ตอนที่ 352 ละทิ้งความตายแล้วก้าวต่อไป (2)
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อท่านพ่อรักเฉียวฮูหยินมากเพียงนี้ แล้วเหตุใดต้องสนใจรูปลักษณ์ของนางด้วยเล่า ผู้หญิงทุกคนย่อมมีวันแก่ชรา ลูกเชื่อว่าท่านพ่อจะต้องรักตัวตนภายในของเฉียวฮูหยินมากกว่าความงามภายนอก ไม่ใช่หรือ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านพ่อจะต้องการยาถอนพิษด้วยเหตุใดกัน” หลังจากเอ่ยจบ หนานกงมั่วก็มิได้สนใจท่าทางแข็งทื่อของหนานกงไหวอีก นางหันหลังกลับแล้วลากเว่ยจวินมั่วออกไปทันที
เซียวเชียนเยี่ยเหลือบมองเฉียวเฟยเยียนด้วยใบหน้านิ่งเฉยราบเรียบ เพียงแต่ในแววตาปรากฏร่องรอยของความรังเกียจ เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ฉู่กั๋วกง ในเมื่อปัญหาคลี่คลายแล้ว ข้าก็จะนำตัวเฉียวเย่ว์อู่ไป”
หนานกงไหวจะมีอารมณ์ไปสนใจเฉียวเย่ว์อู่ได้อย่างไร เขาพยักหน้าส่งๆ เพื่อส่งสัญญาณว่าตกลงให้เซียวเชียนเยี่ย
“ไม่…พวกท่านจะพาอู่เอ๋อร์ไปไหน” ในที่สุดสติของเฉียวเฟยเยียนก็กลับคืนมา นางรีบยืนขวางหน้าเฉียวเย่ว์อู่แล้วถามขึ้น เฉียวเย่ว์อู่เองก็ยังคงดิ้นรนพร้อมร้องตะโกนว่า “อย่านะ…ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย…”
หนานกงไหวขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยว่า “พอได้แล้ว เยียนเอ๋อร์ เย่ว์จวิ้นอ๋องรับปากแล้วว่าจะไว้ชีวิตเฉียวเย่ว์อู่ เพียงแต่ซูเอ๋อร์และองค์รัชทายาทกับพระชายายังต้องการให้นางชดใช้”
เฉียวเฟยเยียนยืนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าหนานกงไหวรู้สึกรำคาญ นางเอ่ยถามอย่างลังเลว่า “อู่เอ๋อร์…จะไม่เป็นอันใดจริงๆ หรือ”
หนานกงไหวพยักหน้ารับอย่างหงุดหงิด เฉียวเฟยเยียนจึงค่อยๆ ถอยออกไป เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจเบาๆ แสร้งยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้ารับปากว่าจะไว้ชีวิตนาง”
“อย่านะ…ท่านแม่ ช่วยข้าด้วย…ท่านแม่ ท่านพี่ช่วยข้าด้วย…” เฉียวเย่ว์อู่พยายามดิ้นรน แต่ลำพังแรงของนางจะสู้กับองครักษ์สองนายของเย่ว์จวิ้นอ๋องไหวได้อย่างไรกัน
“อู่เอ๋อร์…” เฉียวเฟยเยียนร่ำไห้น้ำตานอง ทำได้เพียงยืนมององครักษ์ของเย่ว์จวิ้นอ๋องลากตัวเฉียวเย่ว์อู่ออกไปอย่างไม่มีทางเลือก
“ท่านพี่หนานกง…”
หนานกงไหวมองเฉียวเฟยเยียนที่น้ำตานองหน้าก่อนจะทนมองไม่ไหวจึงต้องหลบสายตาไปที่อื่น การได้มองหญิงชราอายุห้าหกสิบปีในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้เปรียบเหมือนเป็นแบบทดสอบจิตใจของคนผู้หนึ่งได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเฉียวเฟยเยียนจะมิได้หลังค่อมตัวโก่งหรือแม้กระทั่งรูปร่างก็มิได้เปลี่ยนแปรไป หากทว่าเพียงนึกภาพว่าผิวเนื้อดังผ้าแพรของนางนั้นเต็มไปด้วยริ้วรอยของความชราแล้ว หนานกงไหวก็ยังรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนอยู่ดี
เฉียวเย่ว์อู่เข้าใจอย่างชัดเจนว่าหนานกงไหวไม่สามารถยอมรับสภาพเช่นนี้ของนางได้ นางจึงกัดฟันวิ่งสะอื้นไห้ออกไป แท้จริงแล้วการเป็นผู้หญิงที่รักเขามานานกว่าสิบปีกลับไม่สามารถร้องขออันใดได้เลย ถึงแม้เรื่องของเฉียวเฟยเยียนจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว แต่หนานกงไหวก็ไม่สนใจซ้ำยังเปลี่ยนท่าทีอย่างไร้ซึ่งความปรานี เขารีบเอื้อมมือไปคว้าเฉียวเฟยเยียนแล้วเอ่ยว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้า…”
เฉียวเฟยเยียนเอามือปิดหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ดีว่าท่านพี่หนานกงไม่ต้องการเห็นสภาพข้าในยามนี้ ฮือ ฮือ…ข้าเองก็ไม่มีหน้าจะมองท่านพี่หนานกงเช่นกัน”
หนานกงไหวถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “อีกครู่ข้าจะเชิญหมอหลวงมาดูเจ้า อีกอย่างมั่วเอ๋อร์ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าฤทธิ์ยานี้จะอยู่ได้เพียงครึ่งเดือน ฉะนั้นเจ้าอย่ากลัวไปเลย…ไม่นานก็คงหายดี”
เฉียวเฟยเยียนพยักหน้า ถอยหลังไปก้าวหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ครานั้นข้าทำผิดต่อท่านพี่หญิง ครานี้ไม่ว่ามั่วเอ๋อร์จะทำอันใดข้าก็สมควรได้รับแล้ว ครึ่งเดือนนี้…ข้าขออยู่เพียงลำพัง”
หนานกงไหวขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “เยียนเอ๋อร์ อย่า…อย่าคิดมากไปเลย”
เฉียวเฟยเยียนยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “ข้าจะไม่คิดมากท่านพี่หนานกง ข้าแค่ไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นข้าในสภาพเช่นนี้อีก ถ้าท่านพี่เป็นห่วงข้า ก็ตามข้ามาเถิด” หนานกงไหวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับในที่สุด ภายในใจเขายังไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ เมื่อได้ยินคำร้องขอของเฉียวเฟยเยียน เขาเองก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่ภายในเช่นกัน
ลานด้านหน้าจวนฉู่กั๋วกงยังคงคึกคัก การแต่งงานของหนานกงฮุยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเพราะหนานกงซูแท้งลูกหรือขาดแขกจากตำหนักเย่ว์จวิ้นอ๋อง แม้แต่จะบอกกล่าวแก่หนานกงฮุยที่กำลังไปรับเจ้าสาวอย่างมีความสุขว่าเกิดสิ่งใดขึ้น หนานกงชวี่ก็ไม่ยอมให้ใครเอ่ยถึงได้ หลังจากนั้นไม่นานหนานกงไหวก็ออกมาจัดการงานแต่งงานตามปกติราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ยามราตรีหลังงานแต่งงานเสร็จสิ้น หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วจับมือกันเดินออกจากจวนฉู่กั๋วกง หนานกงมั่วที่หันหลังกลับไปมองหนานกงชวี่ซึ่งยืนส่งแขกอยู่หน้าประตูก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เป็นอันใดไป” เว่ยจวินมั่วเอ่ยถามเบาๆ
หนานกงมั่วเอ่ยตอบ “อีกสองวันพี่รองก็จะย้ายออกไปแล้ว” หนานกงชวี่เตรียมการได้อย่างรอบคอบก็จริง แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้คนรู้สึกกะทันหันด้วย ช่วงที่หนานกงฮุยยังมิได้แต่งงาน หนานกงชวี่ได้เตรียมเรือนหอที่หนานกงฮุยและภรรยาจะอยู่ด้วยกันในอนาคตไว้ก่อนแล้ว เรียกได้ว่าเมื่อคารวะผู้ใหญ่ครบสามวันแล้วก็พร้อมย้ายไปอยู่ได้ทันที สำหรับคนนอกแล้วย่อมดูเหมือนว่าหนานกงชวี่จงใจอยากไล่น้องชายและน้องสะใภ้ที่เพิ่งแต่งงานออกไปจากจวนจนรอไม่ไหว พี่น้องพ่อแม่เดียวกันทั้งสองคนต่างก็เป็นเชื้อสายหลัก อดทำให้คนสงสัยไม่ได้ว่าหนานกงชวี่นั้นกลัวว่าน้องชายจะมาแย่งชิงมรดกกับเขาหรือไม่
เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว “เจ้ากังวล?”
