ตอนที่ 354 ละทิ้งความตายแล้วก้าวต่อไป (4)
หนานกงไหวเอ่ยแทรกนางขึ้นมาเสียงเคร่งขรึม “ไม่ได้! เจ้าต้องไม่เป็นไร หากไม่มีเจ้า พวกเขาจะมีความหมายใดกับข้า เยียนเอ๋อร์…เมื่อก่อนข้าเคยทำไม่ดี ข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้าอยู่ในเรือนนี้เพียงลำพังเลย โปรดอย่าทิ้งข้าไว้ลำพัง…”
“ท่านพี่หนานกง…ข้าหนาว…”
“เยียนเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว…หมอกำลังมาแล้ว” หนานกงไหวเอ่ยเสียงนุ่ม เฉียวเฟยเยียนส่ายหัวไปมาเอ่ยว่า “ไม่ เย่ว์อู่…ข้าอยากพบเย่ว์อู่”
“ข้าจะส่งคนไปรับนางที่จวนเย่ว์จวิ้นอ๋องเดี๋ยวนี้” หนานกงไหวเอ่ยรับปากโดยไม่ลังเล
“หมอมาแล้ว!”
หมอเฒ่าผู้หนึ่งถูกพ่อบ้านลากเข้ามาในเรือนอย่างเร่งรีบ หนานกงไหวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เอ่ยว่า “หมอ ช่วยเยียนเอ๋อร์ด้วย”
หมอเฒ่าเหลือบมองหญิงบนเตียง มองไปยังหนานกงไหวแล้วส่ายหัวเล็กน้อย แล้วจึงเดินเข้าไปตรวจดูบาดแผลของเฉียวเฟยเยียน หมอเฒ่าผู้นี้ก็คือหมอที่ตรวจหนานกงซูไปเมื่อไม่กี่วันก่อน เขามองดูเรือนแห่งนี้แล้วแอบลอบถอนหายใจอยู่ภายใน ตัดสินใจว่าตนจะไม่มาที่จวนฉู่กั๋วกงบ่อยนัก
“หมอ นางเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
หมอเฒ่าลูบเคราของตนแล้วจึงเอ่ยตอบ “แผลค่อนข้างลึก แม้ว่าจะห้ามเลือดได้ทันเวลาและมิได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่เกรงว่ามือข้างนี้จะไม่สามารถหายเป็นปกติเช่นเดิมได้ การบาดเจ็บถึงเส้นโลหิตดำ ในวันข้างหน้ามือข้างนี้จะถือของหนักมิได้ และอาจจะมีอาการปวดขึ้นมาได้ในวันฝนตก ให้หมอคนอื่นจ่ายยาบำรุงโลหิตให้ก็พอแล้ว”
“ดีที่มีหมอเฒ่าอยู่” หนานกงไหวโล่งใจ ถือว่าได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับอันตรายถึงชีวิต นับเป็นความโชคดีในโชคร้าย
หมอเฒ่าพยักหน้าแล้วออกไปสั่งยา เฉียวเชียนหนิงลุกยืนขึ้นตาม เอ่ยว่า “ข้าจะตามหมอไปเอายาให้ท่านแม่” เวลานี้หนานกงไหวไม่มีอารมณ์ไปสนใจเฉียวเชียนหนิงที่เพิ่งปฏิบัติต่อเขาอย่างไร้มารยาท เขาเพียงดึงเฉียวเฟยเยียนเข้ามากอดพลางเอ่ยว่า “ดีเหลือเกิน เยียนเอ๋อร์ ดีที่เจ้าไม่เป็นอันใด…วันหลังอย่าคิดทำเช่นนี้อีกเชียว”
เฉียวเฟยเยียนซบอกของหนานกงไหว กระซิกคร่ำครวญ “ข้าคิดว่า…ท่านไม่ต้องการข้าแล้ว”
“ซื่อบื้อ ข้าจะไม่ต้องการเจ้าได้เยี่ยงไร” หนานกงไหวเอ่ยเสียงทุ้มนุ่ม มองดูใบหน้าขาวซีดและบอบบางของเฉียวเฟยเยียนราวกับว่าต้องการโยนภาพความแก่ชราอันน่าเกลียดก่อนหน้านี้ออกไปจากสมองให้หมดสิ้น
“ถ้าท่านไม่ต้องการข้าแล้ว ข้าขอตายเสียดีกว่า” เฉียวเฟยเยียนเอ่ยว่า “หลายปีผ่านมา สุดท้ายข้าก็ได้อยู่กับท่านอีกครั้ง หากข้าต้องแยกจากท่าน ข้ายอมตายเสียดีกว่า”
