ตอนที่ 374 กล้ำกลืนความอัปยศ (1)
เฉียวเย่ว์อู่ก้าวไปข้างหน้า มองหนานกงมั่วอย่างอวดดี เอ่ยว่า “ซื้อก็ซื้อ มีอันใดดีนักหรือ! ท่านลุงหนานกง ข้าอยากได้ไข่มุกชิ้นนี้!”
แม่นาง แล้วของขวัญวันเกิดของท่านแม่เจ้าล่ะ หรือว่าจะเป็นไข่มุกแตกๆ ลูกนั้น
อาจเป็นเพราะรู้สึกผิดต่อเฉียวเฟยเยียน หรือเป็นเพราะต้องการตามใจลูกสาวที่เพิ่งได้คืนกลับมา หรือแค่เพียงไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าหนานกงมั่วเท่านั้น ท้ายที่สุดหนานกงไหวก็ยอมจ่ายเงินซื้อไข่มุกทั้งสองลูก หนานกงมั่วเก็บเงินไปแล้วยิ้มส่งแขกทั้งสอง “ท่านพ่อ หากอยากซื้อสิ่งใดอีกก็กลับมาได้เสมอนะเจ้าคะ”
หนานกงไหวหยุดครู่หนึ่งแล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา หนานกงมั่วมั่นใจว่าหนานกงไหวจะไม่มีวันก้าวเข้ามาในร้านนี้อีกตลอดชีวิต
เมื่อมองเงินปึกหนาในมือ หนานกงมั่วก็เบิกตากว้าง เอ่ยสั่ง “แพร่ข่าวออกไปว่าฉู่กั๋วกงจ่ายเงินแสนตำลึงซื้อของมีค่าสองชิ้นที่ร้านนี้”
ผู้ดูแลร้านลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามว่า “นี่จะ…ไม่แพงไปหรือขอรับ” หากแพร่ข่าวฉู่กั๋วกงออกไป เมื่อมีคนอยากรู้อยากเห็นก็สามารถดึงดูดลูกค้าผู้มั่งคั่งเข้ามาได้ ถึงตอนนั้น…
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “สิ่งที่ไม่เคยขาดในจินหลิงก็คือคนรวย”
สายตาของผู้ดูแลร้านมองด้วยความเคารพ หนานกงมั่วเดินเข้าไปยังห้องด้านในซึ่งเว่ยจวินมั่วและลิ่นฉังเฟิงกำลังนั่งดื่มชาอยู่ เมื่อเห็นนางเข้ามา คุณชายฉังเฟิงก็ปรบมือและเอ่ยชื่นชม “ก่อนหน้านี้แม่นางมั่วบอกว่าข้าสามารถทำกิจการได้ แต่ตอนนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าข้าได้แสดงความไร้ฝีมือต่อหน้าแม่นางมั่วเสียแล้ว” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ย “คุณชายฉังเฟิงเอ่ยเป็นเล่นไป”
ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “จะล้อเล่นได้เยี่ยงไร ต่อให้ข้าจะหน้าเลือดยิ่งกว่านี้ แต่ข้าคงไม่กล้าขายของที่ซื้อมาไม่ถึงห้าตำลึงไปในราคาห้าหมื่นตำลึงให้คนอื่นได้หรอก เกรงว่ากล่องที่เจ้าใส่ไข่มุกยังมีราคาแพงกว่าไข่มุกนั่นเสียอีก”
หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย “ของหายากย่อมราคาแพง”
เงินห้าตำลึงหรือ ในสายตาหนานกงมั่วแล้ว ของสิ่งนั้นแม้แต่เงินห้าเฟินก็ไม่คุ้มที่จะจ่าย ของที่คนอื่นไม่รู้จัก หนานกงมั่วก็ต้องไม่รู้จักด้วยอย่างนั้นหรือ นั่นเป็นเพียงไข่มุกแก้วสองลูกเท่านั้น อันที่จริงที่ราบภาคกลางนั้นมีการเผาแก้วมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่สินค้าที่ทำจากแก้วเหล่านี้ไม่สามารถพบเห็นได้ง่ายอยู่แล้ว นอกจากนี้ไข่มุกแก้วจากตะวันตกค่อนข้างแตกต่างจากลูกแก้วโบราณ และยิ่งไม่มีทางทำให้ใสบริสุทธิ์และกลมสมบูรณ์เช่นนั้นได้ หนานกงมั่วเสียดายเล็กน้อยที่นางจำวิธีการและส่วนผสมในการทำลูกแก้วสมัยใหม่ไม่ได้ มิเช่นนั้น…ของสิ่งนี้ก็คงสามารถทำกำไรได้มาก ทั้งสามารถหลอกผู้มีอิทธิพลได้ ทั้งยังเอาไปขายให้คนธรรมดาได้อีก ช่างเป็นของดีที่หาเงินได้ทั้งกับตระกูลสูงศักดิ์และสามัญชนจริงๆ เลย
