ตอนที่ 345 ชีวิตอับจนของหร่วนอวี้จือ (1)
วางจอกสุราลง จื่อเยียนเอ่ยว่า “อีกประเดี๋ยวข้าจะร่ายรำ คงไม่รบกวนทั้งสามท่านแล้ว”
รอจนจื่อเยียนเดินออกไป ลิ่นฉังเฟิงเหลือบตามองใครบางคนที่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาพลางถอนหายใจ หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ทำไมหรือ”
ลิ่นฉังเฟิงชี้ไปยังเว่ยจวินมั่ว เอ่ย “เจ้าเคยเห็นกี่คนกันที่มาเที่ยวหอนางโลมด้วยอารมณ์เช่นนี้ นั่งอยู่กับเขาราวกับกำลังรับโทษ จวินมั่ว ข้าจะบอกอันใดให้ คุณชายมั่วยังดูเหมือน…กว่าเจ้าอีก”
เว่ยจวินมั่วปรายตามองเขาไม่เอ่ยว่าจาใด ลิ่นฉังเฟิงกลับหดคอและหลบไปอีกฝั่ง เห็นได้ชัดว่าเว่ยจวินมั่วไม่พอใจที่เขายุยงให้หนานกงมั่วมาเที่ยวเล่นที่หอชุนเฟิง คุณชายฉังเฟิงรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม คุณหนูใหญ่หนานกงดูเหมือนคนที่จะยุยงได้หรือ เห็นอยู่ว่านางอยากออกมาเที่ยวเอง เว่ยจวินมั่วไม่แยกแยะก็มาโยนความผิดให้เขาช่างไร้เหตุผล
หนานกงมั่วหัวเราะร่า นั่งลงด้านข้างเว่ยจวินมั่ว “อย่าโกรธเลย วันนี้มีละครสนุกให้ดู”
เว่ยจวินมั่วปรายตามองนาง เว่ยซื่อจื่อเดิมก็ไม่ใช่คนที่อยากรู้อยากเห็น ยิ่งเป็นละครยิ่งไม่มีความสนใจ แต่มาแต่งงานกับภรรยาผู้ชื่นชอบความครึกครื้นจึงจำต้องมาด้วย เห็นเว่ยจวินมั่วไม่มีคำพูดจะประนีประนอม ใบหน้าของหนานกงมั่วยิ่งเบิกบานขึ้นหลายเท่า สามีที่มาเที่ยวหอนางโลมเป็นเพื่อนภรรยา ช่างเป็นสุภาพบุรุษในสมัยโบราณ
“ละครมาแล้ว” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยเตือนสองคนด้านข้างที่กำลังหยอกล้อกันอยู่ พวกเจ้าตัวติดกันเพียงนี้ เคยคิดถึงความรู้สึกของคนโสดหรือไม่
หนานกงมั่วรีบปล่อยเว่ยจวินมั่วลุกขึ้นมองลงไปด้านล่าง ขณะเดียวกันคุณชายฉังเฟิงก็ได้รับสายตาดุจคมมีดของเว่ยซื่อจื่อส่งมาให้
ห้องโถงด้านล่างมีเสียงดังจอแจ ชายหนุ่มในชุดเสื้อผ้าธรรมดาถูกพาตัวเข้ามา ไม่ได้หยุดอยู่ในห้องโถงที่มีการร้องรำทำเพลง แต่ตรงขึ้นมายังชั้นบน เข้าไปในห้องเล็กๆ ที่ไม่ได้สะดุดตา ผู้คนกำลังสนุกสนานจึงไม่ได้ให้ความสนใจแก่คนผู้นี้ แต่หนานกงมั่วทั้งสามคนที่มีสายตาว่องไวมองเพียงปราดเดียวก็รู้ได้ คนผู้นี้คือหร่วนอวี้จือที่ถูกผู้คนประณามไม่ต่างไปจากสุนัขตัวหนึ่ง
ไม่ใช่หร่วนอวี้จือมักมากในกามจนต้องวิ่งมาที่หอนางโลม ต่อให้เขามักมากในกามจริงก็คงไม่มาที่หอชุนเฟิง แต่เพราะเขาไม่มาไม่ได้ เรื่องราวที่หลั่งไหลเข้ามาในช่วงนี้จนทำให้เขาต้องมึนงง และตระกูลฉินที่เคยหนุนหลังเขายามนี้ก็ปิดประตูใส่เขาเสียแล้ว หร่วนอวี้จือจึงรับรู้รสชาติของการไร้ซึ่งตระกูลฉินอย่างแท้จริง ว่าในเมืองจินหลิงที่กว้างใหญ่แห่งนี้เขาหร่วนอวี้จือนั้นไม่ประสาอะไร
