ตอนที่ 362 เมื่อลมฝนมา วัดต้ากวงหมิงก็ถูกโจรกรรม (2)
เว่ยจวินมั่วครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยตอบ “เขาช่วยหร่วนอวี้จือ”
“เขาช่วยหร่วนอวี้จือด้วยเหตุใด ดูเยี่ยงไรก็ไม่เหมือนพวกเดียวกัน” หนานกงมั่วเอ่ย หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นมองเขาพลางเอ่ยต่อ “เหตุใดหร่วนอวี้จือถึงต้องการให้เขาช่วย หร่วนอวี้จือคงไม่ถึงกับหิวโหยใกล้ตายอยู่ตามข้างทางหรอกนะ” ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง แต่ด้วยนิสัยใจคออย่างกงอวี้เฉิน อย่างดีก็แค่ไม่เหยียบซ้ำ แต่นี่กลับช่วยเหลือ
เว่ยจวินมั่วเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้าส่งหลิ่วไปสังหารหร่วนอวี้จือ” แต่น่าเสียดายที่พลาด
หนานกงมั่วไม่เข้าใจ “ไม่ใช่ว่าท่านจะไม่ยุ่งเรื่องนี้หรอกหรือ เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงคิดจะสังหารหร่วนอวี้จือเล่า” เว่ยจวินมั่วเอ่ยตอบ “คนผู้นี้จะนำหายนะมาไม่ช้าก็เร็ว อู๋สยา หากพบเจอหร่วนอวี้จืออีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาโอกาสสังหารเขาให้ได้”
หนานกงมั่วพยักหน้า ระหว่างหร่วนอวี้จือและเว่ยจวินมั่ว นางรู้ดีว่าควรเข้าข้างใครโดยมิจำเป็นต้องไตร่ตรอง แม้ว่านางจะรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องสังหารหร่วนอวี้จือก็ได้ แต่คนเช่นหร่วนอวี้จือผู้นี้…ถึงตายไปก็ไม่มีสิ่งใดเสียหาย ในเมื่อเว่ยจวินมั่วรู้สึกว่าคนผู้นี้อันตราย หนานกงมั่วเองก็ย่อมเชื่อการตัดสินใจของเขาเช่นกัน
“ถ้าเช่นนั้น ก็เพราะกงอวี้เฉินมาชิงตัวคนที่ท่านต้องการสังหาร ท่านจึงไปสังหารผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของเขาน่ะหรือ” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว ราวกับตั้งคำถามว่า แล้วทำมิได้หรือ
หนานกงมั่วกระตุกมุมปาก เอ่ย “ท่านไม่กังวลว่าจะเกิดปัญหาหรือ”
“ถึงไม่ฆ่าทิ้งไป กงอวี้เฉินก็ก่อปัญหาอยู่ดี” เว่ยจวินมั่วกล่าว
หนานกงมั่วพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ ช่างเหมือนที่เขาเรียกว่าแสร้งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเสียจริงๆ
“คารวะซื่อจื่อ พระชายาซื่อจื่อ คุณชายฉินมาขอรับ” ด้านนอกประตู พ่อบ้านเอ่ยรายงานอย่างเคารพนบนอบ หนานกงมั่วมองท้องฟ้าด้านนอกอย่างประหลาดใจ เอ่ยว่า “ไม่เช้าไปหน่อยหรือ” หรือว่าเมื่อคืนฉินจื่อซวี่ไม่ได้กลับเข้าเมืองไป
พ่อบ้านเอ่ยตอบ “พระชายาซื่อจื่อ เรื่องนี้ข้าน้อยมิทราบ”
“เชิญเขาเข้ามา” หนานกงมั่วลุกขึ้นพลางเอ่ยบอก
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินจื่อซวี่ก็เดินเข้ามา มองทั้งสองคน จากนั้นจึงยิ้มแล้วเอ่ยถาม “ท่านทั้งสองสบายเสียจริง ช่างน่าอิจฉานัก”
หนานกงมั่วยิ้ม เอ่ยตอบ “เราออกมาเที่ยวผ่อนคลาย แน่นอนว่าต้องสบายอยู่แล้ว ว่าแต่คุณชายฉินมาแต่เช้าเช่นนี้มีเรื่องใดหรือไม่” รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินจื่อซวี่จางลง เขาถอนหายใจแล้วเอ่ย “มีเรื่องจริงๆ เสียด้วย”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “คุณชายฉินว่ามาเถิด”
