ตอนที่ 379 ใจคนไม่พอ คดโกงไม่สิ้น (1)
ในฐานะฮ่องเต้ผู้มาจากชั้นรากหญ้า สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือขุนนางที่ทุจริต หากเป็นขุนนางในราชวงศ์ต้าเซี่ยแล้ว เจ้าต้องไม่คดโกงหรือไม่ก็ห้ามถูกจับได้ไปจนตลอดรอดฝั่ง เพราะเมื่อขุนนางทุจริตถูกจับได้ จุดจบ…อย่างการถูกประหารนั้นถือว่าเบามาก การปล้นสะดม กวาดล้างตระกูล ลอกผิวหนังคนมาทำเสื้อผ้า ฝ่าบาทก็ทำมาหมดแล้ว แต่ตอนนี้ ผู้ที่รับสินบนกลับเป็นหลานชายของเขา ว่าที่…องค์รัชทายาท หรือแม้แต่ว่าที่ฮ่องเต้?!
“เสด็จปู่ หลานถูกใส่ร้าย!” เซียวเชียนเยี่ยรีบคุกเข่าลงร้องอ้อนวอน เรื่องเช่นนี้จะจริงหรือไม่จริงก็ต้องร้องอ้อนวอนไว้ก่อนถึงจะถูก
“ถูกใส่ร้าย?!” ฮ่องเต้หัวเราะเยาะ โยนเอกสารในมือลงบนพื้นต่อหน้าเซียวเชียนเยี่ย ยิ้มเยาะแล้วตรัสว่า “เจ้าบอกเรามาสิว่าตรงไหนที่เจ้าถูกใส่ร้าย เจ้าฉลาดนัก ที่ที่อยู่ใกล้กับจินหลิงมากเพียงนี้ เจ้าสร้างความคับแค้นใจจนร่ำลือไปทั่ว ทั้งยังปิดบังเราได้ เจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ!”
“เสด็จปู่ใจเย็นก่อนพะยะค่ะ!” เซียวเชียนเยี่ยตกใจจนขาอ่อนแรงและทรุดตัวลงกับพื้น เอกสารที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นทั้งหมดถูกเขียนไว้หมดแล้วว่าเขาใช้วิธีใดหาตำแหน่งให้คนสนิทของเขา และขายตำแหน่งให้กับผู้ที่ไม่มีปัญญาทำข้อสอบแต่ต้องการรับราชการได้เช่นไร และสถานที่เกิดเรื่อง ผู้ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก็เป็นคนสนิทคนหนึ่งของเขา เมื่อครั้งเขื่อนแตกก็ตรงกับตอนที่จางติ้งฟางก่อกบฏพอดี ทุกคนก็มุ่งความสนใจไปที่กลุ่มกบฏ ฉะนั้นคนผู้นั้นจึงต้องการปกปิดเหตุการณ์และไม่ฟ้องร้องต่อราชสำนักในทันที ไม่ว่าขุนนางท้องที่จะรับสินบนจากอีกฝ่ายหรือหวาดกลัวเขาในฐานะหวงจั่งซุนก็ตาม สุดท้ายพวกเขาก็ปิดบังเรื่องนี้ไว้ ฉะนั้นจนถึงตอนนี้ อย่าว่าแต่คนในเมืองจินหลิงเลย แม้แต่เขาผู้เป็นเจ้านายก็ยังไม่รู้เรื่อง
หนานกงมั่วยืนอยู่ข้างๆ มองลงไปที่พื้น แม้ว่าระยะทางจะไม่ใกล้กันมากนัก แต่สายตาของนางก็ไม่ได้พร่ามัวและตัวอักษรก็ไม่ได้เล็ก นางมองเห็นได้ชัดเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่ทันอ่านจบ หนานกงมั่วก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อเซียวเชียนเยี่ย คราวนี้เซียวเชียนเยี่ยคงต้องทุกข์ทรมานแน่ หากฮ่องเต้ไม่ปกป้องเขา เขาคงประสบเคราะห์ครั้งใหญ่
แต่… ในเวลานี้ แนวโน้มที่ฮ่องเต้จะไม่ปกป้องเขานั้นแทบจะเป็นศูนย์ เพียงแค่ไม่รู้ว่านี่เป็นลายมือของผู้ใด พี่น้องเซียวเชียนหลิงและเซียวเชียนลั่ว หรือเหล่าตระกูลขุนนางที่ต้องลำบากเพราะเซียวเชียนเยี่ย? เรื่องเมื่อสองสามเดือนก่อนแต่กลับตรวจสอบได้อย่างชัดแจ้งเช่นนี้ หากเป็นเซียวเชียนหลิงกับเซียวเชียนลั่วคงรอไม่ได้ถึงป่านนี้ นี่คือความยอดเยี่ยมของพวกตระกูลขุนนางอย่างนั้นหรือ ไม่แปลกใจ…ที่ฝ่าบาทต้องการกวาดล้างพวกเขาถึงเพียงนั้น
