ตอนที่ 361 เมื่อลมฝนมา วัดต้ากวงหมิงก็ถูกโจรกรรม (1)
ฉินจื่อซวี่แสดงรอยยิ้มอย่างเข้าใจ เอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้น ต้องขอตัวก่อน”
ฉินซีเองก็ส่งยิ้มบางๆ ให้หนานกงมั่ว เอ่ย “มั่วเอ๋อร์ แล้วข้าจะกลับมาเล่นกับเจ้าอีกนะ” แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ที่จริงหากไม่มีพี่ชายคนโตมาด้วย นางก็ไม่ค่อยกล้ามาพบมั่วเอ๋อร์สักเท่าใด แม้เว่ยซื่อจื่อจะมีรูปงาม แต่หากนัยน์ตาสีม่วงคู่นั้นจ้องมาก็รู้สึกเย็นชาราวกับว่าเกล็ดน้ำแข็งกำลังจะระเบิดออกมา ช่างน่ากลัวนัก หากมีพี่ชายมาด้วย เขาก็พอช่วยนางแบกรับแรงกดดันจากเว่ยซื่อจื่อได้บ้าง ลำพังตัวนางผู้เดียวคงรับไม่ไหว
เมื่อมองสองพี่น้องที่เดินหันหลังจากไปแล้ว หนานกงมั่วจึงหันกลับมายิ้มให้เว่ยซื่อจื่อ เอ่ยว่า “คงพอใจแล้วสินะ”
เว่ยซื่อจื่อเลิกคิ้ว บ่งบอกว่าเขาไม่เข้าใจ
หนานกงมั่วโอบแขนข้างหนึ่งของเขาไว้ เอ่ยด้วยท่าทีน่าสงสารว่า “คืนนี้พาข้าไปด้วย”
เว่ยจวินมั่วมองมายังนาง หนานกงมั่วพ่นลมหายใจเบาๆ “เจ้าวางแผนจะออกไปคืนนี้ใช่หรือไม่ อย่าคิดโกหกข้า…อย่าลืมว่าเราทำอาชีพเดียวกันนะ” การที่เว่ยจวินมั่วต้องลงมือด้วยตนเองหมายความว่านั่นย่อมมิใช่เรื่องเล็กๆ แน่
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านวุ่นวาย” หนานกงมั่วรับปาก
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเล็กน้อย เรื่องความสามารถและนิสัยของอู๋สยานั้นเขารู้ดี แม้ว่าบางครั้งจะชอบแกล้งให้เขาลำบาก แต่หากเกิดสิ่งใดขึ้นจริงๆ นางไม่มีทางกลายเป็นผู้ที่สร้างปัญหาให้เขาแน่ เพียงแต่…
หนานกงมั่วมองมายังเขา เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของข้า แต่…ข้ามิใช่ผู้หญิงอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง และข้าจะไม่ยอมเอาแต่หลบอยู่ใต้ปีกของท่านตลอดเวลาแน่” ใช่ว่านางจะไม่เข้าใจความคิดของเว่ยจวินมั่ว เขาพยายามพานางออกห่างจากอันตรายอยู่เสมอ แต่หากนึกถึงสภาพในตอนนี้แล้ว สถานการณ์เช่นนี้จะมีที่ใดเรียกว่าปลอดภัยอย่างแท้จริงได้อีกหรือ
เว่ยจวินมั่วเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยอมพยักหน้าเบาๆ หนานกงมั่วดีใจมาก กระโดดขึ้นไปจูบที่แก้มซ้ายของเขา
เว่ยซื่อจื่อลูบแก้มนางด้วยสีหน้าเรียบๆ เขาเอ่ยกระซิบว่า “อย่าดื้อล่ะ”
“อืม อืม” นางยังไม่เคยเห็นเว่ยซื่อจื่อลงมือเองเลย แน่นอนว่าย่อมต้องเชื่อฟังอยู่แล้ว รอดูความแตกต่างระหว่างฝีมือสังหารของเจ้าสำนักกับมือสังหารอิสระเช่นพวกนาง อันที่จริง…ชาติที่แล้ว พวกนางก็นับว่าเป็นสำนักมือสังหารด้วยใช่หรือไม่ หนานกงมั่วได้แต่คิดแต่ก็ไม่แน่ใจนัก
หนานกงมั่วไม่เคยเห็นเว่ยซื่อจื่อลงมือมาก่อน แต่เว่ยซื่อจื่อเคยเห็นหนานกงมั่วลงมือมาแล้ว คราวก่อนที่เมืองตานหยาง คนโชคร้ายผู้นั้นตายก่อนที่เขาจะไปถึง โดยที่เข็มเงินวาววับเล่มนั้นยังคงสร้างความประทับใจให้เว่ยซื่อจื่ออยู่ไม่เปลี่ยน
“คืนนี้ท่านจะไปสังหารผู้ใด” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
“มู่เกา”