“แม้แต่ความตายก็พรากเราจากกันไม่ได้” หนานกงไหวกล่าวอย่างหนักแน่น นี่คือผู้หญิงที่เขารักที่สุด นางจิตใจงดงาม นุ่มนวล จำเป็นต้องมีเขาคอยดูแลทะนุถนอมเอาใจใส่ ในฐานะชายผู้หนึ่งแล้ว หากแม้กระทั่งหญิงที่รักยังปกป้องไม่ได้ เขาจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่อสิ่งใด หากมิใช่เพราะการขัดขวางของตระกูลเมิ่งในคราวนั้น พวกเขาจะยอมแยกทางกันนานหลายปีเช่นนี้ได้เช่นไร
เฉียวเฟยเยียนซบในอ้อมอกของหนานกงไหว ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจโดยที่หนานกงไหวมองไม่เห็น ตราบเท่าที่ยังรักษาหนานกงไหวไว้ได้ นับประสาอะไรกับมือเพียงข้างเดียวเล่า
…
“แม่นางมั่ว ดูเหมือนว่าครั้งนี้เจ้าจะแพ้แล้ว” ศาลาเทียนอี ลิ่นฉังเฟิงอมยิ้มแล้วเอ่ยให้หญิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามฟัง
เป็นธรรมดาที่ไม่สามารถปกปิดเรื่องในจวนฉู่กั๋วกงกับพวกเขาได้ ที่จริงแล้วหนานกงมั่วรู้ข่าวว่าเฉียวเฟยเยียนฆ่าตัวตายตั้งแต่หมอเฒ่ายังไปไม่ถึงจวนด้วยซ้ำ ยิ่งเรื่องราวหลังจากนี้ก็เข้าใจได้อย่างชัดเจน “ฤทธิ์ยาตั้งครึ่งเดือน แต่กลับหมดฤทธิ์ลงรวดเร็วด้วยมือเฉียวเฟยเยียนภายในเวลาเพียงสามวัน หญิงผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
หนานกงมั่วไม่ได้สนใจและเอ่ยเบาๆ “ไม่ใช่เฉียวเฟยเยียนหรอกที่ไม่ธรรมดา หากแต่เป็นคนที่อยู่ข้างหลังมากกว่า ก็เพียงแค่ยาเม็ดเล็กๆ ที่ใช้งานง่าย หมดฤทธิ์แล้วก็แล้วกัน เฉียวเฟยเยียนกล้าที่จะเอาชีวิตตัวเองกับมือข้างหนึ่งมาเดิมพัน ก็นับเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง” เฉียวเฟยเยียนฆ่าตัวตายเช่นนี้ หนานกงไหวมีแต่จะยิ่งให้ความสำคัญกับนางมากกว่าเดิม เงามืดที่ทิ้งไว้เบื้องหลังเนื่องด้วยเฉียวเฟยเยียนอัปลักษณ์ก็เลือนหายไปโดยปริยาย
“เจ้าจะทำเช่นไรต่อไป” ลิ่นฉังเฟิงถามด้วยความสงสัย
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยความแปลกใจ “ข้าควรทำเช่นไรคืออันใดกัน ควรถามหนานกงซูกับหนานกงชวี่ว่าจะทำเช่นไรต่อมากกว่ามิใช่หรือ ข้าก็แค่… แหย่เล่นเท่านั้น”
“…” เพียงแค่แหย่เล่น แต่กลับทำให้คนอื่นต้องฆ่าตัวตายเพื่อกอบกู้สถานการณ์ เจ้าคิดว่าเฉียวเฟยเยียนจะปล่อยเจ้าไปหรือ
หนานกงมั่วยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ถึงนางไม่ปล่อยข้าไปแล้วจะทำสิ่งใดได้
นางบิดขี้เกียจแล้วยืนขึ้นพลางเอ่ย “สรุปว่าที่เหลือก็มิใช่เรื่องของข้าแล้ว หากเจ้าสนใจว่าหนานกงซูกับหนานกงชวี่ต้องการทำสิ่งใดก็รอดูเอาเถิด จริงสิ ให้คนส่งข่าวไปบอกหนานกงซูด้วยว่าหนานกงไหวอาจสั่งให้คนนำตัวเฉียวเย่ว์อู่กลับไป” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยอย่างแปลกใจ “เจ้าต้องการทรมานเฉียวเย่ว์อู่จนตายหรือ เจ้าเกลียดนางมากเพียงใดกัน” หากหนานกงซูรู้ว่าหนานกงไหวจะเอาตัวเฉียวเย่ว์อู่กลับไป นางจะยอมปล่อยเฉียวเย่ว์อู่ไปง่ายๆ หรือ ผู้หญิงที่ขาดสติน่ะน่ากลัวยิ่งนัก
“เกลียดนาง?” หนานกงมั่วส่ายหัวแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ามิได้เกลียดนาง ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิตก็สมควรแล้วมิใช่หรือ อีกอย่างหนานกงซูอาจจะไม่กล้าฆ่านางก็ได้” เพียงแต่จะทำให้นางน่าสมเพชยิ่งกว่าตายเท่านั้น
