3)
หร่วนอวี้จือยังคงล้มลุกคลุกคลานอยู่ที่หน้าทางเข้าหอชุนเฟิง ลุกขึ้นมายืนไม่ไหว จื่อเยียนที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าวมองไปยังเขาสายตาเฉยเมย ไร้ซึ่งความเกลียดชังหรือรอยยิ้มงดงามบนใบหน้านาง จากนั้นไม่นานหร่วนอวี้จือก็เงยหน้าขึ้น เมื่อมองไปเห็นจื่อเยียน ดวงตาของเขาก็เป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมา “เหยียนลัวอี! เจ้ากล้าดีอย่างไรทำกับข้าเช่นนี้!”
จื่อเยียนเอ่ยเบาๆ “ข้าเพียงแค่ต้องการของของข้าคืน เป็นเพราะไต้เท้าหร่วนปฏิเสธไม่ยอมจ่ายเงินคืนให้ข้า ดังนั้นก็รอผู้ตรวจการของเขตอิ้งเทียนมาไต่สวนเถิด”
หร่วนอวี้จือส่งเสียงหยันขึ้นมา รู้สึกอับอายเท่าใดก็ยิ่งทำสีหน้าไม่น่ามองขึ้นเท่านั้น “เจ้าคิดว่าผู้ตรวจการเขตอิ้งเทียนจะรับเรื่องจากคณิกาอย่างเจ้าหรือ”
จื่อเยียนยิ้มร่า “ข้าเป็นเพียงคณิกาก็จริง เช่นนั้นแล้ว…ไต้เท้าหร่วน ท่านโกงเงินหญิงคณิกาไป เช่นนี้แล้วท่านนับเป็นตัวอะไรหรือ”
“ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
“หึ ยังคิดว่าเจ้าสำคัญอยู่อีกหรือ ไต้เท้าหร่วน ยังจำเรื่องที่เจ้าว่าจ้างให้คนมาฆ่าข้าได้หรือไม่”
หร่วนอวี้จือตกใจขึ้นมาแต่ก็กลับสงบนิ่งลงได้อย่างรวดเร็ว “เจ้ามีหลักฐานว่าเป็นข้าหรือ”
จื่อเยียนยิ้มเย็นชาแล้วจึงหันหลังเดินกลับเข้าไปในหอชุนเฟิง นางไร้ซึ่งหลักฐานก็จริง แต่มิใช่ว่าขาดหลักฐานแล้วจะยอมปล่อยให้หร่วนอวี้จือลอยนวลไปได้
“นังชั่ว!” หร่วนอวี้จือสาปแช่งอย่างรุนแรงในใจ มองดูด้านหลังของจื่อเยียน รู้ดีว่าสภาพของตนเละเทะเพียงไหนและคืนนี้ช่างน่าอับอายเพียงใด หร่วนอวี้จือแทบอดทนไม่ได้อยากบีบคอจื่อเยียน ในยามนี้เขารู้สึกดีที่ตนเป็นบัณฑิตของสำนักฮั่นหลินทำให้ยังถูกจับกุมตัว มิฉะนั้นหากเป็นเช่นนี้… เขาลุกขึ้นมาท่าทางโซเซเล็กน้อย หร่วนอวี้จือปิดหน้าปิดตาแล้วรีบเดินไปจากถนนอันครึกครื้นที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมยั่วยวนแห่งนี้
ชีวิตอันแสนหดหู่ของหร่วนอวี้จือได้เริ่มต้นขึ้นแล้วตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป คนที่เคยพูดจาสนิทสนมนับถือเป็นพี่น้อง ยามนี้ต่างถอยห่างไปจากเขา ตระกูลฉินส่งคนไปแจ้งเรื่องยกเลิกพิธีแต่งงาน หากยินยอมจากกันด้วยดีก็แล้วไป แต่หากไม่ยินยอมก็ให้ไปตัดสินกันที่ศาลาว่าการ หร่วนอวี้จือไปยังประตูจวนฉินอยู่หลายครา ทว่าทันทีที่เขาก้าวไปถึงประตูก็จะถูกองครักษ์เฝ้าประตูของตระกูลฉินผลักไสออกไป จากนั้นไม่นานหนานกงไหวและผู้ตรวจการก็รีบร้อนปฏิบัติหน้าที่เช่นกัน รุ่งเช้าวันถัดมาตรงเข้าจับกุมไต้เท้าหร่วนไว้ เจ้าหน้าที่เอ่ยกับเขาว่าให้ยอมไปด้วยกันดีๆ เถิดหากคิดขัดขืนหลบหนีนั่นหมายถึงชีวิต ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหนีไปจากเจ้าหน้าที่ทั้งสิบกว่านาย