“ผู้ใดกัน” หนานกงมั่วสีหน้าว่างเปล่า มิใช่เพราะนางหูตาคับแคบ แต่เพราะว่าไม่มีคนชื่อนี้อยู่ในละแวกจินหลิงเลย อีกทั้งสถานะในยามนี้ของพวกเขาก็ชัดเจนว่าไม่สามารถออกจากจินหลิงไปนานๆ ได้ ฉะนั้นมู่เกาผู้นี้จะต้องอยู่ในที่ที่พวกเขาจะตามหาเจอได้ภายในคืนนี้
เว่ยจวินมั่วหันกลับมาแล้วเดินไปยังเรือนพำนัก “ผู้พิทักษ์หอธาราฝ่ายซ้าย”
“…” หมายความว่า เจ้าตัดสินใจจะสู้กับกงอวี้เฉินแล้วหรือ? หรือเขาไปยุ่งอันใดกับเจ้าก่อน? คนเช่นนี้มองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นพวกที่แม้ไม่ได้มีฐานะแต่ก็สร้างปัญหาใหญ่หลวงได้
มองเว่ยซื่อจื่อที่กำลังเดินช้าๆ กลับไป หนานกงมั่วกลอกตาแล้วจึงรีบเดินตามเขาไป
ยามราตรี ร่างสองร่างหลบหนีออกจากคฤหาสน์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจินหลิง หลังจากนั้นไม่นานภายในคฤหาสน์หลังนั้นก็ปรากฏเปลวไฟที่ถูกจุดขึ้น เปลวไฟลามขยายออกเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว คฤหาสน์ทั้งหลังก็ถูกไฟไหม้จนหมด
หนานกงมั่วยืนอยู่ข้างเว่ยจวินมั่ว เลิกคิ้วมองไปยังจุดที่ไฟลุกโชนอยู่ไกลๆ เอ่ย “นั่นคือผู้พิทักษ์แห่งหอธาราหรือ ดูแล้วก็ไม่เท่าใดนี่” วรยุทธ์นับว่าดีมาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นรับมือไม่ไหว หากเป็นคนธรรมดาในยุทธภพก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือ แต่เมื่อเทียบกับคนสารเลวอย่างกงอวี้เฉินแล้ว ฝีมือของผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ค่อนข้างน่าผิดหวังทีเดียว
เว่ยจวินมั่วเอ่ยนิ่งๆ “หอธาราเคารพฝ่ายขวามากกว่า ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ฝีมือไม่เท่าใดนัก เขาไม่เชี่ยวชาญด้านวรยุทธ์ แต่…ตอนนี้คนของหอธาราที่อยู่ในละแวกจินหลิง นอกจากกงอวี้เฉินแล้วก็มีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้น” ถ้อยคำของเว่ยซื่อจื่อแอบแฝงด้วยความผิดหวังและเสียดายเล็กน้อย
หนานกงมั่วจนปัญญา “ข้าจำได้ว่าช่วงนี้ท่านไม่ได้เจอกับกงอวี้เฉิน” แล้วกงอวี้เฉินไปทำให้เจ้าขุ่นเคืองได้เยี่ยงไร อยู่ดีๆ เจ้าก็อยากสังหารผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายที่มิได้มีความแค้นเคืองใดๆ กับเจ้าอย่างนั้นหรือ?
“กลับกันเถิด” เว่ยจวินมั่วเอ่ยเบาๆ
หนานกงมั่วยักไหล่ เดินจากไปพร้อมกับเว่ยจวินมั่วด้วยท่าทีสบายๆ เพียงทิ้งคฤหาสน์ที่กลายเป็นทะเลเพลิงและผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายแห่งหอธาราที่จบชีวิตด้วยเหตุผลแปลกประหลาดไว้ในความทรงจำ
ยามที่สีท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น กงอวี้เฉินเพิ่งปรากฏตัว ณ คฤหาสน์ที่พังทลายเป็นซากไปแล้ว เมื่อมองผู้ใต้บังคับบัญชาที่ยืนก้มศีรษะอยู่ตรงหน้าและไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด กงอวี้เฉินก็พ่นลมหายใจออกมา เอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ดี ดีเหลือเกิน อยู่ภายใต้การคุ้มครองของคนจำนวนมากเพียงนี้ ยังถูกบุกรุกและถูกสังหารจนตาย อีกทั้งยังวางเพลิงเผาคฤหาสน์จนวอด แต่พวกเจ้าตั้งหลายคนกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของศัตรู!”