หนานกงมั่วนั้นไม่นับว่าโกหก เดิมได้ไข่มุกพวกนั้นมาเพียงสองลูก ตอนนี้ไข่มุกลูกหนึ่งถูกเฉียวเย่ว์อู่ทำแตกไปแล้ว ก็เท่ากับเหลือเพียงหนึ่งเดียวจริงๆ
ลิ่นฉังเฟิงยิ้มและเอ่ยว่า “เมื่อมีหนานกงไหวเป็นผู้เริ่มแล้ว ตราบใดที่มีข่าวแพร่ออกไป ก็ไม่ต้องกลัวว่าเศรษฐีในเมืองจินหลิงจะไม่มา”
หนานกงมั่วยิ้มพลางเอ่ย “ข้าเคยบอกแล้วว่ากิจการนี้ย่อมทำกำไรได้แน่นอน เจ้าต้องคิดถึงปัญหาเรื่องของขายไม่เพียงพอได้แล้วนะ”
ลิ่นฉังเฟิงพยักหน้าซ้ำๆ “ข้ารู้ เจ้าวางใจได้ เรื่องที่ได้เงินน่ะ ข้าไม่มีวันปล่อยไปเด็ดขาด”
แล้วเรื่องหนานกงไหวใช้เงินแสนตำลึงซื้อลูกแก้วลูกเดียวล่ะ ใครจะสนกัน
เว่ยจวินมั่วนั่งฟังพวกเขาคุยกันจบก็วางถ้วยน้ำชาลง เอ่ยถามเสียงเข้ม “ลิ่นฉังเฟิง เจ้าค้นประวัติของพระในวัดต้ากวงหมิงพวกนั้นพบหรือไม่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของลิ่นฉังเฟิงก็คลายลง เขาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยเคร่งขรึม “ไม่พบ”
“ไม่พบหรือ” เว่ยจวินมั่วเลิกคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็แปลกใจ ต้องรู้ก่อนว่าแม้วังจื่อเซียวจะเป็นสำนักมือสังหาร แต่หากสำนักมือสังหารไม่มีรายงานข่าวที่เหนือกว่าผู้อื่นก็นับว่ามิใช่เรื่องดี คนที่พวกเขาต้องสังหารอาจเป็นคนของตระกูลขุนนาง หรืออาจเป็นข้าราชการระดับสูง หรือแม้แต่คนในราชวงศ์ ก็มิใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ การสังหารคนเหล่านี้โดยปราศจากรายงานข่าวที่เชื่อถือได้แน่นอนว่าย่อมมิใช่เรื่องง่าย แม้จะสังหารสำเร็จแต่กลับสูญเสียมือสังหารไปหลายคนจนน่าตกใจ ฉะนั้นจึงมีมือสังหารเลื่องชื่อไม่กี่คนเท่านั้นที่จัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั่วไปแล้วจะต้องมีการสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ลิ่นฉังเฟิงรู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดี ถอนหายใจแล้วเอ่ย “คราวนี้เจ้าไปแหย่รังแตนเข้าหรือ ตอนที่เริ่มสืบได้ไม่นานก็เกือบถูกจับได้แล้ว หากมิใช่เพราะข้ารู้ตัวก่อนจึงถอนกำลังได้ทันเวลาก็เกือบถูกอีกฝ่ายแกะรอยเจอ หากวังจื่อเซียวถูกเปิดโปงคงมีเรื่องสนุกให้ดูแน่” ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดเว่ยจวินมั่วต้องสร้างสำนักมือสังหารนี้ขึ้นมาด้วย แม้จะทำเงินได้รวดเร็วทว่าเบื้องหลังงานนี้ช่างอธิบายได้ลำบากนัก หากมีผู้ใดรู้เข้าก็จะยิ่งตกเป็นเป้า เจ้าคิดว่ามันจะดีเพียงใดหากนี่เป็นกิจการถูกกฎหมาย ยามนี้ก็ถือว่าดีแล้ว วังจื่อเซียวยิ่งใหญ่เพียงนี้ ต่อให้ต้องการล้างมลทินก็ไม่ง่ายเอาเสียเลย
เว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่วมองหน้ากัน ในละแวกจินหลิงนี้ ผู้มีอิทธิพลกว้างขวางที่จะสืบหาข่าวได้นั้นมีอยู่เพียงผู้เดียว
ลิ่นฉังเฟิงถอนหายใจแล้วจึงเอ่ย “โชคดีที่ไม่กี่วันมานี้พวกเสือสิงห์กระทิงแรดในจินหลิงนั้นหนีออกไปหมดแล้ว ข้าเลยผลักไปให้ตระกูลหยางแทน เช่นนี้จึงหนีออกมาพ้น วางใจเถิด เก็บกวาดเรียบร้อยไม่มีใครสงสัยหรอก”
หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วไม่แปลกใจกับเรื่องนี้มากนัก หนานกงมั่วกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เราอย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องนั้นดีกว่า” ในเมื่อเป็นแผนลับของฮ่องเต้ก็อย่าไปยุ่งเรื่องของพวกเขาเลย ไม่ว่าความลับในพระคัมภีร์นั้นจะมีจริงหรือไม่ ฝ่าบาทเองก็คงทราบดีว่าพระคัมภีร์อยู่ที่ใด ขืนยังฝืนต่อไปก็คงจะจบไม่สวย
เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย “ไม่ สอบสวนต่อไป ให้เหอเหวินลี่ไปตรวจสอบ ส่งมอบเบาะแสที่เจ้าค้นเจอก่อนหน้านี้ให้เหอเหวินลี่ทั้งหมดด้วย”
ลิ่นฉังเฟิงเบิกตากว้าง “ไม่เอาน่า เจ้าจำเป็นต้องโหดร้ายเพียงนี้เลยหรือ แม้เหอเหวินลี่จะนิสัยไม่ค่อยดีแต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องร้ายกับเขาเพียงนั้นก็ได้” ผู้ร้ายที่แม้แต่พวกเขายังไม่รู้ ให้เหอเหวินลี่ไปจัดการไม่เท่ากับส่งไปตายหรืออย่างไร เว่ยจวินมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ก็เพราะเขาไม่พบสิ่งใดเลยจึงปลอดภัยอย่างไรเล่า ฝ่าบาทรับสั่งให้ค้นหาพระคัมภีร์ เจ้ากล้าปฏิเสธหรือ”
ต่อให้พวกเขาจะรู้ว่าพระคัมภีร์อยู่ที่ใด แต่ก็ไม่สามารถเอ่ยออกมาต่อหน้าทุกคนได้ ฮ่องเต้กล่าวว่าพระคัมภีร์หายไปก็หมายความว่าหายไป แม้ว่าพระคัมภีร์จะอยู่ภายในที่ประทับในพระราชวังหรือไม่ก็ตาม
ลิ่นฉังเฟิงยักไหล่ ถอนหายใจแล้วเอ่ย “คราวนี้ฝ่าบาทคงจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะกำจัดพวกตระกูลขุนนางได้” แม้แต่ตระกูลลิ่นก็ต้องรับเคราะห์ด้วยเช่นกัน เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วลิ่นฉังเฟิงอดดีใจไม่ได้ที่ตนเองหลุดพ้นจากวังวนนั้นไปแล้ว มิเช่นนั้นผู้ที่ต้องรับเคราะห์ครั้งนี้อาจมิใช่ลิ่นฉังอันแต่เป็นลิ่นฉังเฟิงแทน
หนานกงมั่วเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย “ไม่ต้องห่วง ไม่ตายหรอก” อาศัยเพียงเซียวเชียนเยี่ย เซียวเชียนหลิง เซียวเชียนลั่ว จวิ้นอ๋องทั้งสามคิดจะล้มตระกูลขุนนางทั้งสิบในจินหลิงหรือ ต่อให้มีฮ่องเต้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังก็คงทำไม่ได้ แต่หากเปลี่ยนเป็นบรรดาชินอ๋องที่ฮ่องเต้แต่งตั้งให้ไปปกครองศักดินาคงพอเป็นไปได้
ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย “ต่อให้ไม่ตาย แต่กำจัดได้เป็นส่วนใหญ่ ขอเพียงฮ่องเต้องค์ต่อไปแข็งแกร่งเพียงพอ ตระกูลเหล่านี้ก็คงไม่สามารถทำอันใดได้” ความจริงแล้วหลายปีที่ผ่านมานี้ เหล่าตระกูลขุนนางก็มิได้ก่อปัญหาใดมากมาย ที่จริงแล้วฮ่องเต้ผู้สร้างชาติในวันนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่จะมีชื่อเสียงสืบไปอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ไม่ค่อยถูกชะตาพวกเขา แม้พวกเขาจะแสร้งว่าจงรักภักดีเพียงใด ฝ่าบาทก็ยังไม่เชื่อว่าพวกเขาจะยังคงภักดีต่อไปหลังจากพระองค์สวรรคตแล้ว