“เสด็จปู่!” เซียวเชียนเยี่ยร้องออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภายในใจของเขาเกลียดตระกูลขุนนางเจ้าปัญหาพวกนั้นกระดูก ตอนแรกไม่ควรปรานี ทำเพียงแค่ขังพวกเขาไว้เลย! หวงจั่งซุนผู้น่าสงสารยังไม่เข้าใจว่าพวกตระกูลขุนนางเก่าแก่นั้นไม่สามารถปราบได้ง่ายๆ หากตอนแรกเขาประหารคนพวกนั้นจริงๆ ล่ะก็ สิ่งที่รอเขาอยู่ตอนนี้อาจไม่ใช่การถูกใส่ร้าย แต่จะเป็นการโต้กลับและลอบสังหารอย่างไม่สนใจอันใด สำหรับตระกูลเหล่านี้ ไม่มีอันใดสำคัญไปกว่าการสืบทอดตระกูลอีกแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกัน จารีตแห่งกษัตริย์และขุนนาง หรือสามหลักห้าคุณธรรม นั้นก็ล้วนแต่ไร้สาระ
ฮ่องเต้มองเซียวเชียนเยี่ยที่อยู่ตรงหน้าอย่างผิดหวัง นี่คือองค์รัชทายาทผู้ต้องสืบสันตติวงศ์แห่งราชวงศ์ต้าเซี่ยในภายภาคหน้า หวงจั่งซุนแห่งราชวงศ์ต้าเซี่ยอย่างนั้นหรือ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเขาทำอันใดผิดไป เขาเป็นคนที่ไม่ได้อ่านหนังสือมากนัก แต่เขายังเข้าใจความสำคัญของราษฎรต่อราชวงศ์ แต่หวงจั่งซุนที่ได้รับการศึกษาที่ดีที่สุดตั้งแต่วัยเด็กกลับทำลายสรรพชีวิตในแถบลุ่มน้ำแยงซีเพื่อต่อสู้แย่งชิงอำนาจกับพี่น้องตัวเอง หากหวงจั่งซุนผู้นี้ได้ขึ้นสู่บัลลังก์จริงๆ ราชบัลลังก์จะมั่นคงหรือ?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ก็รู้สึกเจ็บปวดในใจและหน้ามืดไปหมด
“ฝ่าบาท!” หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วมองหน้ากันแล้วก้าวไปข้างหน้า เว่ยจวินมั่วประคองเสื้อด้านในของฮ่องเต้ด้วยมือข้างหนึ่งและส่งออกอย่างช้าๆ แสงสีเงินที่ปลายนิ้วของหนานกงมั่วเป็นประกาย เข็มเงินเล่มหนึ่งพุ่งไปที่จุดฝังเข็มของฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาท ทำใจให้สงบนะเพคะ”
“พวกเจ้าทำอันใดกัน?” สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยเปลี่ยนไป เขาต้องการรีบก้าวไปด้านหน้า แต่ฮ่องเต้เบิกตามองเขาอย่างเย็นชาจึงต้องหยุดอยู่อย่างนั้น หนานกงมั่วกลอกตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ ในห้องทรงอักษรมีเพียงพวกเขาสามคน ไม่ว่าอย่างไร ฮ่องเต้ก็คงไม่ตายที่นี่ในตอนนี้ แม้ว่าจะโกรธเซียวเชียนเยี่ยจนจะบ้าตายก็ตามที
หลังจากนั้นไม่นาน หนานกงมั่วก็ดึงเข็มเงินออกมา เว่ยจวินมั่วก็ดึงมือซ้ายออกมาพร้อมกัน ฮ่องเต้ลืมตาขึ้นและค่อยๆ ถอนหายใจ เอ่ยว่า “เราไม่เป็นอันใดแล้ว ขอบใจพวกเจ้าทั้งสองมาก”
หนานกงมั่วเก็บเข็มเงินแล้วยิ้มอ่อนๆ เอ่ย “พระวรกายของฝ่าบาทไม่ควรอารมณ์ฉุนเฉียวนะเพคะ ฝ่าบาทโปรดไตร่ตรอง”
พระเนตรแหลมคมของฮ่องเต้เข้มขึ้นเล็กน้อย ตรัสว่า “เราก็ไม่อยากเป็นเยี่ยงนี้เช่นกัน…” เมื่อได้ยินเสียงของเสด็จปู่ที่เคยเคร่งขรึมอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ เซียวเชียนเยี่ยอดรู้สึกผิดไม่ได้เช่นกัน ตนเข้าใจว่าเสด็จปู่เป็นเช่นนี้ก็เพราะทรงพิโรธเขา จึงรีบคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์แล้วเอ่ยว่า “เสด็จปู่ หลานสำนึกผิดแล้ว ขอเสด็จปู่อย่าทรงพิโรธเลย อย่าทำให้พระวรกายทรุดลงเพราะโกรธหลานเลยพะยะค่ะ”
เมื่อเห็นว่าหวงจั่งซุนผู้ถูกประคบประหงมมาโดยตลอดร้องไห้เสียจนดูไม่ได้ ฮ่องเต้จึงถอนหายใจและตรัสว่า “ช่างมันเถอะ เจ้ากลับไปก่อน เก็บตัวคิดทบทวนให้ดี!”
