ตอนที่ 355 รนหาที่ตาย (1)
เมื่อครั้งที่หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วแต่งงานกัน ของขวัญที่ฉีอ๋องมอบให้นั้นมีเรือนพำนักบริเวณตีนเขาจื่อหวินด้วย คราวนี้พวกเขาจึงวางแผนที่จะไปพำนักกันที่นั่น เมื่อออกจากเมืองทั้งสองคนต่างก็ขึ้นควบม้าของตน ม้าตัวหนึ่งสีดำ อีกตัวหนึ่งสีขาวกำลังเหยียบไปบนหญ้าที่อยู่ใต้กีบเท้าของมันอย่างเชื่องเชื่อ ท่าทางรีบร้อนห้อตะบึงไป หลังจากอยู่ในเมืองจินหลิงมาอย่างยาวนาน ไม่เพียงแค่คนแต่ม้าเองก็แทบทนไม่ไหวแล้ว
หนานกงมั่วเลิกคิ้วแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มาแข่งกันว่าใครจะไปถึงก่อน”
เว่ยจวินมั่วเอ่ยอย่างไร้กังวล “อู๋สยารู้ทางหรือไม่”
หนานกงมั่วเงียบ นางยังไม่เคยไปที่เรือนพำนักนั้น แต่… “ดูว่าใครจะไปถึงตีนเขาจื่อหวินก่อนกัน!” เอ่ยจบก็ควบม้าออกไปโดยไม่รอการตอบรับจากเว่ยจวินมั่ว เมื่อกระตุกแส้ม้าก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนูคมกริบที่พุ่งทะยานออกไป เสียงหัวเราะร่าเริงของหนานกงมั่วดังแว่วห่างออกไป “เว่ยจวิยมั่ว เร็วเข้าสิ!”
เว่ยจวินมั่วเหลือบมองคนและม้าที่ออกห่างไปอย่างเงียบๆ ถอนหายใจเบาๆ ออกมาแล้วควบม้าตามไปอย่างไม่ได้เร่งรีบ
หนานกงมั่วอยู่บนหลังม้า สัมผัสได้ถึงสายลมเย็นที่พัดผ่านใบหน้าและทิวทัศน์รอบตัวที่เคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว พลันอารมณ์ดีขึ้นมาในทันใด ในโลกนี้คงไม่มีสิ่งใดน่าตื่นเต้นไปกว่าการได้ขี่ม้าแล้ว ความเศร้าโศกที่อยู่ในใจมาตลอดยามอยู่ในจินหลิงเหมือนกับว่าได้ปลิวหายไปตามลมหนาวแล้ว หันหลังกลับมามองคนที่กำลังไล่ตามตนมาอย่างช้าๆ จึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เว่ยซื่อจื่อ ม้าของท่านวิ่งไม่ได้แล้วหรือ”
เว่ยจวินมั่วไม่ได้ตอบกลับ ทว่าอาชาสีดำใต้ร่างเขาร้องราวกับว่าเข้าใจสิ่งที่หนานกงมั่วเอ่ย มันจึงกางกีบเท้าและเร่งรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว อาชาสีขาวของหนานกงมั่วเองก็ดูราวกับจะรับรู้ถึงการข่มขู่และความท้าทายจากอาชาสีดำ จึงเร่งฝีเท้าไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วเช่นกัน อาชาขาวดำทั้งคู่วิ่งเคียงข้างกันไปยังเขาจื่อหวิน ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะร่าเริงที่ปลิวกระจายไปในสายลม
“มีความสุขมากเลย ใช่หรือไม่” ณ หน้าผาแห่งหนึ่งนอกเมืองจินหลิง จูชูอวี้ซึ่งยืนอยู่บนเขาถอนหายใจเบาๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้นขณะมองไปยังคนคู่หนึ่งที่กำลังควบม้าเคียงกันมาอย่างรวดเร็ว
กงอวี้เฉินที่สวมหน้ากากเอามือไขว้หลังอยู่ตรงขอบหน้าผาไม่ไกลจากนาง ถอนหายใจเบาๆ พลางเอ่ย “น่าเสียดายที่สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดนั่นก็คือความสุขของผู้อื่น!”
