ตอนที่ 353 ละทิ้งความตายแล้วก้าวต่อไป (3)
ในยามนี้ เฉียวเย่ว์อู่ซึ่งอยู่ในจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องกำลังประสบความลำบาก หนานกงซูเพิ่งแท้งลูกและใบหน้าของนางยังคงซีดเซียวอยู่ แต่ดวงตาที่มองไปยังเฉียวเย่ว์อู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความอำมหิต เฉียวเย่ว์อู่ถูกหญิงร่างใหญ่สองคนกดจนล้มลงให้คุกเข่าลงบนเศษกระเบื้อง หนานกงซูมองเฉียวเย่ว์อู่ด้วยความเกลียดชังอันเปี่ยมล้น ริมฝีปากของนางปรากฏรอยยิ้มสุดแสนเย็นชา “ให้ข้าได้มองนางชัดๆ เพื่ออวยพรให้ลูกของข้า ถ้าเจ้าบังอาจขัดขืน ข้าจะเฆี่ยนเจ้าให้หนักเชียว!”
เฉียวเย่ว์อู่สั่นสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่ได้ นับตั้งแต่นางถูกพาตัวเข้ามายังจวนของเย่ว์จวิ้นอ๋อง นางก็ถูกพามาที่เรือนของหนานกงซู หนานกงซูเริ่มจากให้คนทุบตีอย่างทารุณก่อน จากนั้นก็ให้คุกเข่าลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษกระเบื้องเพื่อสวดภาวนาให้กับลูกที่เสียไป ทุกวันนางมีเวลาพักผ่อนเพียงแค่สองชั่วโมง ได้น้ำเพียงหนึ่งถ้วยกับหมั่นโถวสองชิ้น นอกจากนี้แล้วในเวลาที่เฉียวเย่ว์อู่หยุดนิ่งหรือเผลอหลับไป ก็จะมีแส้ฟาดใส่นางในทันที ถึงขั้นที่เฉียวเย่ว์อู่เองก็ยังสงสัยว่าหากไม่ใช่เพราะนางกลัวตาย หนานกงซูก็คงทรมานนางเป็นเวลาสิบสองชั่วโมงต่อวันโดยไม่คิดหยุดเลย
“อ้า?!” แส้ถูกฟาดลงมาอย่างรุนแรง เฉียวเย่ว์อู่กรีดร้องทรุดตัวลงกับพื้น ร่างกายของนางเต็มไปด้วยรอยเลือด ไม่รู้ว่านางถูกแส้ฟาดไปกี่ครั้งแล้วในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หนานกงซูนั่งบนเก้าอี้มองดูนางด้วยสายตาเหยียดหยาม แล้วจึงเอ่ยถามด้วยความพยาบาทว่า “เจ็บไหม รู้หรือยังว่าลูกข้าเจ็บมากเพียงใด เจ้ายังหวังว่าพ่อข้าจะมาช่วยเจ้าอยู่หรือไม่ หยุดโง่ได้แล้ว ท่านอ๋องบอกแล้วว่าตราบใดที่ข้ายังไว้ชีวิตเจ้า ข้าจะทำเช่นไรก็ได้ ฮ่า ฮ่า… พ่อของข้าสนใจแต่หญิงมั่วโลกีย์อย่างแม่เจ้าเท่านั้น มิใช่ลูกสามีเก่าอย่างเจ้าเสียหน่อย…”
“หนานกงชู!” เฉียวเย่ว์อู่มองผู้หญิงตรงหน้าอย่างเกลียดชัง นางกล้า นางกล้าทำกับตนถึงขั้นนี้!
หนานกงซูยิ้มเยาะอย่างเหยียดหยาม “เจ้ากำลังแค้นข้าหรือ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแค้นข้า เจ้าที่ได้ชื่อว่าหญิงสารเลว…ข้าต้องการให้เจ้าชดใช้ชีวิตให้ลูกข้า! เฆี่ยนมัน!”
