ตอนที่ 366 มรดกสติปัญญา (3)
“เชียนเยี่ย จวินมั่ว” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเข้ม
“พ่ะย่ะค่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“รีบตรวจสอบทุกคนในวังทันที! ผู้ที่บังอาจมีนอกมีใน ประหารให้หมด!” ราชโองการของฮ่องเต้เต็มไปด้วยเจตนาสังหารอันเลือดเย็นและน่าสะพรึง เมื่อโอรสสวรรค์พิโรธ โลหิตย่อมไหลพราก ฮ่องเต้มิใช่ผู้ที่ไม่กล้าประหารใคร เซียวเชียนเยี่ยใจสั่น เอ่ยตอบรับเสียงก้อง “หลานรับราชโองการ”
“กระหม่อมรับราชโองการ”
เรือนพำนักหลังหนึ่งในวัดต้ากวงหมิง เหอเหวินลี่พลิกเปิดดูกองหนังสือและม้วนกระดาษที่เกือบจะทับตัวของเขาได้อย่างเร็วๆ หนานกงมั่วนั่งมองดูท่าทางยุ่งๆ ของเขา แม้ว่าใต้เท้าเหอจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก ทว่าเมื่อนั่งอ่านกองหนังสือแล้วก็ดูมีมาดแบบปัญญาชนอยู่เช่นกัน จากนั้นไม่นานเหอเหวินลี่ก็เงยหน้าขึ้นมองท่าทีสบายๆ นาง ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าพลางเอ่ยถาม “พระชายาซื่อจื่อ ท่านเบื่อหรือไม่”
“ยังไหวอยู่” หนานกงมั่วลังเลก่อนเอ่ยตอบ
เหอเหวินลี่คร่ำครวญ “ท่านอยากจะนั่งเหม่อตรงนั้นมากกว่าเข้ามาช่วยข้าอ่านเอกสารพวกนี้หรือ หากเป็นเช่นนั้น ไยท่านจึงยังอยู่ที่นี่แทนที่จะกลับไปพร้อมกับเว่ยซื่อจื่อเล่า” หนานกงมั่วยักไหล่ เอ่ย “กว่าจะออกมาได้ครั้งหนึ่งลำบากไม่น้อย จะรีบกลับไปทำไมกัน อีกอย่าง…ท่านกลัวมิใช่หรือ ข้าอยู่ที่นี่ก็เพื่อคุ้มครองท่านอย่างไรเล่า”
“ใคร! ใครว่าข้ากลัว!” เหอเหวินลี่อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยเสียงดัง
หนานกงมั่วตวัดสายตามอง ยกมือขึ้นนวดหูทั้งสองข้าง “เสียงดังมิได้หมายความว่าแข็งแกร่ง ระวังจะเป็นการเรียกฆาตกรมาหา”
เหอเหวินลี่หน้านิ่งไป อ้าปากพะงาบๆ แต่มิได้เอ่ยออกมาสักคำ ทำได้เพียงนั่งลงเงียบๆ เอามือถูจมูก เอ่ยว่า “ความจริง…ปกติข้ามิใช่คนขลาดเช่นนั้น”
“อืม ข้ากระจ่างทีเดียว ปกติท่านคงไม่ค่อยได้พบคนร้ายสินะ”
ไม่รู้สึกว่าได้รับการคุ้มครองสักนิด
“จวิ้นจู่ ท่านคิดว่าคนร้ายยังอยู่ในวัดจริงหรือ” เหอเหวินลี่เอ่ยถามอย่างกังวลเล็กน้อย หากคนร้ายหนีไปพร้อมกับพระคัมภีร์จริงๆ พวกเขาคงจะวุ่นวายใหญ่โตแน่
หนานกงมั่วเอ่ยถาม “ท่านหมายถึงคนร้ายที่ขโมยพระคัมภีร์หรือคนร้ายที่สังหารไต้ซือคงหมิงล่ะ”
เหอเหวินลี่เอ่ยตอบ “ต่างกันด้วยหรือ”
