ตอนที่ 350 พยายามคายออกมา (3)
หนานกงไหวยืนท่าทางแข็งทื่อ เขามองไปที่เฉียวเฟยเยียนที่กำลังร่ำไห้อยู่ ถอนหายใจแล้วจึงเอ่ยว่า “เย่ว์จวิ้นอ๋อง เรามาคุยกันเป็นการส่วนตัวเถิด”
เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “ลูกของข้าจากไปแล้ว ฉู่กั๋วกงคิดว่าจะชดใช้สิ่งใดให้ข้าแทนเล่า หญิงผู้นี้…มีนามว่าเฉียวเย่ว์อู่ใช่หรือไม่ ทหาร ไปเอาตัวนางมา!”
องครักษ์ของจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องสองนายเดินเข้าไปคุมตัวเฉียวเย่ว์อู่ไว้ทั้งซ้ายและขวา
เฉียวเฟยเยียนรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อคว้าเฉียวเย่ว์อู่เอาไว้ หันหน้าไปทางเซียวเชียนเยี่ยแล้วเอ่ยว่า “เย่ว์จวิ้นอ๋องโปรดไตร่ตรองอีกครั้งเถิดเพคะ…”
“หุบปาก” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้ามิอยากฟังเสียงเจ้า” แม้ว่าเซียวเชียนเยี่ยจะโปรดหญิงงามมากก็จริง แต่ย่อมไม่รวมถึงหญิงที่สูงอายุพอจะเป็นมารดาของเขาได้อย่างแน่นอน ระยะนี้เรื่องของเฉียวเฟยเยียนและหนานกงไหวเป็นที่รู้กันไปทั่วจินหลิง เย่ว์จวิ้นอ๋องแอบคิดอยู่ลึกๆ ว่าเมื่อก่อนเขาได้รับการติเตียนจากหนานกงไหวอย่างไม่เป็นธรรมแต่หนานกงไหวเองก็มิได้ดีไปกว่าเขามิใช่หรือ
เฉียวเฟยเยียนร่ำไห้น้ำตานองหน้า มองไปที่หนานกงไหวอย่างขมขื่น ทำให้ในที่สุดหนานกงไหวก็นึกออกว่าจะช่วยเหลือเฉียวเฟยเยียนที่น่าสงสารได้อย่างไร หากปัญหาครั้งนี้แก้จบลงได้ที่เซียวเชียนเยี่ย เช่นนั้นแล้วก็คงจะไม่เลยเถิดไปถึงการฟ้องร้องต่อฝ่าบาท เขาถอนหายใจแล้วถามขึ้นว่า “จวิ้นอ๋องต้องการจะทำเช่นไรหรือ”
เซียวเชียนเยี่ยชี้ไปที่เฉียวเย่ว์อู่และกล่าวว่า “ประหารเพื่อชดใช้ นางผู้นี้ต้องชดใช้ชีวิตให้ลูกข้า ข้าเองก็ต้องชดใช้ให้ซูเอ๋อร์เช่นกัน”
“ไม่ได้!” เฉียวเฟยเยียนและเฉียวเชียนหนิงเอ่ยพร้อมกัน
หนานกงไหวขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง เงื่อนไขข้อนี้มิมากเกินไปหรือ เย่ว์อู่อายุยังน้อยและมิได้มีเจตนา”
เซียวเชียนเยี่ยเลิกคิ้วพร้อมเอ่ยว่า “หากเอ่ยเช่นนี้ ฉู่กั๋วกงหมายความว่าลูกข้าสมควรตายเช่นนั้นหรือ”
หนานกงไหวเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ท่านอ๋องโปรดใจเย็นๆ ก่อนเถิด กระหม่อมอยากเจรจากับท่านอ๋องเป็นการส่วนตัว”
เซียวเชียนเยี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ก็ดีเหมือนกัน ข้าเองก็ใคร่รู้ว่าฉู่กั๋วกงต้องการเจรจาเรื่องใด”
หนานกงไหวหันกลับมาเหลือบมองหนานกงมั่วที่กำลังสังเกตการณ์อยู่และเอ่ยเบาๆ ว่า “ซื่อจื่อ พวกท่านตามสบายเถิด” แม้ว่าจะเอ่ยถึงซื่อจื่อ แต่สายตากลับมองไปทางหนานกงมั่ว หนานกงมั่วเห็นสายตาตักเตือนของเขาอย่างชัดเจน หนานกงมั่วยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ นางพิงไหล่ของเว่ยจวินมั่ว หาวเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “ไม่มีละครให้ดูเสียแล้ว จวินมั่ว เราไปกันเถิด”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเงียบๆ เขาไม่คิดว่าละครฉากนี้จะมีสิ่งใดน่าสนใจสักนิด มีเพียงอู๋สยาเท่านั้นที่เฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อหนานกงไหวและเซียวเชียนเยี่ยเข้าไปเจรจากันฉันมิตรแล้ว หนานกงมั่วก็คว้าแขนของเว่ยจวินมั่วแล้วกำลังจะเดินออกไป หากแต่ได้ยินเสียงของเฉียวเฟยเยียนร้องเรียก “จวิ้นจู่” จากทางด้านหลังเสียก่อน