“เจ้าค่ะ ซู่เฟย”
ทางด้านหลัง บ่าวหญิงที่ถือแส้ในมือฟาดแส้ไปทางเฉียวเย่ว์อู่อย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่าหญิงผู้นั้นมิใช่ผู้เชี่ยวชาญในการลงแส้ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่ได้เฆี่ยนแรงหรือเบาเกินไป หลังจากฟาดแส้ไปสิบกว่าครั้ง เฉียวเย่ว์อู่ก็ไม่เหลือแม้แต่แรงจะล้มลงบนพื้น ได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้เลือดสดไหลท่วมตัวหยดลงบนพื้น
“ช่วยด้วย…ฮือ ฮือ…”
“ฮ่าฮ่า!” เมื่อมองดูท่าทางน่าสังเวชของนางแล้ว หนานกงซูก็หัวเราะอย่างมีความสุข แล้วจึงเอ่ยสั่งอย่างเย็นชา “อยู่ทายาให้นางก่อน อย่าให้นางเป็นอันใดไป นางยังต้องชดใช้ให้ลูกข้าอีก”
“เจ้าค่ะ”
เฉียวเย่ว์อู่ถูกประคองออกไป ทิ้งคราบเลือดไว้เป็นทางยาวบนพื้น หนานกงซูมองดูคราบเลือดบนพื้นอย่างเงียบๆ อยู่ภายในห้อง สีหน้าท่าทางของนางนั้นเปลี่ยนไป
ด้านนอกประตู เมื่อมองเห็นเฉียวเย่ว์อู่ที่มีสภาพราวกับศพถูกลากออกไป พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องที่ไม่รู้ว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อใดก็ขมวดคิ้ว แม้ว่าจะผ่านช่วงแรกของการตั้งครรภ์ไปแล้ว แต่กลิ่นคาวเลือดยังคงทำให้นางรู้สึกคลื่นไส้จนอยากอาเจียน
“พระชายาเพคะ หนานกงซู่เฟยเหมือนจะ…” บ่าวรับใช้กระซิบข้างหลังพระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋อง มิใช่ว่าหนานกงซูทรมานเฉียวเย่ว์อู่จนเกินไปหรอก ความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกไปนั้นต่อให้ประหารคนร้ายก็ไม่นับว่ามากเกินไป ซึ่งต่อให้เกลียดชังเฉียวเย่ว์อู่ยิ่งกว่านี้ จะลอบทรมานหรือสังหารนางก็ย่อมทำได้ ทว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านอ๋องและฉู่กั๋วกงต้องการทำให้หนานกงซูลำบากใจเพื่อไว้ชีวิตเฉียวเย่ว์อู่? ทั่วทั้งจวนเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเสียงคร่ำครวญเช่นนี้ คนในจวนทั้งหมดจึงแทบจะไม่กล้าผ่านไปมาในเรือนเลย
เย่ว์จวิ้นอ๋องเหลือบมองประตูครั้งหนึ่ง ส่ายหัวแล้วเอ่ยว่า “ช่างเถิด หนานกงซู่เฟยเพิ่งสูญเสียลูกที่รักไป จะรู้สึกหดหู่ใจก็มิใช่เรื่องแปลก ไม่ต้องกังวลเรื่องนางหรอก”
“แต่…” ไม่ได้มีแค่นางที่ไม่พอใจ คนทั้งจวนเย่ว์จวิ้นอ๋องต่างก็ไม่พอใจกับการกระทำของหนานกงซูไม่น้อย มิเช่นนั้นพระชายาคงไม่มาที่นี่ด้วยตนเอง ใครจะรู้ว่าพระชายายังไม่ทันได้เห็นนางก็ต้องกลับเสียแล้ว
พระชายาเย่ว์จวิ้นอ๋องถอนหายใจ ลูบท้องที่ป่องออกมาเล็กน้อยของตนแล้วเอ่ย “หากมีอันใดเกิดขึ้นกับลูกข้า ข้ากลัวว่า…ข้าจะอาฆาตพยาบาทฆาตกรมากกว่าหนานกงซูเสียอีก ที่จริงนี่มิใช่เรื่องของเราเลย เพียงแค่ปล่อยให้นางระบายออกมาบ้างก็พอแล้ว”
เมื่อคิดว่าหนานกงซูเพิ่งสูญเสียลูกไป แม้ว่านางจะเป็นศัตรูหัวใจกับเจ้านายตนเอง แต่สำหรับผู้หญิงแล้วก็จินตนาการถึงเสียงร้องคร่ำครวญของการสูญเสียลูกได้ไม่ยาก ยามนี้หนานกงซูไม่สามารถข่มขู่พระชายาได้อีกต่อไป พระชายากล่าวถูกแล้วว่าที่จริงไม่ใช่เรื่องของพวกตน
ทางด้านจวนฉู่กั๋วกง
