ตอนที่ 385 เมืองหลิงโจวที่ไม่อาจควบคุม (1)
ชายวัยกลางคนก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว เขาทำความชั่วมามาก สามารถมีชีวิตอยู่ในยุทธภพได้นานเพียงนี้นับว่าตาพอมีแววอยู่บ้าง ดูจากฝีมือเมื่อครู่ของชายตรงหน้าก็รู้แล้วว่าต่อให้พวกเขารวมกันก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา ยิ่งไปกว่านั้นด้านข้างยังมีสตรีที่ดูบอบบางทว่าสามารถเตะน้องสองลอยละลิ่วได้ถึงเพียงนั้น สองคนนี้…เป็นใครกันแน่ ชายวัยกลางคนอดกลั้นเหงื่อที่พร้อมจะทะลักออกมา
หนานกงมั่วเดินมาหยุดอยู่ด้านข้างเว่ยจวินมั่ว ยิ้มร่าเอ่ยขึ้น “ทำไมหรือ หรือว่ามีเรื่องที่ไม่สะดวกจะเอ่ย เช่นนั้นเปลี่ยนคำถามเถิด คนในเมืองไปอยู่ที่ใดกันหรือ โอ๊ะ สตรีคงไม่ต้องถาม คงจะอยู่ที่หอเฟิงไหลแห่งนี้สินะ” ได้ยินที่หนานกงมั่วเอ่ย หญิงสาวหลายคนที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของห้องอดร้องไห้ขึ้นมาไม่ได้
หนานกงมั่วเอ่ย “เช่นนั้น บุรุษเล่า คงไม่ได้เข้าร่วมกับพวกเจ้าทั้งหมดหรอกใช่หรือไม่” บนโลกใบนี้ประชาชนซื่อสัตย์นั้นมีไม่น้อย หากให้ทำเหมือนเช่นนี้ที่บุรุษทั้งหลายล้วนยอมเข้าร่วมกับพวกเขาไปทำร้ายญาติและครอบครัวของตนเอง คนทั่วไปนั้นทำไม่ได้
“ไม่พูดหรือ” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว ก้าวเดินเชื่องช้าเข้าไปหาบรรดาสตรีที่หลบอยู่ที่มุมห้อง “พวกเจ้ารู้หรือไม่”
บรรดาหญิงสาวนั่งเบียดเข้าหากัน มองหนานกงมั่วอย่างหวาดกลัวไม่เอ่ยสิ่งใด หนานกงมั่วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว มีอันใดก็รีบบอกข้า ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว”
หญิงสาวคนหนึ่งทนไม่ไหวร้องไห้เสียงดังด้วยความเจ็บปวดพลางเอ่ย “คนพวกนั้น คนพวกนั้นล้วนถูก…ฮือฮือ..”
“ถูกอันใด”
หญิงสาวเอ่ย “ถูกพาตัวไป…” ทันใดนั้นเสียงของหญิงสาวพลันเปลี่ยนไป “ไปถามยมบาลในนรกเถิด” กริชเงินแทงเข้าหาหนานกงมั่ว ขณะเดียวกันสามชายหนึ่งหญิงที่ถูกเรียกว่าสี่พี่น้องแห่งยุทธภพก็พุ่งเข้าหาเว่ยจวินมั่ว ห้องทั้งห้องเกิดเสียงร้องตระหนกขึ้นมา มองกริชที่แทงมาทางตน คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้น เคลื่อนไหวราวกับสายลมสะกัดจุดบนข้อมือของสตรีผู้นั้นเอาไว้ ขณะเดียวกันก็จับข้อมือของหญิงสาวเอาไว้พลันได้ยินเสียงฉับเบาๆ หญิงสาวคนนั้นจึงกรีดร้องโหยหวนขึ้นมา
หนานกงมั่วหยิบกริชในมือของนางออกมาอย่างเชื่องช้า โยนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี กริชร่วงหล่นไปบนพื้นเฉียดใบหน้าของหญิงสาวไป หนานกงมั่วนั่งยองๆ ลงไปมอง สตรีผู้นั้นก็คือคนที่มั่วโลกีย์ต่อหน้าผู้คนอยู่กับชายสายตาน่ารังเกียจคนนั้น หญิงสาวกุมข้อมือที่ถูกตัดขาดเอาไว้ จ้องมองหนานกงมั่วด้วยแววตาโกรธแค้นอย่างไม่ยอม “เจ้ารู้ได้เช่นไร”