ฉินจื่อซวี่สีหน้าซึมลง แล้วเอ่ยเสียงเข้ม “พระชายาซื่อจื่อคงรู้แล้วว่าเมื่อวานข้าพาน้องสี่ไปที่วัดต้ากวงหมิง”
หนานกงมั่วพยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงรอให้เขาเอ่ยจนจบ ฉินจื่อซวี่ถอนหายใจ ขมวดคิ้วเอ่ยต่อว่า “ข้ามิรู้ว่าโชคร้ายหรือเช่นไร เมื่อคืนนี้วัดต้ากวงหมิงสูญเสียสิ่งสำคัญไปอย่างหนึ่ง”
หนานกงมั่วมิได้นำพา เอ่ยว่า “แล้วเยี่ยงไร ต่อให้มีของมีค่าสูญหายไป แต่วัดต้ากวงหมิงก็คงไม่สงสัยพวกท่านสองคนหรอกกระมัง”
ฉินจื่อซวี่ยิ้ม เอ่ยตอบอย่างจนปัญญา “ไม่จำเป็นต้องมีค่าหรอก แต่นับว่าสำคัญมากทีเดียว”
“ของอันใดหรือ”
เว่ยจวินมั่วเอ่ยถามขึ้นทันที แต่น้ำเสียงยังคงราบเรียบ “เป็นพระคัมภีร์ของฮองเฮาองค์ก่อนใช่หรือไม่”
ฉินจื่อซวี่เหลือบมองเว่ยจวินมั่วด้วยความประหลาดใจ เขาพยักหน้ารับอย่างจนใจ
มีเพียงหนานกงมั่วเท่านั้นที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ เว่ยจวินมั่วเอ่ย “หลังจากที่ฮองเฮาองค์ก่อนสวรรคต ฝ่าบาทได้พระราชทานคัมภีร์ที่พระนางคัดลอกด้วยตนเองให้กับวัดต้ากวงหมิง กล่าวกันว่าเป็นการเตรียมเพื่อนำไปไว้ในสุสานจักรพรรดิพร้อมกันในอนาคต และยังกล่าวกันอีกด้วยว่า คัมภีร์ถูกวางไว้หน้าพระพุทธรูปในอุโบสถของวัดต้ากวงหมิง เพื่อให้พระภิกษุสามารถสวดอธิษฐานแด่ฮองเฮาองค์ก่อนได้ตลอดทั้งวัน”
“ฝ่าบาททรงมีความรักลึกซึ้งต่อฮองเฮาองค์ก่อนยิ่งนัก” หนานกงมั่วเอ่ยพร้อมถอนหายใจ
ฉินจื่อซวี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ปัญหาคือตอนนี้พระคัมภีร์หายไปแล้ว หากฝ่าบาทโปรดให้สอบสวนล่ะก็…เกรงว่าทั้งวัดต้ากวงหมิงจะเกิดเรื่องวุ่นวาย อีกทั้ง…ผู้ที่อยู่ในวัดต้ากวงหมิงในวันนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นเช่นกัน”
เว่ยจวินมั่วจ้องมองฉินจื่อซวี่ เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ทั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เหตุใดท่านจึงไม่รีบกลับจินหลิงเล่า มาบอกพวกเราถึงที่นี่เพื่อสิ่งใดกัน”
ฉินจื่อซวี่ประสานมือแล้วเอ่ยว่า “ข้าขอโทษ ข้ามิได้ตั้งใจจะก่อปัญหาให้พวกท่านทั้งสอง เพียงแต่…หากเกิดสิ่งใดขึ้นมา ขอพระชายาซื่อจื่อโปรดช่วยปกป้องซีเอ๋อร์ด้วย นาง…ย่อมไม่สามารถไปขโมยพระคัมภีร์ได้ไม่ใช่หรือ”
หนานกงมั่วครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “หากข้าช่วยได้ ข้าก็จะทำให้ดีที่สุด” แต่หากมีปัญหาขึ้นมาล่ะก็จะโทษว่านางไม่ช่วยไม่ได้ แม้ว่านางจะรู้สึกดีต่อฉินซี แต่ก็เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน พบกันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ฉินซีเป็นคนของตระกูลฉิน ซึ่งตอนนี้ท่าทีของฝ่าบาทที่มีต่อเหล่าตระกูลขุนนางนั้นเปรียบเหมือนหนามยอกอก นางช่วยได้อย่างมากที่สุดเพียงแค่ในขอบเขตที่ไม่เพิ่มปัญหาให้ตัวเองเท่านั้น
แน่นอนว่าฉินจื่อซวี่ก็เข้าใจเหตุผลนี้เช่นกัน เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ขอบคุณพระชายาซื่อจื่อมาก ข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการ ต้องขอตัวลาแล้ว”
