ตอนที่ 363 เมื่อลมฝนมา วัดต้ากวงหมิงก็ถูกโจรกรรม (3)
หนานกงมั่วเลิกคิ้วเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เย่ว์จวิ้นอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว ต่างก็เป็นขุนนางของฝ่าบาท การทำงานรับใช้ฝ่าบาทเป็นหน้าที่ที่ต้องทำอยู่แล้ว”
“จวิ้นจู่เอ่ยถูกต้องแล้ว”
เหอเหวินลี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ปัดหน้าผากแล้วยิ้มให้คนทั้งสองที่แสร้งยิ้มระหว่างทักทายปราศัยกัน “จวิ้นอ๋อง จวิ้นจู่ ซื่อจื่อ เรามา…” เขามาสอบสวนคดี มิได้มาเพื่อฟังทั้งสองต่อปากต่อคำกัน เสียดายว่าผู้ที่เขาเผชิญหน้านั้นมิใช่ลิ่นฉังเฟิงจึงไม่สามารถคว้าสิ่งใดโยนใส่ได้ แล้วก็ไม่สามารถแผดเสียงดังตวาดใส่ได้เสียด้วย
หนานกงมั่วเหลือบมองไปที่เหอเหวินลี่ ส่งยิ้มแหยให้ ซึ่งก็ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวได้ในทันที เมื่อมองผู้หญิงด้านหน้าด้วยความประหม่า เขาเห็นหนานกงมั่วก้าวถอยหลังไปยืนข้างเว่ยจวินมั่ว นางเอ่ยว่า “ทั้งสามท่าน ตามสบายเถิด ข้าก็แค่ตามมาดูเท่านั้น”
เว่ยจวินมั่วไม่ชอบพูดคุยกับผู้คนเท่าใดนัก จึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ลองเข้าไปดูกัน”
เนื่องจากวัดต้ากวงหมิงถูกโจรกรรม ตอนนี้ทั้งวัดจึงห้ามมิให้บุคคลภายนอกเข้าและออกโดยเด็ดขาด วัดต้ากวงหมิงซึ่งเคยหนาแน่นด้วยผู้คน ยามนี้จึงเงียบสงบเป็นพิเศษ ได้ยินแต่บทสวดของพระสงฆ์และควันธูปที่ลอยในอากาศ ทว่าควันธูปที่เคยทำให้ผู้คนจิตใจสงบในอดีตมาวันนี้ราวกับเต็มไปด้วยลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก
ภายในอุโบสถ เจ้าอาวาสวัดต้ากวงหมิงพร้อมคณะภิกษุทั้งเล็กใหญ่ก็มารออยู่ก่อนแล้ว ท่ามกลางชุดสีเทาและเสื้อคลุมสีแดงเข้มของเหล่าพระภิกษุ เนี่ยนหย่วนที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวจึงดูสะดุดตาเป็นพิเศษ เมื่อเห็นพวกหนานกงมั่วเข้ามา เนี่ยนหย่วนก็พยักหน้าให้เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วอย่างสุภาพ
พระคัมภีร์ที่ถูกขโมยไปเดิมวางไว้ที่หน้าพระพุทธรูปในอุโบสถ เนื่องจากเป็นพระคัมภีร์ของฮองเฮาองค์ก่อนและฝ่าบาทเป็นผู้รับสั่งให้นำมาไว้ที่นี่ด้วยพระองค์เอง วัดต้ากวงหมิงจึงส่งพระภิกษุมาเฝ้ายามทุกสิบสองชั่วยาม แม้ว่าวัดต้ากวงหมิงจะมิใช่วัดที่มีชื่อเสียงด้านศิลปะการต่อสู้ แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในจินหลิง เรียกว่าเป็นพระอารามหลวงก็ไม่เกินไปนัก มิเช่นนั้นฝ่าบาทคงไม่รับสั่งให้นำพระคัมภีร์ของฮองเฮามาไว้ที่นี่แน่ ส่วนฝีมือการต่อสู้ของพระในวัดนั้นก็นับว่าไม่ธรรมดา ทั้งที่มีพระสี่รูปเฝ้าเอาไว้แท้ๆ กลับถูกคนแอบเข้าไปลักขโมยเสียได้
“ขโมยพระคัมภีร์ของฮองเฮาองค์ก่อนไปจะมีประโยชน์ใดหรือ” เหอเหวินลี่เอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้ว