ฮ่องเต้ที่วางแผนการมาอย่างยากเย็นหมายจะใช้เป็นสายลับภายในตระกูลฉิน จำต้องตัดหร่วนอวี้จือออกจากแผนการในทันใด ทั้งที่แผนการใกล้จะสำเร็จได้กลายเป็นสายลับภายในตระกูลฉินแล้วแต่กลับกลายเป็นว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาก่อน ไส หัว ไป! ฮ่องเต้ไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะยึดตำแหน่งของหร่วนอวี้จือคืนมา รับสั่งให้โบยตีเขาแล้วโยนออกจากประตูวังหลวงไปทันที ไม่จำเป็นต้องจ้างงานคนที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้เอาไว้
จากนั้นบ้านของไต้เท้าหร่วนก็ถูกผู้ตรวจการเขตอิ้งเทียนยึดไว้ จากคำร้องว่าเงินที่อวี้จือใช้ซื้อบ้านได้มาจากการหลอกลวงหญิงบริสุทธิ์ ซึ่งทราบมาจากแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผย และเพราะหร่วนอวี้จือตั้งใจจะไม่จ่ายเงินคืนจึงให้ชดใช้เจ้าหนี้ด้วยบ้านหลังนี้ ดังนั้น…ไต้เท้าหร่วนจึงระหกระเหินไปอาศัยอยู่ตามท้องถนน กลายเป็นคนไร้บ้านไป
ในเมืองจินหลังแห่งนี้ คนไร้บ้านไม่สามารถเตร็ดเตร่อยู่ในเมืองเวลากลางคืนได้ เพราะเมืองหลวงแห่งนี้ไม่อนุญาตให้ใครออกจากบ้านยามค่ำคืน ใครก็ตามที่อยู่ข้างนอกจะถูกจับกุมหรือสังหารทิ้งทันที ดังนั้นไต้เท้าหร่วนจึงทำได้เพียงเบียดเสียดกับขอทานคนอื่นๆ ในซากวิหารนอกเมืองเท่านั้น ในซากวิหารปรักหักพังเหล่านี้มีกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง สายลมเย็นยะเยือกยามค่ำคืนพัดผ่านไป แม้ว่าเดือนสิบเช่นนี้อากาศจะไม่หนาวมากนัก แต่ไต้เท้าหร่วนกลับสั่นเทา ในที่สุดก็เริ่มคิดไตร่ตรองขึ้นมาว่าเพราะเหตุใดเขาจึงต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ยิ่งชีวิตของหร่วนอวี้จืออับจนหนทางมากเท่าใด อารมณ์ของหนานกงมั่วก็ดีขึ้นมากเท่านั้น แม้แต่อารมณ์ขุ่นมัวของฮ่องเต้ก็ไม่สามารถทำลายอารมณ์ดีๆ ของนางลงได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเว่ยหงเฟยแยกกับองค์หญิงฉังผิง ฮ่องเต้ย่อมไม่พอใจความประพฤติของเขา ภายในระยะเวลาไม่กี่วันก็ได้ประทานจวนองค์หญิงให้ตามที่รับสั่งไว้ ถัดจากจวนเยี่ยนอ๋องไปนั้นเป็นจวนที่ไร้เจ้าของมานานหลายปี แม้จะว่างลงนานแล้วทว่าราชสำนักยังคงส่งคนไปดูแลตลอดจึงเพียงแค่ต้องปัดกวาดดูแลอีกเล็กน้อยก็เข้าไปอาศัยอยู่ได้ทันที ยิ่งไปกว่านั้นเป็นเพราะอาศัยอยู่ในจวนเยี่ยนอ๋องอยู่แล้ว ทำให้ไม่คิดรีบร้อนย้ายไปแต่อย่างใด จากนั้นอีกสองวันถัดมาจวนฉู่กั๋วกงก็ได้ส่งจดหมายมาแจ้งว่าวันแต่งงานของคุณชายรองจวนฉู่กั๋วกงและบุตรีอันเป็นที่รักของแม่ทัพกุยฮว่า ซังเนี่ยนเอ๋อร์กำลังใกล้เข้ามาแล้ว
แม้ว่าความสัมพันธ์ของนางกับหนานกงชวี่และหนานกงฮุยจะไม่ได้สนิทสนมกลมเกลียวกันนัก แต่หนานกงมั่วก็ยังคงพาเว่ยจวินมั่วไปงานแต่งงานตั้งแต่เช้าเพราะเห็นแก่หน้าพี่ชายคนรองอยู่ดี