หนานกงมั่วกล่าว “ผู้ที่ขโมยพระคัมภีร์มิจำเป็นต้องเป็นคนเดียวกับผู้ที่สังหารไต้ซือคงหมิง ผู้ที่สังหารไต้ซือคงหมิงก็มิจำเป็นต้องเป็นผู้ที่ขโมยพระคัมภีร์ อีกอย่าง พระคัมภีร์ถูกขโมยไปเมื่อคืน แม้ว่าวัดต้ากวงหมิงจะปิดการเข้าออกทันทีที่พบว่าของหายไป แต่…ใครจะรู้ว่าช่วงเวลาระหว่างที่พระคัมภีร์ถูกขโมยกับช่วงเวลาที่พบว่าหายไปนั้นห่างกันเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้น…ใครจะรู้แน่ชัดเล่าว่าพระคัมภีร์ถูกขโมยไปเมื่อใด”
เหอเหวินลี่ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “จวิ้นจู่สงสัยว่าพระคัมภีร์ถูกขโมยไปนานแล้วหรือ เช่นนั้นเรื่องเมื่อคืนเป็นการจัดฉากหรือไม่”
“ถ้าเช่นนั้น…ก็เพียงจับกุมทุกคนที่เข้ามาในอุโบสถเมื่อบ่ายวานนี้เสียเลยสิ ใช่ว่าทุกคนจะเข้าอุโบสถได้ตามอำเภอใจเสียเมื่อใด” เหอเหวินลี่เอ่ยเสียงเข้ม หนานกงมั่วยักไหล่อย่างไม่เห็นด้วย ก่อนจะเอ่ยตอบ “ท่านจะลองดูก็ได้”
เหอเหวินลี่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ส่ายหัวพลางเอ่ย “มาหาเจ้าคนที่ชื่อตู้…ชวีนี่ก่อนเถิด หากพบเขาแล้ว…คงสามารถหาเบาะแสได้ เอ่อ…ตู้ชวีคงจะยังไม่หนีออกไปหรอกใช่หรือไม่”
“ใต้เท้าเหอ ท่านไม่มั่นใจในความสามารถขององครักษ์หรือ”
“…”
“จวิ้นจู่ ใต้เท้าเหอขอรับ เราพบศพหนึ่งที่หลังวัดขอรับ” ด้านนอกประตู มีคนวิ่งเข้ามารายงานอย่างรีบร้อน
หนานกงมั่วและเหอเหวินลี่มองหน้ากันแล้วลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกทันที
ด้านนอกฟ้ามืดแล้ว เมื่อทั้งสองคนมาถึงสถานที่พบศพ องครักษ์ก็ล้อมที่นี่ไว้เรียบร้อยแล้ว คนของวัดต้ากวงหมิงมีเพียงเจ้าอาวาสคงหรูและสามเณรน้อยสองรูปเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ศพที่นอนอยู่บนพื้นเป็นพระภิกษุหนุ่มอายุยี่สิบกว่าพรรษา มองเพียงปราดเดียวก็พบรอยแผลขนาดใหญ่ที่มีคราบเลือดบนแขนของเขา เพียงแต่ตอนนี้เลือดเริ่มแห้งกรัง จึงปรากฏให้เห็นเป็นสีน้ำตาลภายใต้แสงไฟ
“นี่คือตู้ชวีหรือ” เหอเหวินลี่เอ่ยถาม
เจ้าอาวาสคงหรูเอ่ยนามพระพุทธเจ้า ก่อนตอบเสียงต่ำว่า “เป็นตู้ชวีแน่นอน”
“พบได้เช่นไรหรือ” ที่นี่คือที่เก็บฟืนหลังครัวที่ศิษย์ในวัดใช้ทำอาหารกัน ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยมาตรวจสอบแล้วแต่ไม่พบศพ
สามเณรน้อยสองรูปข้างๆ ไต้ซือคงหรูตกใจจนหน้าซีด ปากสั่น “เรียนโยม คือ…ตอนที่หยิบฟืนออกมา จู่ๆ…ก็ตกลงมาจากด้านบน” ฟืนที่เก็บไว้นั้นกองสูงมากจนเกือบถึงหลังคา หากซ่อนเอาไว้ด้านในย่อมยากที่จะหาพบได้ แต่ในขณะเดียวกันที่นี่ก็มิใช่ที่ที่จะสามารถซ่อนไว้ได้ง่ายๆ เห็นได้ชัดว่าตระเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว เพียงแต่เมื่อสามเณรน้อยสองรูปดึงฟืนออกไปจากทางด้านล่าง ทำให้บังเอิญร่วงลงมาพอดี