หากเป็นคนทั่วไปที่แสวงหาทรัพย์สินมีค่าหรือสมบัติก็ฟังดูมีเหตุผล หากเอ่ยถึงพระคัมภีร์ของฮองเฮาอาจจะดูล้ำค่ามากก็จริง… แต่ว่า ประการแรกฮองเฮามิใช่พระภิกษุชั้นสูง ประการที่สองพระนางมิใช่นักเขียนพู่กันจีน หากมิใช่เพราะฐานันดรของฮองเฮาองค์ก่อนและการให้ความสำคัญของฮ่องเต้ ม้วนพระคัมภีร์เหล่านั้นก็นับว่าไม่มีค่าใดเลย แม้ยามนี้จะดูมีค่าขึ้นมาเพราะสิ่งเหล่านี้ แต่ก็ไม่สามารถปล่อยขายได้ และอย่างน้อยในอีกสามสิบหรือห้าสิบปีข้างหน้าก็อย่าได้คิดว่าจะขายได้ คงไม่มีใครถึงขั้นต้องการชื่นชมลายพระหัตถ์ของฮองเฮาหรอกใช่หรือไม่
แม้ว่าฮองเฮาองค์ก่อนจะมีฐานะดีกว่าฐานะเดิมของฮ่องเต้ แต่ก็มิได้นับว่าดีมากเท่าใดนัก เดิมทีนางเป็นเพียงหญิงจากครอบครัวที่ร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้เท่านั้น ฉะนั้นการเขียนพู่กันจีน… เหอเหวินลี่โชคดีที่เคยได้เห็นและบอกได้เพียงว่า…ก็นับว่าพอได้
เซียวเชียนเยี่ยก็ปวดหัวไม่น้อยเช่นกัน ทันทีที่ข่าวการขโมยพระคัมภีร์ของเสด็จย่าออกมา เสด็จปู่ก็พิโรธอย่างมาก แม้แต่เสด็จพ่อเองก็ไม่สามารถห้ามได้ รับสั่งให้จับโจรที่ขโมยพระคัมภีร์อย่างเร่งด่วน และต้องนำพระคัมภีร์คืนมาในสภาพสมบูรณ์ให้ได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม เซียวเชียนเยี่ยมองดูผู้คนในที่แห่งนั้น เอ่ยถามขึ้นมา “พระภิกษุที่เฝ้ายามพระคัมภีร์เป็นเช่นไรบ้าง”
เจ้าอาวาสถอนหายใจแล้วเอ่ย “ทูลจวิ้นอ๋อง พระภิกษุเหล่านั้นยังสลบมิได้สติและถูกกักตัวอยู่ในเรือนชั่วคราว”
เซียวเชียนเยี่ยและเหอเหวินลี่มองหน้ากันครั้งหนึ่ง จากนั้นเหอเหวินลี่จึงเอ่ยขึ้น “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปสอบสวนพระภิกษุเหล่านั้น ท่านเจ้าอาวาสโปรดนำทางด้วย”
แน่นอนว่าเจ้าอาวาสไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด แม้ว่าเขาจะนำทางด้วยตนเองไม่ได้ แต่ก็ยังสั่งให้ศิษย์น้องเป็นผู้นำเหอเหวินลี่ไปแทน เซียวเชียนเยี่ยเริ่มตั้งคำถามกับพระภิกษุในอุโบสถ ทั้งสองคนไม่มีใครมีกะจิตกะใจไปยุ่งกับเว่ยจวินมั่ว เว่ยซื่อจื่อนั้นแทบมิได้เอ่ยวาจาด้วยซ้ำ จะขอให้เขาไปสอบสวนคดีนี้ได้เช่นไร
เว่ยจวินมั่วก็มิได้สนใจเช่นกัน มองไปยังหนานกงมั่ว เอ่ย “ออกไปเดินข้างนอกกัน”
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ยถามเจ้าอาวาสด้วยรอยยิ้ม “จริงสิ ท่านเจ้าอาวาส แล้วผู้แสวงบุญทุกคนที่มาพักในวัดต้ากวงหมิงเมื่อวานนี้ยังอยู่หรือไม่”
เจ้าอาวาสพยักหน้า เอ่ยตอบว่า “ของที่ถูกขโมยไปนั้นมิใช่สิ่งเล็กน้อย ฉะนั้นผู้แสวงบุญยังคงต้องอยู่ภายในวัด ยังมิได้ออกไป”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ฉินจื่อซวี่ออกไปได้เช่นไรกัน
“คนของตระกูลฉินก็ยังอยู่หรือ”
เนื่องจากเป็นเจ้าอาวาสวัด ย่อมไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ชัดเจนนัก แต่ไต้ซือที่อยู่ข้างๆ กลับก้าวมาข้างหน้าเอ่ยตอบว่า “จวิ้นจู่ คุณหนูสี่ตระกูลฉินอยู่ที่วัดต้ากวงหมิงเมื่อคืนนี้ วันนี้คุณชายใหญ่ตระกูลฉินก็มารับคุณหนูสี่ตั้งแต่เช้า แต่เพราะในวัดปิดการเข้าออกจึงไม่ได้ปล่อยให้เขาเข้ามา”
