ตอนที่ 360 คำสั่งล่าวิญญาณ (3)
หลิ่วคิดในใจว่าอย่างไรก็ต้องสังหารหร่วนอวี้จือให้เร็วที่สุด นี่เป็นความล้มเหลวของนาง อย่างไรเสียก็ต้องจัดการให้สำเร็จด้วยตัวเองให้ได้
หลังจากโบกมือให้หลิ่วออกไป เว่ยจวินมั่วมองไปยังแสงเทียนที่แกว่งไกวอยู่ด้านหน้าของตน นัยน์ตาสีม่วงช่างดูล้ำลึกและมืดมนยิ่งขึ้นภายใต้แสงเทียนนั้น “กงอวี้เฉิน…เจ้าจะทำสิ่งใด”
หลังผ่านฝนฤดูใบไม้ร่วงที่โปรยปรายมาสองวันแล้ว ราวกับว่าฟ้าดินได้ถูกชำระล้างอย่างไรอย่างนั้น ทั้งฝนตกสลับกับอากาศหนาวเย็น แม้ว่าเมื่อเช้าท้องฟ้าจะแจ่มใส ทว่าอากาศกลับหนาวเย็นกว่าเมื่อวานเล็กน้อย
ริมแม่น้ำอันสวยงามและเงียบสงบ เต็มไปด้วยต้นไม้หลากสีทั้งแดง แดงอ่อน ม่วงอ่อน ดอกกุหลาบฝ้ายสีแดงเข้มเบ่งบานอย่างเงียบๆ ได้ยินเสียงหัวเราะสดใสร่าเริงของหญิงผู้หนึ่งดังแว่วมาไม่ไกลนัก
หนานกงมั่วนั่งยองอยู่ใต้ต้นไม้และจ้องมองเว่ยจวินมั่วที่กำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้เช่นกัน นางถอนใบหญ้าเล็กๆ จากพื้นดิน เอาไปเขี่ยบนใบหน้าและลำคออันสง่างามของเขา เว่ยจวินมั่วลืมตาขึ้นมองดูนางโดยไม่เอ่ยสิ่งใด หนานกงมั่วจึงเบะปากแล้วโยนใบหญ้านั้นทิ้งไป แล้วจึงเลียนแบบท่าทางของเขา นั่งลงใต้ต้นไม้บ้าง
“เว่ยจวินมั่ว ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าชีวิตของเราตอนนี้ไม่มีความหมายอันใดเลย” หนานกงมั่วเอ่ยถาม ไม่ต้องทำสิ่งใด เพียงเที่ยวเล่นเรื่อยเปื่อย แม้ว่าจะสุขสบายกาย แต่ดูสิ ภายในเวลาไม่ถึงสองวัน เว่ยซื่อจื่อก็เซื่องซึมเช่นนี้เสียแล้ว
“ไม่เสียหน่อย” เว่ยจวินมั่วเอื้อมมือมาดึงนางเข้าไปสู่อ้อมแขนตน เอ่ยถาม “เบื่อแล้วหรือ”
หนานกงมั่วกลอกตาพลางใช้ความคิด ไม่ยอมพยักหน้า ความจริงแล้วก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อหรอก เพียงแต่… จู่ๆ คุณหนูใหญ่หนานกงก็นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่มาถึงที่เรือนพำนักแห่งนี้ นอกจากพูดคุยกับพ่อบ้านแล้ว สองวันนี้ก็ได้เจอแต่เว่ยจวินมั่วคนเดียวเท่านั้น ละแวกเมืองจินหลิง…คนน้อยเพียงนี้เองหรือ
แต่เอาเถอะ ที่จริงหนานกงมั่วไม่ใช่คนที่จะพักอยู่เฉยๆ ได้ ในความคิดของนาง การใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขาเช่นนี้เป็นสิ่งที่ต้องคิดหลังจากอายุหกสิบปีไปแล้ว ฉะนั้นแม้แต่ในชนบทที่ห่างไกลจากเมืองตานหยางนางก็สามารถกลับไปทำงานเก่าได้ ทว่าตั้งแต่มายังเมืองจินหลิง นางก็ไม่สามารถทำงานของตนเองได้เลย เมื่อก่อนงานยุ่งๆ ก็ดีอยู่แล้วเชียว ตอนนี้นางกลับต้องอยู่ว่างๆ… เอ่ยได้คำเดียวว่าคุณหนูหนานกงคันไม้คันมือนัก