หลังจากไม่ได้พบกันมาเนิ่นนาน หนานกงมั่วก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับหนานกงไหวอีกครั้ง ดูเหมือนว่าหนานกงไหวจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก เห็นได้ชัดว่าเขายังมีชีวิตอยู่และสุขสบายดี นอกจากนี้หนานกงไหวย่อมมีอำนาจมากที่สุดในจวนฉู่กั๋วกง ไม่ว่าหนานกงชวี่จะไม่พอใจเพียงใดก็ไม่อาจทำอันใดหนานกงไหวได้
“คารวะท่านพ่อ” หนานกงมั่วเอ่ยเบาๆ แม้บิดาและบุตรีจะไม่ค่อยถูกตากันนัก ทว่าก็ยังคงรักษามารยาทพื้นฐานต่อหน้าคนนอกเอาไว้ หนานกงไหวเพียงตอบรับเบาๆ เอ่ยว่า “สบายดีหรือไม่” หนานกงมั่วกล่าวด้วยรอยยิ้มละไม “คงไม่ดีเท่าท่านพ่อ”
หนานกงฮุยที่ยืนอยู่ข้างๆ มองดูท่านพ่อและน้องสาวกำลังฟาดฟันใส่กัน แล้วจึงหันมองไปยังเว่ยจวินมั่วที่ยืนนิ่งไม่ได้พูดสิ่งใดราวกับว่าไม่เห็นอะไรเลยเช่นนั้น เขาทำได้เพียงถอนหายใจ เอ่ยขึ้นว่า “มั่วเอ๋อร์ เจ้ามาแล้ว”
หนานกงมั่วยิ้มร่า เอ่ย “พี่รอง ยินดีด้วย”
ข้าก็ยินดีเช่นกัน
หนานกงฮุยลูบหัวตัวเองท่าทางเขินอายเล็กน้อย หนานกงมั่วไม่ใส่ใจ เพียงหันไปหาหนานกงชวี่ เอ่ยถามว่า “พี่ใหญ่ ต้องการให้ข้าช่วยอันใดหรือไม่”
หนานกงชวี่ส่ายหัว เอ่ยตอบเบาๆ “ทุกอย่างพร้อมแล้ว เจ้าอยู่ให้สบายเถิด ฮุยเอ๋อร์เจ้าควรออกไปต้อนรับแขกได้แล้ว”
“ได้ ข้าจะไปแล้วขอรับ” หนานกงฮุยตอบรับทันที ดวงตาของเขาเป็นประกายอย่างมีความสุข เห็นได้ชัดว่าความประทับใจที่มีต่อซังเนี่ยนเอ๋อร์ไม่ได้เลวร้าย หันไปยิ้มให้หนานกงมั่ว เอ่ยว่า “มั่วเอ๋อร์ ข้าไปก่อนนะ”
หนานกงมั่วเพียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ลับหลังหนานกงฮุยที่เดินจากไปท่าทางมีความสุขแล้ว หนานกงชวี่จึงหันมองไปยังหนานกงมั่ว เอ่ยว่า “ท่านพ่อและพี่ต้องไปต้อนรับแขก เจ้าคุ้นเคยดีกับจวนเราอยู่แล้ว มั่วเอ๋อร์อยากทำสิ่งใดก็ไปทำเถิดไม่ต้องเกรงใจ”
หนานกงมั่วพยักหน้าลงเพื่อบอกให้ไม่ต้องใส่ใจนาง
แม้ว่าความสัมพันธ์ภายในจวนฉู่กั๋วกงจะไม่ได้สนิทสนมกันอยู่แล้ว ทว่าคราวนี้หนานกงมั่วกลับรู้สึกว่าไม่คุ้นเคยกับจวนฉู่กั๋วกงอีกต่อไป เมื่อกลับมาเยือนจวนฉู่กั๋วกงครานี้รู้สึกว่าตนแทบไม่แตกต่างกับแขกอื่นๆ แล้ว หนานกงมั่วหันไปสะกิดเว่ยจวินมั่ว เอ่ยชวนด้วยรอยยิ้ม “ไปที่สวนกันเถิด ที่นั่นเงียบสงบกว่า”
“พระชายาซื่อจื่อ…” หุยเสวี่ยและเฟิงเหอรีบเข้ามา ทั้งสองรีบร้อนรายงานว่า “พระชายาซื่อจื่อ มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่ลานด้านข้างเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วขึ้น เฟิงเหอกล่าวว่า “บ่าวได้ยินจากคนในจวนคุยกันว่าคุณหนูรองไปยังเรือนห่างไกลเพื่อหาเรื่องฮูหยินเฉียวและเฉียวเย่ว์อู่ แล้วคุณหนูรองก็ถูกผลักล้มลงไป” หนานกงมั่วขมวดคิ้วทันที “หนานกงซูท้องอยู่มิใช่หรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ บ่าวได้ยินมาว่าน่าจะแท้ง พระชายาซื่อจื่อท่านลองไปดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
หนานกงมั่วครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า กล่าวว่า “ไปดูกันเถิด”