ทันใดนั้นใบหน้าของหนานกงมั่วก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น เป็นรอยยิ้มกว้างที่ไม่เข้ากับใบหน้าอันงดงามของนางแม้แต่น้อย นางหันกลับมามองเฉียวเฟยเยียนด้วยรอยยิ้ม เฉียวเฟยเยียนจึงอดสั่นสะท้านไม่ได้ เพียงเผชิญหน้ากันไม่กี่คราวทว่านางกลับได้รับความเดือดร้อนจากหนานกงมั่วมากเหลือเกิน อีกทั้งรูปลักษณ์ของหนานกงมั่วที่เหมือนกับเมิ่งซื่อไม่ผิดเพี้ยน ล้วนสร้างแรงกดดันให้กับนางไม่น้อยเลย
เฉียวเฟยเยียนแอบกลืนน้ำลายอย่างเงียบๆ เหลือบมองไปที่หนานกงมั่วอย่างขลาดกลัวและเอ่ยว่า “เรื่องวันนี้…อู่เอ๋อร์มิได้เจตนาจริงๆ ได้โปรด…จวิ้นจู่โปรดตรวจสอบให้กระจ่างอีกครั้ง”
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เฉียวฮูหยินก็กล่าวเกินไป เจตนาหรือไม่นั้นมิมีผู้ใดเห็น ข้าเองก็มิรู้ว่าเวทมนตร์กลใดที่สามารถตรวจสอบให้กระจ่างได้?” เฉียวเฟยเยียนหวังลึกๆ ว่าหนานกงมั่วจะไม่รังแกตนเองอีก แต่ประสบการณ์มากมายที่ผ่านมาล้วนเตือนนางว่าหนานกงมั่วย่อมไม่พลาดที่จะทำให้ให้นางทุกข์ทรมานใจ ช่างน่าเสียดาย เรื่องเช่นนี้…ถึงจะรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ก็ยากที่จะกล่าวได้โดยไม่มีหลักฐาน
หนานกงมั่วพิงเว่ยจวินมั่ว ยิ้มสดใสดั่งดอกไม้บาน “เฉียวฮูหยิน ไม่ต้องกังวลไปหรอก ด้วยความรักที่ท่านพ่อมีต่อฮูหยิน อย่างไรก็คงไม่ปล่อยไปแน่ จวินมั่ว เจ้าคิดว่า…เย่ว์จวิ้นอ๋องจะปล่อยเฉียวเย่ว์อู่ไปหรือไม่”
เว่ยจวินมั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ถ้าฉู่กั๋วกงชดใช้บางสิ่งให้แทน ก็มีโอกาสอยู่มากที่เย่ว์จวิ้นอ๋องจะไม่สืบสาวราวเรื่องอีก” แต่ถึงอย่างไร นับแต่นี้จวนฉู่กั๋วกงคงจะถูกผูกติดกับเซียวเชียนเยี่ยอย่างสมบูรณ์เสียแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่หนานกงซูทำไม่ได้ แต่เฉียวเฟยเยียนสองแม่ลูกกลับทำได้ อีกอย่าง หากมองจากมุมของเซียวเชียนเยี่ยแล้ว หากเขาสามารถแลกเปลี่ยนบุตรชายที่ยังไม่เกิดเพื่อรับการหนุนหลังอย่างสุดกำลังจากจวนฉู่กั๋วกงได้ก็นับว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า ผู้ที่โชคร้ายที่สุดก็คงจะเป็นหนานกงซู ซึ่งหากเรื่องราวเป็นเช่นนี้จริงๆ หนานกงซูคงต้องยอมรับว่าตนช่างโชคร้ายนัก
ใบหน้าที่สวยงามของเฉียวเฟยเยียนแดงขึ้นเล็กน้อย นางเอ่ยอย่างละอาย “ข้ารู้ว่าท่านพี่หนานกงปฏิบัติต่อเราสามแม่ลูกเป็นอย่างดี”
“อ้วก!” หนานกงมั่วห้ามไม่อยู่ หันหลังกลับไปและรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา
“เป็นอันใดไป” เว่ยจวินมั่วรีบเข้าไปประคองนางและเอ่ยด้วยความเป็นห่วง หนานกงชวี่ซึ่งยังคงหน้าซีดในตอนแรกก็ก้าวเข้าไปหานางเช่นกัน “มั่วเอ๋อร์ เกิดอันใดขึ้น ต้องเรียกหมอหรือไม่”
เว่ยจวินมั่วจับข้อมือของหนานกงมั่วเพื่อต้องการสัมผัสชีพจร แต่เขารู้เรื่องแพทย์แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อาการบาดเจ็บภายในยังพอบอกได้แต่หากเป็นอาการอย่างอื่นไม่สามารถบอกอะไรได้เลย เขาหลุบตาต่ำลง ก้มตัวหวังจะพยุงหนานกงมั่วออกไปจากที่นี่ หนานกงมั่วรีบคว้าตัวเขาไว้แล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร!”