จูชูอวี้เลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า “แล้วอย่างไร เจ้าสำนักกงลากข้ามาถึงที่นี่เพื่อมาแอบดูความสุขของผู้อื่นเท่านั้นหรือ ขอโทษด้วย ข้าไม่สนใจหรอก” เงาของกงอวี้เฉินทอดไปที่ด้านหลังของจูชูอวี้ จูชูอวี้รู้ดีว่านางไม่สามารถต่อกรกับเขาได้จึงไม่คิดจะขัด ทว่าเพียงได้ยินน้ำเสียงที่ปลุกเร้าจิตวิญญาณอันแฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายของกงอวี้เฉินดังก้องอยู่ในหูว่า “ไม่สนใจ หรือไม่กล้าสนใจกันแน่ล่ะ เจ้าสู้หนานกงมั่วไม่ได้ กลัวใช่หรือไม่” จูชูอวี้หันกลับมาอย่างฉุนเฉียวแล้วยิ้มเยาะ “เจ้าสำนักกง เจ้าต้องการทำอันใดกันแน่ คอยยุยงให้ข้าเป็นปฏิปักษ์กับซิงเฉิงจวิ้นจู่แล้วได้ประโยชน์ใดหรือ ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้ามิได้รักผู้สืบทอดของจวิ้นอ๋องแห่งจิ้งเจียง เจ้าคิดว่าข้าจะยอมเป็นศัตรูกับคนอย่างซิงเฉิงจวิ้นจู่เพื่อชายผู้เดียวอย่างนั้นหรือ”
“เช่นนั้นเองหรือ” กงอวี้เฉินเลิกคิ้ว ยิ้มตอบ “แล้ว…ตอนแรกไยจึงเลือกเว่ยจวินมั่วเล่า ต่อให้เจ้าไม่รักเขา แต่เหตุผลที่ทำให้เจ้าเลือกเขาในตอนแรกก็ยังคงอยู่ใช่หรือไม่”
สีหน้าของจูชูอวี้เข้มขึ้นเล็กน้อย กัดฟันเอ่ยตอบ “เจ้าสำนักกง เจ้าต้องการทำอันใดกันแน่”
กงอวี้เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเพียงอยากรู้ว่า…เหตุใดตอนแรกเจ้าจึงเลือกเว่ยจวินมั่ว ข้าคิดเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ยังไม่พบว่าเขามีสิ่งใดวิเศษเลย” แน่นอนว่าไม่รวมความหน้าเนื้อใจเสือของเขา หากจูชูอวี้ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเว่ยจวินมั่วแล้วเกรงว่าจะหนีไปให้เร็วยิ่งกว่านกบินเสียอีก
จูชูอวี้มองใบหน้าสวมหน้ากากของกงอวี้เฉินและเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้าสำนักกงใคร่รู้ว่าเหตุใดข้าจึงเลือกเว่ยจวินมั่วหรือเหตุใดซิงเฉิงจวิ้นจู่จึงเลือกเว่ยจวินมั่วกันแน่”
ก่อนเอ่ยจบ จูชูอวี้สัมผัสได้ถึงรัศมีความดุร้ายที่พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของตนจึงหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว แต่เมื่อลืมตาอีกครั้งก็เห็นกงอวี้เฉินมองและยิ้มขันอย่างเหนือกว่า เห็นได้ชัดว่าความกลัวของจูชูอวี้ได้ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ ดวงตาของจูชูอวี้ฉายแววรำคาญแต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ นางไม่ต้องการคบค้าสมาคมกับกงอวี้เฉินแต่ก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ กงอวี้เฉินไม่ใช่คนที่นางสามารถสลัดทิ้งได้เมื่อต้องการ และไม่ใช่ว่านางไม่คิดหาวิธีกำจัดกงอวี้เฉิน แต่ไม่ว่านางจะไปหาผู้ใด กงอวี้เฉินก็จะปรากฏตัวต่อหน้านางในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันราวกับฝันร้ายที่ไม่มีทางหนีรอดไปได้
“เสี่ยวอวี้ เจ้าเป็นหญิงปัญญาสูงคนที่สองที่ข้าเคยเจอ ฉะนั้น…อย่าทำสิ่งที่มิควรทำเช่นนั้นอีก คราวหน้าข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ”