เซียวเชียนเยี่ยต้องการเอ่ยอย่างอื่นอีก แต่หลังจากเห็นการแสดงออกของฮ่องเต้แล้ว เขาก็กลืนสิ่งที่ต้องการเอ่ยลงไป แล้วลุกขึ้นทูลลาออกไป “หลานทูลลาพะยะค่ะ”
หนานกงมั่วมองไปยังเซียวเชียนเยี่ยที่เดินออกไปแล้วมองไปที่ฮ่องเต้ซึ่งประทับอยู่บนที่ประทับมังกรแต่ก็ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่ นางยักไหล่แล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท พวกเราก็ขอทูลลาก่อนนะเพคะ”
“พวกเจ้าอยู่ก่อน เรายังมีเรื่องต้องสั่งอีก” ฮ่องเต้รับสั่ง
หนานกงมั่วแอบกลอกตาภายในใจ เป็นอย่างนี้นี่เอง ฮ่องเต้มองดูทั้งสองคนตรัสเสียงเข้ม “เรื่องทางลุ่มน้ำเจียงไหว พวกเจ้าไปจัดการที”
เว่ยจวินมั่วลืมตาขึ้น มองไปยังฮ่องเต้อย่างเงียบขรึม ฮ่องเต้จ้องมองแล้วตรัสว่า “ว่าอย่างไร เราสั่งเจ้าไม่ได้แล้วหรือ สั่งให้เจ้าสอบสวนเรื่องในวัง เจ้ากลับหนีไปอยู่วัดต้ากวงหมิง ให้เจ้าช่วยงานเย่ว์จวิ้นอ๋อง เจ้ากลับผัดวันประกันพรุ่ง ยามนี้แม้แต่คำสั่งของเราเจ้าก็ไม่อยากฟังเสียแล้ว?”
“ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นขุนนางแม่ทัพ” เว่ยจวินมั่วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม ฉะนั้นการให้แม่ทัพไปสอบสวนคดีเช่นนี้จึงเป็นความผิดพลาดขององค์ฮ่องเต้เอง เมื่อฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็โกรธจัด คว้าแท่นฝนหมึกบนโต๊ะเตรียมปาใส่เว่ยจวินมั่ว หนานกงมั่วดึงเว่ยจวินมั่วให้หลบ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท หากไม่ต้องการแล้วก็มอบให้กับหลานชายกับหลานสะใภ้เถิด นั่นเป็นแท่นหมึกซึ่งเป็นเครื่องบรรณาการคุณภาพสูง แม้แต่เงินก็หาซื้อไม่ได้นะเพคะ” ฮ่องเต้เหลือบมองนาง ตอนนี้ใบหน้าไม่มีความโกรธแล้ว “เจ้ายังมีเงินในมือไม่พอหรือ ขายตำหนักจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องทั้งหมดก็ยังได้เงินไม่เท่ากับเรือนส่วนตัวเจ้าเลยสินะ?”
หนานกงมั่วยิ้มและเอ่ยว่า “ในโลกนี้ยังมีคนเกลียดเงินอีกหรือ? มีคำกล่าวว่าเงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่หากไม่มีเงินแล้วก็ทำอันใดมิได้สักอย่าง เช่นนั้นแล้วฝ่าบาทอย่าทรงพิโรธเย่ว์จวิ้นอ๋องไปเลย เพราะเขาคง…เงินไม่พอใช้จริงๆ”
ด้านข้าง เว่ยจวินมั่วมองฮูหยินของตน เจ้ากำลังเกลี้ยกล่อมฝ่าบาท หรือกำลังนินทาเซียวเชียนเยี่ยกันแน่
หนานกงมั่วยิ้ม ข้าก็ทำทั้งสองอย่างนั่นแหละ
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “ศักดินาในฐานะจวิ้นอ๋องบวกกับเงินเดือนแปดพันตำลึงยังไม่พอใช้อีกหรือ เรายังใช้ ไม่ถึงแปดพันตำลึงต่อปีเลย” ฮ่องเต้มาจากครอบครัวที่ยากจนและถึงแม้ได้เป็นฮ่องเต้แล้วก็ยัง คงไม่ได้ชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อ เมื่อครั้งฮองเฮาองค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพอยู่ก็สนับสนุนให้ประหยัด ดังนั้น ค่าใช้จ่ายในวังจึงไม่มากนัก