ลิ่นฉังเฟิงขยี้จมูกเล็กน้อย เอ่ยว่า “เอาเถอะ ข้าเข้าใจแล้ว” เมื่อเห็นว่าหนานกงมั่วกำลังจะจากไป เขาจึงรีบร้อนถามขึ้น “เจ้าจะไปที่ใด”
หนานกงมั่วยิ้มพร้อมเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “วันพรุ่งกับมะรืนจวินมั่วหยุดงาน เราจะออกไปเที่ยวนอกเมืองกัน” เหลือบมองที่ลิ่นฉังเฟิงครั้งหนึ่งก่อนเอ่ยต่อว่า “ขอโทษนะที่พาเจ้าไปด้วยไม่ได้”
ลิ่นฉังเฟิงกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ ใครอยากจะไปกับพวกเจ้าสองคนกันเล่า
หนานกงมั่วยิ้มและหันกลับไปแต่พลาดตกบันไดที่อยู่ข้างๆ
“เฮ้ย?!” ลิ่นฉังเฟิงรีบไปที่หน้าต่าง มองเห็นว่าคุณหนูหนานกงไม่ได้ตกลงไปบนทางเดินนั้นทว่ากลับกลายไปอยู่ในอ้อมแขนของใครบางคนแล้ว นางยังคงโอบรอบคอเขาไว้ในยามที่ยกมืออีกข้างขึ้นโบกให้ลิ่นฉังเฟิงอย่างร่าเริง คุณชายฉังเฟิงอดไม่ได้ฉวยหยิบถ้วยข้างมือขึ้นมา แทบอยากโยนมันทิ้งลงไปข้างล่าง “บ้าเอ๊ย!”
ทั้งสองเดินจูงมือออกไปจากเมืองจินหลิงด้วยกันอย่างมีความสุข หนานกงมั่วหันกลับไปมองประตูเมืองด้านหลังแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในสมัยเดียวกันแล้ว เมืองจินหลิงนับว่าไม่ใหญ่โตนัก การเดินทางก็ไม่สะดวกสบาย แม้แต่หนานกงมั่วเองก็ไม่ได้เดินทางออกจากเมืองเป็นเวลานานแล้วเช่นกัน
เมื่อเห็นท่าทางมีความสุขของนาง ใบหน้าแสนเย็นชาของเว่ยจวินมั่วพลันดูอบอุ่นขึ้นมาเช่นกัน
หนานกงมั่วโบกมือและเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เหตุใดฝ่าบาทจึงประทานให้วันหยุดให้ท่านล่ะ”
เว่ยจวินมั่วส่ายหัวแล้วเอ่ยตอบว่า “ฝ่าบาทรับสั่งให้องครักษ์อีกคนกลับเข้าวังแล้ว ข้าจึงสบายขึ้นมาก” หนานกงมั่วพยักหน้าไม่ได้ถามต่ออีก เหตุผลที่ฮ่องเต้ส่งคนกลับวังในเวลานี้ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ควรถามถึง องครักษ์แห่งจินหลิงทั้งสิบสามนายรวมถึงเว่ยจวินมั่วมีเพียงสองนายที่อยู่ในวังและอีกสามนายอยู่ในเมืองจินหลิง จะคิดอย่างไรก็อดรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาไม่ได้ แต่ถึงกระนั้น เว่ยจวินมั่วก็เอ่ยถูกต้องแล้ว การมีสหายคอยผลัดเปลี่ยนเวรก็ทำให้เว่ยจวินมั่วสบายขึ้นมากทีเดียว
“หากอู๋สยาชอบล่ะก็ พักผ่อนกันอยู่นอกเมืองอีกสักพักเถิด” เรือนพักอีกแห่งหนึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากเมืองจินหลิง เว่ยจวินมั่วคิดว่าการพำนักอยู่นอกเมืองกับอู๋สยาคงไม่เป็นอันใด ต่อให้จะต้องเข้าวังไปประจำการทุกวันก็เพียงแค่ตื่นเช้าขึ้นและเสียเวลาขี่ม้าเล็กน้อยเท่านั้น หนานกงมั่วส่ายหัว “ได้เช่นไรกันเล่า ท่านแม่ยังอยู่ในจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องเพียงลำพัง” แม้แต่การออกมาเที่ยวเล่นครั้งนี้ก็เป็นเพราะองค์หญิงฉังผิงคะยั้นคะยออย่างสุดกำลังให้ทั้งสองคนออกมา