“ไม่เป็นไร?” เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาทันที “เป็นไปได้ไหมที่…” นัยน์ตาสีม่วงมองไปยังที่หนึ่งอย่างคาดหวัง
ใบหน้าของหนานกงมั่วพลันสีเข้มขึ้น นางตีเขาอย่างไม่สบอารมณ์และเอ่ยว่า “อย่าเหลวไหล ข้ามิได้…เป็นอันใด! มิได้เป็นอันใดทั้งนั้น!”
นัยน์ตาประกายสีม่วงในตอนแรกหรี่เล็กลง ปรากฏแววตาผิดหวังอยู่บ้าง “มิได้เป็นอันใดจริงๆ หรือ”
หนานกงมั่วหันหน้าหนีไปอย่างเงียบๆ ทนสบสายตาที่ผิดหวังของใครบางคนไม่ได้จริงๆ
“แล้วเจ้าเป็นอันใดกัน”
หนานกงมั่วเหลือบมองไปยังเฉียวเฟยเยียนที่ยืนตกใจอยู่ข้างๆ นางกลอกตาแล้วเอ่ยตอบว่า “คุณหนูเช่นข้าเพียงรู้สึกสะอิดสะเอียนก็เท่านั้น!”
“เจ้ามิใช่คุณหนูแล้ว” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเตือน
หนานกงมั่วแอบยื่นมือไปบีบเนื้อใครบางคนหนักๆ ครั้งหนึ่ง แต่สีหน้าของใครคนนั้นก็แทบไม่เปลี่ยนเลย คุณหนูใหญ่หนานกงแหงนมองท้องฟ้าอย่างเศร้าๆ นางอายุเพียงสิบหกปี ยังเป็นเด็กสาววัยแรกรุ่น แต่กลับถูกหาว่ามิใช่คุณหนูอีกต่อไปแล้ว…
เพื่อที่จะไม่ต้องคลื่นไส้อีก หนานกงมั่วหันไปหาเฉียวเฟยเยียนและถามอย่างจริงใจว่า “เฉียวฮูหยิน ข้าขอแนะนำบางอย่างได้หรือไม่”
เฉียวเฟยเยียนแปลกใจ มองนางด้วยสีหน้าสงสัยพร้อมเอ่ยว่า “จวิ้นจู่ ว่ามาเถิดเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วกล่าวว่า “เจ้าอายุมากเพียงนี้แล้วอย่าเสแสร้งว่าไร้เดียงสาอีกเลย ต่อให้อยากเสแสร้งก็โปรดเสแสร้งเพียงต่อหน้าชายที่เจ้าหมายปองเท่านั้นเถิด แม้เจ้าจะไม่นึกถึงผู้บริสุทธิ์ที่เพียงผ่านมาเห็นเช่นพวกข้าก็ควรนึกถึงบุตรชายของเจ้าที่ยังมองอยู่ด้วยบ้าง เจ้าไม่กลัวว่าเขาจะมีจุดด่างพร้อยที่บอกกับผู้หญิงของเขาในวันข้างหน้าไม่ได้หรือ หญิงสาวอายุสิบสี่สิบห้าทำเรื่องน่าละอายก็เพราะยังไม่เป็นผู้ใหญ่มากพอ แต่หญิงอายุย่างสามสี่สิบปีกระทำเช่นนี้…สมองคงไม่ค่อยปกตินักหรอกใช่หรือไม่ หืม…” หนานกงมั่วตาเป็นประกายขึ้นมาทันที จ้องมองไปที่เฉียวเฟยเยียนราวกับว่าเห็นของล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้น
เฉียวเฟยเยียนฟังนางกล่าวตำหนิ ใบหน้าถึงกับเปลี่ยนสีไปมา และเมื่อเห็นว่าดวงตาวาวโรจน์ของนางจับจ้องมาที่ตนก็ยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้น
หนานกงมั่วเท้าคางแล้วเอ่ยว่า “ข้าสงสัยขึ้นมาแล้วว่าหากเฉียวฮูหยินอายุห้าหกสิบปีจะยังขี้อายอยู่หรือไม่”
ขณะที่เฉียวเฟยเยียนรู้สึกไม่ดีนัก หนานกงมั่วก็หยิบยาออกมาเม็ดหนึ่ง เงาของตนทอดยาวไปยังเฉียวเฟยเยียน ยกมือข้างหนึ่งบีบคางนางเอาไว้แล้วใช้มืออีกข้างกรอกยาเข้าใส่ปาก เฉียวเฟยเยียนขัดขืนไม่ยอมกลืนพยายามไอออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อจะคายเม็ดยาออกมา ทว่านางได้กลืนเม็ดยาเล็กๆ นั่นลงไปแล้ว จึงทำได้เพียงเค้นคออย่างสิ้นหวังเท่านั้น เฉียวเชียนหนิงรีบวิ่งไปปกป้องเฉียวเฟยเยียน โพล่งถามอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าให้แม่ข้ากินสิ่งใดเข้าไป”