ที่แท้เมื่อคืนนี้ฉินจื่อซวี่ก็ไม่ได้อยู่ที่วัดต้ากวงหมิงนี่เอง คิดดูให้ดีแล้ว ตอนนี้ตระกูลฉินกำลังยุ่งมาก จะเอาเวลาใดไปเดินเที่ยวเล่นได้ แต่ฉินจื่อซวี่เป็นห่วงน้องสาว เขาจึงหาเวลาไปอยู่กับนางบ้าง แล้วรีบเดินทางกลับเมืองทุกวัน การเดินทางจากเขาจื่ออวิ๋นไปยังจินหลิงก็มิได้ใช้เวลานานเท่าใดนัก
หนานกงมั่วพยักหน้า แล้วหันหน้าไปหาเว่ยจวินมั่ว “เราออกไปข้างนอกกันเถิด”
เว่ยจวินมั่วไม่ได้คัดค้าน เพียงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองจึงทิ้งหวงจั่งซุนผู้ตั้งใจทำงานไว้แล้วออกไปเดินเล่นข้างนอก
หนานกงมั่วเคยมาวัดต้ากวงหมิงสองครั้งและเคยพักค้างคืนที่นี่อยู่สองสามวัน จึงนับว่าคุ้นเคยอยู่บ้าง คนทั้งสองเดินจูงมือกันและเดินไปยังเรือนพักหลังภูเขาที่ผู้แสวงบุญอาศัยอยู่ ขณะที่เดินไป หนานกงมั่วก็เอ่ยขึ้น “แปลกจริงๆ ใครกันจะตั้งใจเข้ามาขโมยพระคัมภีร์ของฮองเฮาองค์ก่อน” เช่นเดียวกับที่เหอเหวินลี่คิด พระคัมภีร์นั้นนอกจากเป็นสิ่งที่ฮองเฮาองค์ก่อนคัดลอกด้วยลายพระหัตถ์แล้วก็ไม่มีค่าอันใด แลกเป็นเงินก็มิได้ แน่นอนว่าหากส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อไปมันก็ย่อมมีค่า แต่คงไม่ถึงขั้นต้องคิดแทนลูกหลานเช่นนั้นหรอกกระมัง อีกอย่าง ยังมีของอีกหลายสิ่งที่เป็นมรดกตกทอดของตระกูลได้ ไร้ซึ่งความจำเป็นต้องเสี่ยงเช่นนี้
เว่ยจวินมั่วสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยว่า “บริเวณรอบอุโบสถได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนา แต่พระภิกษุในอุโบสถกลับหมดสติและไม่มีใครพบตัวคนร้าย หากผู้ลงมือมิใช่โจรที่มีฝีมือฉกาจ ก็ต้อง…คนที่เฝ้ายามเป็นขโมยเสียเอง”
หนานกงมั่วโอบแขนของเขาไว้ เดินไปขมวดคิ้วไป “คนเฝ้าเป็นขโมยหรือ”
“อ๊าก!” ทันทีที่ทั้งสองคนเดินไปถึงหัวมุม พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากที่ไกลๆ เมื่อสบตากันและกัน ทั้งคู่ใช้วิชาตัวเบาเหาะไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงนั้นพร้อมกัน สถานที่ซึ่งได้ยินเสียงร้องนั้นก็คือเรือนของพระภิกษุที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งหลัง ก่อนที่ทั้งสองจะไปถึง พวกเขาก็ได้กลิ่นเลือดคละคลุ้งออกมาจึงรีบวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว พบว่าประตูเปิดอยู่ มีเหอเหวินลี่นอนอยู่บนพื้นเปรอะไปด้วยเลือด ไต้ซือที่เพิ่งนำทางเขามาก็ล้มลงบนพื้นห่างจากเขาไปไม่กี่ก้าวเช่นกัน ร่างชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม เมื่อก้าวไปข้างหน้าอีกไม่กี่ก้าว ก็พบว่าพระลูกศิษย์ในชุดคลุมสีเทาหมดลมหายใจไปแล้ว หนานกงมั่วก้าวไปด้านหน้า นั่งลงสำรวจที่คอของไต้ซือแล้วส่ายหัวให้เว่ยจวินมั่ว
“นี่มันเกิดอันใดขึ้น” เว่ยจวินมั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เหอเหวินลี่ใบหน้าซีดเซียว เอ่ยตอบ “เมื่อเรามาถึงเรือนนี้ มีใครคนหนึ่งอยู่ในห้อง ส่วนคนที่อยู่บนเตียงนั้นตายไปแล้ว คนผู้นั้นตรงเข้าไปสังหารไต้ซือ จากนั้นก็…” เว่ยจวินมั่วเหลือบมองเขานิ่งๆ แล้วจึงหันหลังเดินออกไป หนานกงมั่วมองไปยังเหอเหวินลี่ เลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ย “ใต้เท้าเหอ ท่านพอจะยืนไหวหรือไม่”