ทุกคนรีบก้มหัวให้ต่ำลงอีก เพราะกลัวว่าจะไปดึงดูดความสนใจของเจ้าสำนักอย่างไม่ตั้งใจเข้า เวลานี้ใครกล้าออกหน้าก็เท่ากับรนหาที่ตายแล้ว
“นอกจากมู่เกาแล้วมีใครตายอีกบ้าง” กงอวี้เฉินเอ่ยถาม
“เรียนท่านเจ้าสำนัก นอกจากผู้พิทักษ์มู่แล้ว ไม่มีผู้ใดถึงแก่ชีวิตอีกขอรับ มีเพียงสองสามคนที่ไม่ระวังถูกไฟไหม้เลยบาดเจ็บเท่านั้น”
กงอวี้เฉินหรี่ตาเล็กน้อย ไม่ช้าก็พบผู้ต้องสงสัย “เว่ยจวินมั่ว…”
ชายชุดดำที่ยืนอยู่ข้างหลังกงอวี้เฉินเอ่ยว่า “นายท่าน เว่ยจวินมั่ว…กับผู้พิทักษ์มู่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำหรือว่าจะเป็น…ผู้อื่น?” สำหรับเว่ยจวินมั่วแล้ว พวกเขาก็รู้จักกันมาหลายปี นิสัยใจคอของเขาก็นับว่าพอรู้อยู่บ้าง แม้ว่าเว่ยซื่อจื่อจะเป็นคนเย็นชาแต่โดยปกติแล้วเขาจะไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์
กงอวี้เฉินถอนหายใจอย่างเย็นชา “มู่เกามิได้ทำให้เขาขุ่นเคืองหรอก แต่น่าเสียดายว่าอาจเป็นข้าที่ทำ”
“หรือเป็นเพราะ…หร่วนอวี้จือ?” ชายชุดดำนึกขึ้นมาได้
กงอวี้เฉินเอ่ยแย้งขึ้น “เพื่อหร่วนอวี้จือแล้ว ถึงขั้นต้องกำจัดผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของข้า แค้นนี้คงต้องไปชำระกับพวกลิ่วล้อแทน”
“…” นายท่าน เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจเช่นนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าท่านก็มิได้แยแสผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายมากนักใช่หรือไม่
“นายท่าน เราต้องล้างแค้นให้ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายหรือไม่” ชายชุดดำเอ่ยถาม คนของวังจื่อเซียวสังหารคนของหอธาราของพวกเขา หากไม่แก้แค้นก็ดูไร้เหตุผลไปเสียหน่อย ดีไม่ดีอาจทำให้คนคิดว่าพวกเขากลัววังจื่อเซียวเสียด้วยซ้ำ ถึงตอนนั้นท่านเจ้าสำนักคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
กงอวี้เฉินเอ่ยตอบนิ่งๆ “ฝีมือเทียบไม่ติดเอง ตายไปก็สมควรแล้ว จะล้างแค้นอันใดกัน”
“ขอรับ นายท่าน”
เช้าตรู่ ท่ามกลางแสงแดดสาดส่อง หนานกงมั่วที่นอนบนตักของเว่ยจวินมั่วพลิกดูหนังสือในมือไปมา เว่ยซื่อจื่อพิงหน้าต่างนั่งอยู่บนเตียงนุ่มก้มมองหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้า เหมือนว่าใบหน้าเคร่งขรึมของเขาจะดูอบอุ่นขึ้นมากทีเดียว
หนานกงมั่ววางหนังสือลง พลิกตัว นอนหงายหน้าขึ้นอยู่บนตักเขาแล้วเอ่ยถาม “ท่านยังไม่ได้บอกข้าเลยว่ากงอวี้เฉินทำสิ่งใดให้ท่านไม่พอใจ” นับตั้งแต่พิธีแต่งงานอันใหญ่โตของพวกเขา เหมือนว่านางเองก็มิได้ยินข่าวคราวของกงอวี้เฉินอีกเลย หากมิใช่เพราะเขาก่อเรื่องอยู่เป็นครั้งคราว หนานกงมั่วก็คงคิดว่าเขาออกจากจินหลิงไปแล้ว