ไม่ใช่ว่าเว่ยจวินมั่วไม่เข้าใจว่าหนานกงมั่วหมายถึงสิ่งใด แต่เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักที่ในค่ำคืนมืดมิดลมแรง ชายาที่รักของเขาอยากจะออกไปสังหารคนมากกว่าพักผ่อนอยู่กับเขา
“ไม่เบื่อก็ดีแล้ว” เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วนอนหลับต่อไป
หนานกงมั่วหรี่ตาลงจ้องไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของชายตรงหน้าอย่างหักห้ามใจ
ต้องยอมรับว่าใบหน้าของเว่ยซื่อจื่อช่างดึงดูดสายตาเสียเหลือเกิน แม้แต่ผู้ที่มีสติปัญญา)หลักแหลมเช่นนางก็ยังรู้สึกเคลิบเคลิ้มอยู่เสมอ หากใบหน้านี้เป็นของหญิงสาวก็คงจะดูบอบบางไปสักหน่อย แต่หากเป็นใบหน้าชายก็ดูมากเกินไปนิด ทว่าอารมณ์เย็นชาเรียบเฉยของเว่ยซื่อจื่อกลับช่วยปกปิดหน้าตาที่ทั้งสวยทั้งหล่อของเขาไว้ได้อย่างเหมาะสมแล้ว แม้ว่าเว่ยซื่อจื่อจะหลับตาอยู่ แต่ทั่วทั้งตัวเขาก็สะท้อนความแข็งแกร่ง หล่อเหลาและเย็นชาราวกับว่าจะถูกทำร้ายด้วยดาบอันเย็นเยียบในทันทีที่เผลอมอง
“คิกคิก จวินมั่ว…ที่ท่านไม่ค่อยยิ้มคงมิใช่เพราะ…หน้าตาหล่อเกินไปหรอกใช่หรือไม่” รูปลักษณ์เช่นนี้หากมาพร้อมกับบุคลิกอันอ่อนโยนสุภาพล่ะก็…
“ใช่แน่ๆ อย่าอายนักสิ ยิ้มให้ดูหน่อยเถิด…” ถ้าไม่ยอมทำข้าจะกวนประสาทไม่หยุดแน่!
เว่ยจวินมั่วลืมตาขึ้นมาทันใด จ้องมองใบหน้ายิ้มแย้มและริมฝีปากแดงของนางครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มลงไปทาบทับริมฝีปากนั้นไว้
“น่ารำคาญนัก” รอจนใครบางคนหอบหายใจ เว่ยซื่อจื่อจึงค่อยๆ ปล่อยนางแล้วเอ่ยขึ้น
หนานกงมั่วโกรธจัด ใบหน้าสวยแดงก่ำแล้วจึงกระโดดลุกขึ้น “เว่ยจวินมั่ว มาสู้กัน!”
“เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก” เว่ยซื่อจื่อเอ่ยอย่างใจเย็น
“สู้ไม่ได้ก็จะสู้!” หนานกงมั่วกระโจนเข้าใส่ทันที เว่ยจวินมั่วไร้ซึ่งทางเลือกอื่น ทำได้เพียงหลบหลีกไปด้านข้าง จากนั้นจึงลุกขึ้นจากพื้น
เว่ยซื่อจื่อจะสามารถเอาชนะพระชายาซื่อจื่อได้หรือไม่ นี่เป็นคำถามที่น่าคิด
หากเป็นการต่อสู้เอาชีวิตด้วยคมดาบและกระสุนจริงอย่างในสนามรบคงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ทว่า…พวกเขามิใช่ศัตรูแต่เป็นสามีภรรยากันต่างหาก ต่อให้เว่ยซื่อจื่อไร้เหตุผลเพียงใดก็ไม่มีทางยอมให้ชายาของตนมาเป็นคู่ฝึกให้อย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างไรวรยุทธ์ของคุณหนูใหญ่หนานกงก็นับว่าดีมาก หากเว่ยซื่อจื่ออ่อนข้อให้มากเกินไป ผู้ที่ต้องอับอายนั้นต้องกลายเป็นเขาแน่
เว่ยซื่อจื่อผู้ที่ได้รับการสั่งสอนจากเสด็จลุงว่าสามีมิควรอ่อนแอกว่าภรรยา มิเช่นนั้นไม่เพียงแต่จะปกป้องภรรยามิได้แต่ยังจะถูกภรรยาเยาะเย้ยใส่เสียอีก เขาจึงเหงื่อออกเพราะคิดหนักว่าควรอ่อนข้อให้หรือไม่
แน่นอนว่าจะทำให้อู๋สยาบาดเจ็บไม่ได้ แต่จะแพ้ให้อู๋สยาก็ไม่ได้เช่นกัน!