หนานกงมั่วยิ้มบาง เอ่ย “คิดจะแทงข้าต่อหน้า เกรงว่าเจ้าคงต้องฝึกอีกหลายปี แม่นาง เจ้าทำให้สตรีเหล่านี้ต้องหวาดกลัวแล้วรู้หรือไม่”
หนานกงมั่วไม่รู้ถึงสถานะของนาง แต่หญิงสาวที่ถูกบังคับมาพวกนางรู้จัก เกรงว่าสตรีผู้นี้นั้นไม่ได้ใจดีนัก หญิงสาวเหล่านี้หวาดกลัวนางเป็นอย่างยิ่ง นั่งกอดกันกลมราวกับว่ากลัวภาพตรงหน้า แต่ไม่ว่าหญิงสาวผู้นี้จะขยับเข้าใกล้หรือทำสิ่งใดหญิงสาวเหล่านั้นแทบอยากหนีให้ห่างทว่าทำไม่ได้ ทำได้เพียงยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาหวาดกลัว แน่นอนแม้จะไม่มีสตรีผู้นี้ก็ย่อมไร้โอกาส เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามหนานกงมั่วย่อมไม่เชื่อใจคนแปลกหน้า ต่อให้เป็นประชาชนคนธรรมดานางก็ต้องระแวดระวังถึงสามส่วน และสตรีผู้นี้ลงมือไม่นับว่ารวดเร็วแต่อย่างใด
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ไม่นาน การต่อสู้อีกฝั่งก็จบลง เว่ยจวินมั่วต่อสู้กับผู้คนทั้งสี่ทว่ากลับไม่รู้สึกสูญเสียกำลังแม้แต่น้อย รอจนหนานกงมั่วหันกลับไปทั้งสี่คนนั้นก็ลงไปนอนครวญครางด้วยความทรมานกองกันอยู่บนพื้นเสียแล้ว เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนร่างของชายวัยกลางคนผู้นั้น มองต่ำลงไปยังคนที่นอนอยู่บนพื้น เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย จะพูดหรือไม่พูด”
ลู่เหอตงอดทนต่อความเจ็บปวดราวกับอวัยวะภายในนั้นแทบเคลื่อนย้าย เอ่ย “พวกเราบอกแล้ว เจ้าจะปล่อยพวกเราไปหรือไม่”
“ไม่ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าตายง่ายๆ หรอก” เว่ยจวินมั่วเอ่ยตรงไปตรงมา
ลู่เหอตงยิ้มเย็น “อย่างไรก็ต้องตาย มีสิ่งใดต่างกัน ไยข้าต้องบอก”
เว่ยจวินมั่วไม่เอ่ยให้มากความ กระบี่อ่อนในมือวาดผ่าน ได้ยินเพียงเสียงร้องโหยหวนของลู่เหอตง ข้อมือข้างหนึ่งของเขาถูกตัดขาดออกไป เลือดสีแดงฉานกระเด็นไปโดนหลิ่วหงกูที่อยู่ไม่ไกล
“พูดหรือไม่พูด”
ลู่เหอตงไม่เอ่ยตอบ หลิ่วหงกูทนไม่ไหว เอ่ยเสียงดัง “พูด ข้าพูด ข้าพูด…”
หลิ่วหงกูนั้นเป็นเพียงสตรีธรรมดา หากจะต้องบอกว่านางมีสิ่งใดที่ไม่เหมือนสตรีทั่วไปก็คงเป็นความโหดเหี้ยมที่นางมีมากกว่า สวยกว่าสักหน่อย มีความกล้ากว่าสักหน่อย และมีวรยุทธอยู่บ้างก็เท่านั้น และเพราะเป็นหญิงงามทั้งสามคนจึงคอยปกป้องนาง ดังนั้นหญิงสาวอยู่ในยุทธภพจึงไม่เคยเจอความวุ่นวายใดๆ หลายปีมานี้หลิ่วหงกูนั้นไม่เคยต้องลำบากมาก่อน