“ข้าไม่ส่งนะ”
พ่อบ้านออกไปส่งฉินจื่อซวี่ หนานกงมั่วยืนขึ้นถอนหายใจ มองไปยังเว่ยจวินมั่ว เอ่ยว่า “ปัญหามาแล้ว”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเล็กน้อย เอื้อมมือไปจับมือนาง เอ่ย “มิต้องกลัว” หนานกงมั่วอดยิ้มไม่ได้ เอ่ยว่า “ข้ามิได้กลัว อย่ากังวลไป” นางขี้ขลาดเสียที่ไหนกัน เพียงแต่นางอดนึกถึงคดีใหญ่เมื่อหลายปีก่อนไม่ได้ หากครั้งนี้ฝ่าบาททรงโหดร้ายมากก็มิรู้ว่าจะมีหัวคนหล่นพื้นอีกเท่าใด
ยังไม่ทันเที่ยงตรงก็มีคนจากวังเข้ามาส่งพระราชโองการของฮ่องเต้ โดยขอให้เว่ยจวินมั่วและผู้ว่าการเขตอิ้งเทียน เหอเหวินลี่ รวมถึงหวงจั่งซุน เซียวเชียนเยี่ย ร่วมกันจัดการคดีนี้ ฉะนั้นจึงไม่ได้กลับเมืองหลวงแล้ว ทั้งสองเก็บของและเดินทางขึ้นไปยังเขาจื่ออวิ๋นทันที
เมื่อคนทั้งสองไปถึงบนเขา เหอเหวินลี่และเซียวเชียนเยี่ยก็มาถึงก่อนหน้าแล้ว แต่พวกเขายังไม่ได้เริ่มจัดการคดี เห็นได้ชัดว่ากำลังรอเว่ยจวินมั่วอยู่ แต่กลับแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นหนานกงมั่วมาด้วย ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยอันใดมาก เดิมทีก็รู้ข่าวว่าเว่ยซื่อจื่อและพระชายาซื่อจื่อออกไปพักผ่อนนอกเมือง เช่นนั้นหากพระชายาซื่อจื่อจะอยู่ที่นี่ด้วยก็มิน่าแปลกแต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เป็นสนามรบหญิงผู้นี้ก็ยังกล้าเข้าไปมาแล้วด้วยซ้ำ
เหอเหวินลี่ผู้ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลิ่นฉังเฟิงถูจมูกของเขาเล็กน้อยแล้วเดินผ่านไป หลังจากได้ฟังจากปากของลิ่นฉังเฟิง เขารับรู้เกี่ยวกับคุณูปการของพระชายาซื่อจื่อผู้นี้มาไม่น้อย ยิ่งกว่านั้นแม้แต่หวงจั่งซุนเองก็ยังมิได้เอ่ยสิ่งใด แล้วใช่เรื่องของผู้ว่าการเขตอิ้งเทียนตัวเล็กๆ อย่างเขาหรือ
เซียวเชียนเยี่ยมองไปยังหนานกงมั่วซึ่งยืนอยู่ข้างเว่ยจวินมั่วด้วยอารมณ์ค่อนข้างซับซ้อน ในตอนแรกที่ความสัมพันธ์ของเขากับหนานกงซูยังคลุมเครือ หนานกงซูคิดหาวิธีใช้ตัวตายตัวแทนผลักให้หนานกงมั่วต้องเป็นผู้แต่งงานกับเว่ยจวินมั่วนั้น เขาย่อมรู้เห็นด้วย เซียวเชียนเยี่ยรู้สึกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้รับความสำคัญจากฉู่กั๋วกงตั้งแต่วัยเด็กและถูกส่งตัวไปยังชนบทอย่างนางคงไม่มีสิ่งใดให้ต้องสนใจ จนกระทั่งเขาและหนานกงซูต้องเสียเปรียบหนานกงมั่วซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงค่อยๆ ตระหนักได้ว่าหญิงผู้นี้มิได้เรียบง่ายอย่างที่คิดไว้ ตอนนี้เมื่อมองไปยังหนานกงมั่วที่ยืนข้างเว่ยจวินมั่วอย่างสง่าผ่าเผยแล้วจึงอดนึกถึงหนานกงซูที่ยังบ้าอาละวาดอยู่ในตำหนักเย่ว์จวิ้นอ๋องไม่ได้ เซียวเชียนเยี่ยจำต้องยอมรับว่าสายตาและโชคของตนไม่ดีเท่าเว่ยจวินมั่ว
แต่ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะคิดอันใดกับหนานกงมั่ว เซียวเชียนเยี่ยรู้เท่าทันตนเองดีว่าหญิงอย่างหนานกงมั่วมิใช่หญิงที่ตัวเขาจะเชยชมได้ลง
“ซิงเฉิงจวิ้นจู่ รบกวนเวลาพักผ่อนของจวิ้นจู่และจวินมั่วแล้ว ต้องขออภัยด้วยจริงๆ” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มละไม