ต่อให้เป็นคนผู้นั้นที่อยู่เบื้องหลังเขา เป็นเพราะเขาข้องเกี่ยวกับคุณหนูฉินสี่ถึงได้ให้ความสำคัญกับเขามิใช่หรือ หากเขาถูกตระกูลฉินทิ้งขว้างแบบนี้ เช่นนั้นแล้วตัวเขาที่ไร้ประโยชน์ก็ย่อมไม่เหลือสิ่งใดแล้ว ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเหยียนลัวอี จำต้องให้เหยียนลัวอีมาแก้ไข ดังนั้นเขาจึงต้องมา
หอชุนเฟิงมิใช่ที่ที่ใครจะมาก็ได้ และในเมื่อเป็นคณิกาของหอชุนเฟิง กลางวันเหยียนลัวอีจึงไม่รับแขก ดังนั้นจึงเป็นการบีบให้หร่วนอวี้จือมาในตอนค่ำซึ่งมีผู้คนอยู่มากมาย เขาเชื่อว่าขอเพียงเกลี้ยกล่อมเหยียนลัวอีได้ ปัญหาทุกอย่างก็จะได้รับการแก้ไข
ถูกคนพาเข้ามานั่งในห้องที่ถูกตกแต่งสวยงาม รอจนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยามจึงได้ยินเสียงประตูเปิดออกตามมาด้วยเสียงเท้าก้าวเดินเข้ามา ผู้ที่เปิดประตูเข้ามาคือเหยียนลัวอีที่ไม่เจอมาหลายวัน เพียงแต่…ดูงดงามน่าหลงใหลกว่าหลายวันก่อนหน้านั้นมาก หร่วนอวี้จือไม่รู้ทำไมจึงมีความรู้สึกเช่นนี้ เมื่อมองดูให้ดีก็พบว่าหญิงสาวผู้นี้เปลี่ยนไปแล้ว ใบหน้าที่เคยโศกเศร้าและขมขื่นยามนี้สดใสเปล่งประกายขึ้นมา ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มน่าหลงใหล ไม่ทำให้คนรู้สึกว่าปั้นแต่งขึ้นมา กลับกันยิ่งทำให้รู้สึกถึงความเป็นผู้ใหญ่ เมื่อเทียบกับเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าเหล่านั้นแล้วดูเป็นเสน่ห์ที่แตกต่างออกไป อีกทั้งต่างจากโหลวซินเย่ว์ผู้อ่อนหวานและมีอารยธรรมอย่างชัดเจน คล้ายกับดึงดูดสายตาของบุรุษมากขึ้น ไม่แปลกเลยที่หลายวันมานี้ชื่อเสียงของจื่อเยียนจะโด่งดังไปกว่าโหลวซินเย่ว์แล้ว
จื่อเยียนโบกมือไล่ให้สาวใช้ที่เดินตามเข้ามาด้านหลังออกไป จากนั้นจึงเดินเข้ามาในห้อง
“ลัวอี” หร่วนอวี้จือลุกขึ้น เอ่ยเรียกด้วยความหลงใหล
ดวงตาสวยของจื่อเยียนแสดงออกถึงความไม่พอใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไต้เท้าหร่วน วันนี้มาเยี่ยมมีเรื่องใดหรือไม่”
ราวกับไม่รับรู้ถึงความห่างเหินของจื่อเยียน หร่วนอวี้จือเดินเข้าไปคว้ามือนางเอาไว้ “ลัวอี ไยเจ้าจึงเรียกข้าเช่นนี้ เจ้ากลับตานหยางแล้วมิใช่หรือ ไยจึงยังอยู่ที่นี่ เจ้า…เข้าใจอะไรข้าผิดไปหรือไม่” จื่อเยียนใช้ความอดทน คล้ายกับเริ่มทนไม่ไหวแล้ว ยกมือสะบัดมือเขาออก เอ่ยว่า “กลับตานหยางหรือ มีไต้เท้าหร่วนอยู่ข้าจะกลับตานหยางได้หรือ ไต้เท้าหร่วนควรถามข้าว่ายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรมิใช่หรือ”