ขุนนางที่เหอเหวินลี่พามาด้วยตรวจสอบศพแล้วจึงเงยหน้าขึ้น เอ่ยกับทั้งสองว่า “ใต้เท้าเหอ จวิ้นจู่ เขาถูกวางยาพิษจนตายขอรับ”
“รู้หรือไม่ว่าเป็นพิษชนิดใด” เหอเหวินลี่เอ่ยถาม
ขุนนางผู้ตรวจสอบศพเอ่ยตอบ “สารหนู”
“สารหนูหรือ”
ขุนนางผู้ตรวจสอบศพพยักหน้า “เป็นสารหนูที่ขายในร้านขายยาทั่วไปขอรับ”
“รีบไปตรวจสอบ ตรวจสอบทั้งในจินหลิงและละแวกใกล้เคียง ร้านยาใดที่ขายสารหนูนี้ไปย่อมต้องมีบันทึกไว้เป็นแน่” เหอเหวินลี่เอ่ยสั่งพลางโบกมือ
“ขอรับ”
หนานกงมั่วนั่งยองๆ ข้างศพแล้วมองสังเกตอย่างละเอียด เมื่อเห็นนางทำเช่นนั้น เหอเหวินลี่ก็นั่งลงเลียนแบบท่าทางของนาง แล้วจึงเอ่ยถามว่า “พบสิ่งใดหรือไม่”
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงต่ำ “ตายไปประมาณสองชั่วยามครึ่งแล้ว สารหนูส่วนใหญ่ที่ขายในร้านขายยา มักนำมาใช้เพื่อผสมยาหรือไม่ก็วางยาหนู ปกติแล้วมิได้มีพิษรุนแรงเว้นแต่ว่าจะใช้ในปริมาณมาก ซึ่งจะออกฤทธิ์เป็นพิษจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองชั่วยาม เขาคงตายมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งชั่วยามครึ่ง หากเจ้าพบเขาเมื่อสองชั่วยามก่อน นั่นหมายความว่าเขาตายทันทีที่หนีออกไป เช่นนั้นแล้ว…บางทีเหตุผลที่เขาไม่สังหารท่านคงมิใช่เพราะกลัวว่ามีใครตามมา แต่เป็นเพราะพิษยาออกฤทธิ์พอดีจึงไม่สามารถสังหารท่านได้”
“วางยาพิษฆ่าตัวตายงั้นหรือ” เหอเหวินลี่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เมื่อเหลือบมองหนานกงมั่วจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “จวิ้นจู่ ท่านรู้มากมายเช่นนี้ได้เยี่ยงไร”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว ท่าทางเคร่งขรึม “ประการแรก ข้าเคยเรียนการแพทย์มา ประการที่สอง พวกที่สงสัยมากเกินมักจะอายุสั้น”
เหอเหวินลี่ย่นคอแล้วเขยิบหนีไปด้านข้าง
หนานกงมั่วปัดมือแล้วยืนขึ้น จากนั้นจึงหันตัวเดินไป เหอเหวินลี่จึงรีบตามไป เอ่ย “จวิ้นจู่ ท่านจะไปไหน” หนานกงมั่วเอ่ยอย่างแปลกใจ “ไปพักผ่อนน่ะสิ ก็พบตัวแล้วมิใช่หรือ” แม้ว่าจะตายแล้วก็เถอะ
“แต่ว่า ตอนนี้จะทำเช่นไรต่อไปดี”
หนานกงมั่วกลอกตา “นี่มิใช่งานของท่านหรือ ท่านเป็นผู้ว่าการเขตอิ้งเทียนนะ ข้าจะไปรู้ได้เช่นไรกัน”