เขารู้แล้ว! จูชูอวี้ตกใจแต่ยังคงทำสีหน้านิ่งเฉย กงอวี้เฉินยกมือขึ้นประคองใบหน้าเล็กๆ ของนางแล้วกระซิบเบาๆ “ข้ายังสงสัยอยู่ว่าเจ้าจะไปได้ถึงขั้นใด เดิมที…เสี่ยวมั่วน่าจะเหมาะสมมากกว่าเจ้า แต่น่าเสียดาย…ที่นางไม่มีความทะเยอทะยานใดเลย หากนางมีความทะเยอทะยานเช่นเจ้า เสี่ยวอวี้ ข้าเกรงว่าวันนี้เจ้าคงไม่สามารถมายืนอยู่ตรงนี้ได้”
“ขอบคุณเจ้าสำนักกงที่เตือนข้า” จูชูอวี้กัดฟันเอ่ย นางไม่ดีเท่าหนานกงมั่วแต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเอ่ยเปรียบเทียบต่อหน้านางซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้
“โกรธหรือ” กงอวี้เฉินมองไปยังจูชูอวี้ด้วยรอยยิ้มราวกับว่ากำลังชมการแสดงอยู่ จูชูอวี้ถอนหายใจแล้วเอ่ยตอบเบาๆ “เจ้าสำนักกงเรียกข้าออกจากเมืองมาเพื่อบอกเรื่องไร้สาระเช่นนี้เท่านั้นสินะ”
“เข้าเรื่องก็ได้” กงอวี้เฉินยักไหล่เหมือนว่าไม่มีทางเลือก เอ่ยว่า “ตระกูลจูคิดหวังพึ่งเซียวเชียนเยี่ยใช่หรือไม่ เหตุใดข้าจึงมิรู้ว่าเจ้ามีวาสนากับเซียวเชียนเยี่ยเช่นนี้ ดูแล้วไม่ค่อยเข้าท่านัก หากเจ้ามีความเชื่อมั่นต่อเขาจริงก็ควรจะเป็นตัวเจ้าเองที่แต่งกับเขาถึงจะถูก”
จูชูอวี้หันหน้าหนีแล้วเอ่ยเบาๆ “ข้าไม่อยากแต่งงานกับเขา อีกอย่างข้าไม่จำเป็นต้องมั่นใจในตัวเขา เขาเป็นถึงหวงจั่งซุน ย่อมมีวาสนาที่ดี”
“ว่าอย่างไรนะ”
จูชูอวี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยอมแพ้ให้กับดวงตาร้ายกาจของกงอวี้เฉิน กล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “ฝ่าบาทอาจอยู่ได้ไม่นานนัก”
“ตระกูลจูรู้ข่าวรวดเร็วว่องไวทีเดียว” กงอวี้เฉินมองจูชูอวี้แล้วกล่าวต่อว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินตระกูลจูต่ำเกินไป”
จูชูอวี้ถอนหายใจแล้วเอ่ยตอบเบาๆ “ไม่ว่าอย่างไรตระกูลจูก็ยังนับเป็นพ่อค้าและเศรษฐีที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ในจินหลิง ท่านรู้ไหมว่ากิจการในจินหลิงเป็นของตระกูลจูมากเท่าใด แล้วในจำนวนนี้มีกี่กิจการที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ การไถ่ถามข่าวที่คนอื่นไม่รู้มิใช่เรื่องยากอันใด”
“อย่างนั้นเองหรือ” กงอวี้เฉินลูบคางไตร่ตรอง
จูชูอวี้มองมาที่เขาโดยไม่ลังเล “ทำไมล่ะ”
“อือหึ ฮ่องเต้จะอยู่ได้ไม่นาน…แล้วไม่นานนี่เขาจะอยู่ได้นานเท่าใดกัน” กงอวี้เฉินเอ่ยถาม “ต่อให้ฮ่องเต้จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่ก็ยังมีองค์รัชทายาท การวางหมากไว้กับเซียวเชียนหนิงไม่เร็วเกินไปหรืออย่างไร”
จูชูอวี้เอ่ยตอบ “ก็เพราะ…องค์รัชทายาทเองก็อยู่ได้ไม่นานเช่นกัน”
“เจ้าอย่าบอกนะว่านี่เป็นข่าวที่เจ้าสืบมาอีกแล้ว?” กงอวี้เฉินถาม
จูชูอวี้เอ่ยอย่างเย็นชา “องค์รัชทายาทควรจะตายไปตั้งนานแล้ว คราวที่แล้วผลหลิงหลงและซิงเฉิงจวิ้นจู่ช่วยชีวิตเขาไว้ได้ แต่…ท่านคิดว่าผลไม้จะช่วยชีวิตเขาได้นานเท่าใดกัน ท่านเจ้าสำนักกง ท่านเป็นคนในยุทธภพแต่กลับชอบถามไถ่ข้าเกี่ยวกับเรื่องราวในราชสำนัก อย่าบอกนะว่าที่ทำไปก็เพราะซิงเฉิงจวิ้นจู่” เดิมทีการถวายผลหลิงหลงเพื่อช่วยองค์รัชทายาทก็เป็นไปเพื่อเพิ่มหน้าตาให้แก่ตระกูลจู ยามนี้บรรลุความประสงค์แล้ว องค์รัชทายาทก็สมควรถึงเวลาต้องตายเสียที