หนานกงไหวกำลังคุยกับหนานกงชวี่อยู่ในห้องหนังสือ แต่บรรยากาศระหว่างพ่อลูกกลับเคร่งขรึมและหดหู่ใจตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่แน่ชัด หนานกงไหวมองไปยังหนานกงชวี่อย่างเย็นชา เอ่ยถามว่า “เช่นนี้เจ้าคงพอใจแล้วสินะ” หนานกงชวี่เงยหน้าขึ้นมองกลับไปที่หนานกงไหวเงียบๆ เอ่ยตอบเสียงเรียบ “ลูกไม่เข้าใจว่าที่ท่านพ่อถามหมายถึงสิ่งใด”
หนานกงไหวยิ้มเยาะ “ไม่เข้าใจหรือ ตอนนี้เจิ้งซื่อก็จากไปแล้ว ซูเอ๋อร์เอาใจออกห่างจากข้า มั่วเอ๋อร์ก็ไม่เคยเห็นบิดาผู้นี้อยู่ในสายตา แม้แต่ฮุยเอ๋อร์เองก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว นับแต่นี้จวนฉู่กั๋วกงไม่ได้เป็นของเจ้าผู้เดียวหรอกหรือ”
หนานกงชวี่มองมาที่เขาเงียบๆ ดวงตาปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ย เอ่ยตอบช้าๆ “ท่านพ่อกล่าวเช่นนี้…ดูเหมือนว่าจะทำใจปล่อยพวกเขาไปไม่ได้ การจากไปของเจิ้งฮูหยินเกี่ยวเช่นไรกับลูกหรือ ลูกของซูเอ๋อร์ต้องตายเพราะลูกหรือ ท่าทีของมั่วเอ๋อร์เกิดจากลูกหรือ ส่วนฮุยเอ๋อร์… ฮุยเอ๋อร์จะจากไปท่านพ่อเคยรั้งเขาไว้หรือขอรับ อีกอย่างจวนฉู่กั๋วกงจะเหลือเพียงลูกผู้เดียวได้เยี่ยงไร ไม่ได้มีเฉียวเชียนหนิงอีกผู้หนึ่งหรอกหรือขอรับ”
“บังอาจ! เจ้ากล้าพูดกับบิดาเช่นนี้หรือ” หนานกงไหวสีหน้าฉุนเฉียว
หนานกงชวี่ไม่สะทกสะท้าน “ท่านพ่อมีอันใดจะสั่งอีกหรือไม่”
“เจ้า…”
“นายท่าน! แย่แล้วนายท่าน!” ด้านนอกประตู ได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งสะเปะสะปะเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตะโกนต่อว่า “เฉียวฮูหยิน…เฉียวฮูหยินฆ่าตัวตาย!”
หนานกงไหวลุกขึ้นยืน “อันใดกัน!” มิได้สนใจจะสั่งสอนหนานกงชวี่อีกต่อไป หนานกงไหวเตะเก้าอี้ข้างหลังแล้วเดินไปยังหน้าประตูอย่างรวดเร็ว ห้องหนังสือว่างเปล่าลง หนานกงชวี่มองไปยังหน้าประตูแล้วจึงเดินตามออกไปเช่นกัน
หนานกงไหวรีบร้อนไปยังเรือนของเฉียวเฟยเยียน เขาเห็นเฉียวเฟยเยียนนอนหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียง ที่พื้นเต็มไปด้วยคราบเลือด ข้อมือข้างหนึ่งซึ่งพาดอยู่ข้างเตียงมีเลือดมากเสียจนทำให้เขาตกใจ เฉียวเชียนหนิงคุกเข่าลงข้างเตียงด้วยดวงตาแดงก่ำ เมื่อเห็นหนานกงไหวเข้ามาก็จ้องไปที่เขาอย่างโกรธเคืองทันที “ท่านมาทำอะไรที่นี่ ใครให้ท่านเข้ามา! ออกไป! ออกไป ท่านทำร้ายแม่ข้ายังไม่พออีกหรือ”
“เยียนเอ๋อร์!” หนานกงไหวก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เฉียวเฟยเยียนได้หวนคืนสู่รูปโฉมงดงามอย่างเช่นเมื่อก่อนแล้ว ใบหน้าซีดเซียวจากการสูญเสียเลือดมากเกินไปดูเปราะบางและไร้เดียงสายิ่งขึ้น “เหตุใดถึงยังไม่เรียกหมอ! หมออยู่ที่ไหน!” ในขณะที่ตะโกนขึ้น หนานกงไหวก็รีบเอาผ้าพันแผลให้นางด้วยความรีบร้อน
“นายท่าน…ไปตามแล้ว เจ้าค่ะ”
“เยียนเอ๋อร์”
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ เฉียวเฟยเยียนจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น จ้องไปที่หนานกงไหวโดยไม่เอ่ยวาจาใด
หนานกงไหวรีบเอ่ยถาม “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง เหตุใดเจ้า…เหตุใดเจ้าถึงโง่เพียงนี้”
หยดน้ำใสๆ ไหลลงมาจากหางตาของเฉียวเฟยเยียน เฉียวเฟยเยียนอ้าปากค้างไว้นานก่อนจะเอ่ย “ข้า…ข้ารู้ ข้ามิคู่ควรกับท่าน หากข้าตายไปก็จบ ขอเพียง…ข้าขอเพียงแค่ท่าน ช่วยดูแลเย่ว์อู่กับเชียนหนิงให้ดี พวกเขา…”