“ลัวอี เจ้ากำลังเข้าใจข้าผิด” หร่วนอวี้จือส่งสายตาลึกซึ้งมองจื่อเยียน เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
จื่อเยียนมองเขาราวกับสนใจ “เข้าใจผิดหรือ ไต้เท้าหร่วนช่วยบอกมาสักนิด เข้าใจสิ่งใดผิดไปหรือ”
หร่วนอวี้จือแน่นอนว่าไม่ย่อมยอมรับ ยิ้มพลางเอ่ย “หากไม่เข้าใจผิด ไยเจ้าจึงปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้ ลัวอี ข้ารู้ว่าเจ้ารักข้า”
จื่อเยียนเม้มริมฝีปากแล้วแย้มยิ้ม เอ่ยว่า “โอ้ เช่นนั้นท่านคิดจะปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงไร ข้าขายตัวเองให้หอชุนเฟิงแล้ว ไม่สู้ท่านช่วยข้าไถ่ตัว แต่งข้าเป็นภรรยาดีหรือไม่ เช่นนี้ข้าก็จะเชื่อว่าท่านเองก็รักข้า” หร่วนอวี้จือขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่านึกไม่ถึงว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วันเหยียนลัวอีจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ มีท่าทีลำบากใจขึ้นมา เอ่ยตอบว่า “ข้ารู้…ข้า…”
“ท่านมิยินยอมหรือ” จื่อเยียนเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าข้าอยากแต่งงานกับเจ้า แต่ว่า…ฐานะระหว่างเจ้ากับข้า เจ้ารู้ ข้าเป็นเพียงบัณฑิตสำนักฮั่นหลิน ไหนเลยจะมีความสามารถ…อีกอย่าง อีกทั้งยังมีซีเอ๋อร์ นางเป็นคนดี ข้าจะทำร้ายนางไม่ได้”
จื่อเยียนส่งเสียงหยัน ดวงตาสวยฉายแววเย็นชา “พูดมาตั้งมากความ เจ้าก็เพียงไม่ได้รักข้ามิใช่หรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยข้าต้องรักท่าน”
“ลัวอี” หร่วนอวี้จือมองนางด้วยสายตาเศร้าสร้อย “เมื่อก่อนเจ้าไม่ใช่แบบนี้”
“แน่นอนว่าเมื่อก่อนข้าไม่ใช่แบบนี้” จื่อเยียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อก่อนข้าเป็นบุตรีที่ดี แม้ที่บ้านจะไม่มีเงินตรามากมาย แต่ก็มีกินมีใช้ ข้าต้องเป็นแบบนี้ก็เพราะใคร”
“ข้ารู้ว่าข้าทำผิดต่อเจ้า” หร่วนอวี้จือเอ่ย “แต่ว่าข้าก็ไร้หนทาง ลัวอี เจ้าจะเกลียดข้าเช่นนี้จริงๆ หรือ”
จื่อเยียนยิ้มบางๆ “ท่านมาหาข้าคิดจะทำอันใด เอ่ยมาตามตรงเถิด”
หร่วนอวี้จือเอ่ย “ลัวอี ข่าวโคมลอยในจินหลิงพวกนั้นในช่วงหลายวันมานี้…”
“นั่นคือข่าวโคมลอยหรือ” จื่อเยียนเอ่ยถาม
หร่วนอวี้จือทำราวกับไม่ได้ยิน เอ่ยต่อ “ลัวอี เจ้าคงไม่คิดจะทำลายข้าอย่างโหดร้ายแบบนี้หรอกใช่หรือไม่ เจ้าช่วยล้างมลทินให้ข้าดีหรือไม่ ขอเพียงเจ้าเอ่ยปาก แน่นอนว่าคนพวกนั้นก็คงจะไม่ยึดติดและยอมปล่อยเรื่องนี้ไป ลัวอี เจ้าก็รู้ ตั้งแต่ต้นจนจบ คนที่ข้ารักที่สุดมีเพียงเจ้าผู้เดียว”
จื่อเยียนเลิกคิ้ว เอ่ยถาม “ท่านคิดจะให้ข้าล้างมลทินเช่นไรหรือ”