หนานกงมั่วส่ายหัวแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเขาไม่ต้องการให้เราเข้าไปวุ่นวาย ข้าจึงไม่อยากยุ่งมากนัก” นางเดาได้ไม่ยากว่าหนานกงชวี่ต้องการทำสิ่งใด แต่ก็ไม่รู้ว่าหนานกงชวี่มีหมากตัวไหนอยู่ในมือกันแน่ การรับมือกับหนานกงไหวนั้น ถ้าหากหนานกงชวี่มีหมากในมือไม่มากพอล่ะก็ เขาคงจะแพ้อย่างน่าสมเพชทีเดียว บางที…นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่หนานกงชวี่รีบให้หนานกงฮุยย้ายออกไปก็เป็นได้
ณ ลานบ้านซึ่งห่างไกลผู้คนภายในจวนฉู่กั๋วกง เฉียวเฟยเยียนนั่งมองใบหน้าที่แก่ชราและน่าเกลียดอยู่หน้ากระจกทองแดง นางกัดฟันแล้วเอ่ยด้วยเสียงต่ำรอดไรฟัน “หนาน กง มั่ว!” คนในกระจกทองแดงสีหน้าน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ใบหน้าเหมือนจะบิดเบี้ยวไป เฉียวเฟยเยียนหลับตาลงอย่างโกรธเคืองและกวาดทุกอย่างบนโต๊ะให้ตกลงพื้นด้วยมือของนาง
“นางสารเลว!” เฉียวเฟยเยียนเอ่ยอย่างฉุนเฉียว “หากรู้เช่นนี้ ตอนแรกข้าไม่ควรไว้ชีวิตเจ้าเลย! หากรู้เช่นนี้…”
นางเอ่ยกระซิบด้วยเสียงต่ำ ใบหน้าของเฉียวเฟยเยียนปรากฏร่องรอยของความหงุดหงิดและความพ่ายแพ้ ยามนี้นางมิใช่พระชายาผู้สูงศักดิ์ของหวาหนิงจวิ้นอ๋องอีกต่อไปแล้ว ต่อให้นางเกลียดหนานกงมั่วมากแล้วอย่างไร อีกอย่างหนานกงมั่วก็มิใช่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ไม่มีทางสู้อีกต่อไป เมื่อนึกถึงความลำบากที่ได้รับจากหนานกงมั่วตลอดมาแล้วใบหน้าแก่ชราของเฉียวเฟยเยียนก็บิดเบี้ยวขึ้นอีกอย่างห้ามไม่ได้
ตอนนี้ความหวังและที่พึ่งพิงของนางอยู่ที่หนานกงไหวทั้งหมด แต่หนานกงไหว…หนานกงไหว…เมื่อนึกถึงสายตาที่ทั้งขยะแขยงและสะพรึงกลัวของหนานกงไหวเมื่อยามบ่าย หัวใจของเฉียวเฟยเยียนก็หน่วงลงอีกครั้ง
“ข้าสูญเสียมิได้อีกแล้ว…เฮ้อ เฮ้อ ข้ารักท่านมากเพียงนี้ เหตุใดท่านถึงไม่รักข้า” เฉียวเฟยเยียนเอ่ยเสียงต่ำ “ต้องมีวิธี…ต้องมีวิธีแน่” เฉียวเฟยเยียนพึมพำเสียงต่ำ เสียงหม่นแปลกๆ ฟังดูน่าขนลุกในห้องอันว่างเปล่า เมื่อผ่านไปสักพัก ดวงตาของเฉียวเฟยเยียนก็เป็นประกายขึ้น นางเอ่ยขึ้นเบาๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มว่า “มีสิ…เขาต้องมีวิธีแน่…”
สามวันต่อมา หนานกงฮุยที่เพิ่งแต่งงานกับซังเนี่ยนเอ๋อร์ภรรยาของเขาก็ย้ายออกจากจวนฉู่กั๋วกงอย่างเงียบๆ ไปอาศัยที่เรือนหอซึ่งอยู่ห่างจากจวนฉู่กั๋วกงไปประมาณครึ่งเมือง นี่แสดงถึงการแยกครอบครัวของจวนฉู่กั๋วกงอย่างชัดเจน การแยกครอบครัวทั้งๆ ที่ผู้อาวุโสในบ้านยังมีชีวิตอยู่ถือว่าหาได้ยากมากในจินหลิง แต่หนานกงฮุยและหนานกงชวี่สองพี่น้องก็เห็นสมควร แม้ว่าหนานกงฮุยจะไม่พอใจแต่เขาก็ทำได้เพียงแสร้งว่าเห็นด้วยเท่านั้น