หนานกงมั่วก็รู้อยู่แก่ใจว่าเว่ยซื่อจื่อยอมอ่อนข้อให้ แต่นางมิได้สนใจ นางพักผ่อนจนกระดูกแข็งทื่อไปหมดแล้ว เพียงต้องการหาคนมาต่อสู้ด้วยเท่านั้น แน่นอนว่าเว่ยซื่อจื่อเป็นคู่ต่อสู้ที่ดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นนางยังรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของเว่ยซื่อจื่อดี ต่อให้เอาชนะไม่ได้ก็ยอมรับได้ไม่ยาก
ทั้งสองต่อสู้กันไปมาที่ริมแม่น้ำ จากพื้นดินไปบนต้นไม้ จากต้นไม้ลงสู่แม่น้ำ และจากแม่น้ำไปยังพื้นดินอีกรอบ เมื่อฉินจื่อซวี่และฉินซีพร้อมผู้ติดตามผ่านมาก็เห็นร่างสองร่างเหาะเหินอยู่บนฟ้าจากไกลๆ จึงรู้สึกตื่นตระหนกไม่น้อย
“เว่ยซื่อจื่อ พระชายาซื่อจื่อ พวกท่านทำสิ่งใดกัน” ฉินจื่อซวี่เอ่ยถามอย่างสงสัย ฉินจื่อซวี่เป็นนักปราชญ์ ไม่เคยเรียนศิลปะการต่อสู้มาก่อน อีกทั้งยังไม่เคยเห็นหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วแสดงวรยุทธ์ระดับสูงเช่นนี้มาก่อนด้วย แม้ว่าตระกูลฉินจะมียอดฝีมือและองครักษ์อยู่บ้าง แต่ก่อนจะเอ่ยว่าคนเหล่านั้นเก่งกาจถึงเพียงนี้หรือไม่ คงต้องเอ่ยก่อนว่าพวกเขาไม่เคยออกมาฝึกวรยุทธ์ในยามว่างเช่นนี้
ร่างทั้งสองหยุดชะงักชั่วคราว จากนั้นทั้งคู่ก็เหาะลงมา อยู่ห่างไปจากฉินซีและฉินจื่อซวี่เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
ฉินซีที่สวมเสื้อคลุมบางเบามองไปยังหนานกงมั่วดวงตาเป็นประกาย “มั่วเอ๋อร์ เจ้ายอดเยี่ยมมาก…” สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้เช่นนี้ นางเคยได้ยินว่าคือวิชาตัวเบาจากพวกเรื่องเล่าเท่านั้น
หนานกงมั่วเลิกคิ้วแล้วจึงเอ่ยว่า “เลิกคิดเถิด ร่างกายเช่นเจ้ามิสามารถฝึกวรยุทธ์ได้” ไม่ต้องเอ่ยถึงการฝึกฝน ต่อให้มีคนอุ้มเจ้าเหาะไปด้วยก็คงห้อยโตงเตง
ฉินซีรู้จักร่างกายของนางดี จึงเพียงยิ้มและเลิกเอ่ยถึงประเด็นนี้ไป “มั่วเอ๋อร์ เจ้ากับเว่ยซื่อจื่อกำลัง…ต่อสู้กันหรือ”
หนานกงมั่วจับมือเว่ยจวินมั่ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็แค่แลกเปลี่ยนวิชากันน่ะ คุณชายฉินงานยุ่งมิใช่หรือ ไยจึงมีเวลาออกมานอกเมืองได้เล่า” แม้ว่าฉินจื่อซวี่จะยังไม่ได้รับราชการในวัง แต่เนื่องจากเขาต้องเป็นผู้นำตระกูลฉินในวันข้างหน้า จึงมีหน้าที่ต้องคอยจัดการกิจธุระต่างๆ ของตระกูล ฉะนั้นฉินจื่อซวี่จึงไม่ได้สบายไปกว่าข้าราชการในเมืองจินหลิงเลย
ฉินจื่อซวี่เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “เว่ยซื่อจื่อได้รับความสำคัญจากฝ่าบาท ก็ไม่มีเวลาว่างมาเที่ยวเล่นเช่นกันมิใช่หรือ” ข้าเพียงแต่มาดูซีเอ๋อร์ เรื่องเมื่อวานซืนต้องขอบคุณพระชายาซื่อจื่อเป็นอย่างมาก
ที่แท้เมื่อรู้ว่านางได้ช่วยฉินซีเอาไว้จึงเดินทางมาเพื่อแสดงความขอบคุณ หนานกงมั่วโบกมือพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าบังเอิญผ่านเห็นเท่านั้น คุณชายใหญ่ฉินไม่ต้องขอบคุณหรอก”
ฉินจื่อซวี่มองไปยังทั้งสองคนแล้วจึงเอ่ยตอบว่า “ข้าว่าจะพาซีเอ๋อร์ไปที่วัดต้ากวงหมิง ท่านทั้งสองสนใจหรือไม่”
หนานกงมั่วเหลือบมองเว่ยซื่อจื่อ แล้วจึงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ไปดีกว่า”