นางกำเริบเสิบสานร่วมก่อกรรมทำชั่วกับพี่น้องร่วมสาบานของนาง ทว่าไม่เคยได้รับการลงโทษใดๆ มาก่อน เมื่อเทียบกับบรรดาสตรีที่อยู่สงบเสงี่ยมทว่าไม่ได้จบด้วยดีเหล่านั้น หลิ่วหงกูเชื่ออย่างลึกซึ้งว่าสิ่งที่นางเลือกนั้นไม่ผิด ดังนั้นจึงยิ่งกำเริบเสิบสานมากยิ่งขึ้น ไม่มีผู้ใดควบคุมความคิดและทางเลือกของนางได้ แต่นางลืมไปแล้วว่าตนเองนั้นไม่มีความสามารถมากพอและเหมาะสม เดิมทีมีพี่น้องทั้งสามคอยปกป้อง มีลูกน้องมากมายคอยดูแลจึงไม่เป็นไร แสดงอำนาจความน่าเกรงขามออกมาได้ ราวกับตนเองนั้นเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจจริงๆ นางย่อมเป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว ไม่เอ่ยไม่ได้ว่าหลิ่วหงกูเป็นทั้งสตรีที่โชคดีและโชคร้ายก็ว่าได้
โชคดีคือนางมีพี่ชายร่วมสาบานคอยปกป้อง ดังนั้นจึงมีความกล้าทำเรื่องชั่วร้าย อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดมาเอาเรื่องพวกเขาอย่างจริงจัง โชคร้ายคือครั้งแรกที่นางต้องต่อสู้กลับต้องมาเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างเว่ยจวินมั่วและหนานกงมั่ว
“หงกู” ลู่เหอตงตะโกนเสียงดังอย่างโกรธเกรี้ยว
หลิ่วหงกูพยายามลุกขึ้นมา ยกมือขึ้นสัมผัสกับเลือดบนใบหน้า นั่นเป็นเลือดของลู่เหอตงที่ถูกเว่ยจวินมั่วใช้กระบี่อ่อนตัดมือและกระเด็นมาโดนนาง ใบหน้าที่เดิมทีงดงามกลับเต็มไปด้วยคราบเลือด ดูแล้วทั้งน่ากลัวและน่าตลก “พี่ใหญ่…พวกเราสู้พวกเขาไม่ได้…ข้าไม่อยากตาย”
หนานกงมั่วสะกัดจุดหญิงสาวที่นอนอยู่ตรงหน้านางก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลิ่วหงกู เอ่ย “พูดมาเถิด”
หลิ่วหงกูมองหนานกงมั่วอยู่ชั่วครู่ ชี้ไปยังเว่ยจวินมั่วพลางเอ่ย “ข้าจะบอกกับเขา”
หนานกงมั่วหัวเราะออกมา ยิ้มร่ามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเลือดของหญิงสาว หยิบกริชออกมาจากแขนเสื้ออย่าเนิบช้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้สินะ ข้าบอกแล้ว หากเจ้ามองเขาอีกแม้เพียงนิด ข้าก็จะทำให้เจ้าไม่สามารถมองชายใดได้อีก เจ้าคิดว่าข้ากำลังล้อเจ้าเล่นหรือ”
น้ำเสียงของหนานกงมั่วอ่อนโยนราวกับกำลังคุยกับเพื่อน ทว่าสายตาที่มองไปยังหลิ่วหงกูนั้นเต็มไปด้วยความเยือกเย็น หลิ่วหงกูตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้ มองกริชที่วาดไปมาบนใบหน้าและหญิงงามตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว
“มา บอกข้า บุรุษที่อยู่ในหมู่บ้านไปไหนกันหรือ แล้วไยพวกเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่”