ตอนที่ 383 ตัวตลกที่เต้นแร้งเต้นกา (1)
ชายผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น “ไม่เลว ไม่เลว พวกเราย่อมมีห้องดีอยู่แล้ว แม่นางอยากพักแบบใดย่อมมีแบบนั้น”
หนานกงมั่วเอ่ยถาม “ตอนพวกเรามาถึงพบว่าในเมืองมีเพียงไม่กี่คน หรือว่าพวกเขาก็ถูกพวกเจ้าเชิญไปเสวยสุขหรือ”
ชายผู้นั้นยิ้ม เอ่ย “แม่นาง สุขนี้ใช่ว่าทุกคนจะเสวยได้ พวกเราไปก่อน ไปแล้วเดี๋ยวพวกเจ้าก็รู้ว่าเป็นสถานที่ที่ดีอย่างไร”
“ได้สิ” หนานกงมั่วจูงมือเว่ยจวินมั่วมุ่งออกไปด้านนอก เดินไปพลางเอ่ย “สถานที่บ้าๆ นี่ ข้าไม่อยากอยู่เลยสักนิด”
ดังนั้น กลุ่มคนพวกนั้นห้อมล้อมทั้งสองคนแล้วพาเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมเล็กๆ โรงเตี๊ยมโกลาหลจึงสงบลงอีกครั้ง ผู้จัดการที่ถูกผลักออกไปอีกฝั่งค่อยๆ ปีนออกมาอย่างทุลักทุเล มองดูประตูและห้องโถงใหญ่นิ่ง ทันใดนั้น สายตาของผู้จัดการกลับถูกบางอย่างดึงดูด ก้าวเดินเข้าไปใกล้โต๊ะเก่าๆ นั้นอย่างเชื่องช้า บนโต๊ะมีกาน้ำชา ถ้วยชาและถาดรองชุดถ้วยชาวางอยู่ ด้านข้างถ้วยชาไม่รู้ว่ามีเงินเพิ่มมาตั้งแต่เมื่อใด ประมาณหนึ่งถึงสองตำลึง ถาดรองชุดถ้วยชานั้นเขาพึ่งเอาไปวาง ด้านในนั้นมีสิ่งใดบ้างตัวเขาเองย่อมรู้ดีเป็นที่สุด ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ที่เดินผ่านโต๊ะตัวนั้นมีเพียง…คู่สามีภรรยาคู่นั้น
หยิบเอาเงินมาดู ผู้จัดการลอบถอนหายใจเบาๆ ยกถาดรองชุดน้ำชาเดินกลับเข้าไปด้านใน ส่วนหลังที่เดิมโก่งโค้งอยู่แล้วยามนี้ค่อมโค้งลงไปอีกเท่าตัว
หอเฟิงไหลเป็นโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ทิศตะวันออกของเมืองชิงสุ่ย ตราบใดที่มิใช่สถานที่ที่อยู่ห่างไกลจากเขตเมืองมากเกินไปก็มักจะมีโรงเตี๊ยมดีๆ หนึ่งหรือสองที่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น เดิมเมืองชิงสุ่ยนั้นอยู่ใกล้เขตหลิงโจวและตั้งอยู่ในเจียงหนาน ไม่นับว่าเป็นเขตทุรกันดารแต่อย่างใด ดังนั้นหอเฟิงไหลไม่เพียงไม่เลว อีกทั้งยังดีมากๆ เลยด้วย ตึกสองชั้นเล็กๆ ได้รับการตกแต่งงดงาม โคมไฟหลากสีสันที่แขวนดูมีชีวิตชีวา จนเมืองร้างแห่งนี้กลายเป็นคนละโลกไป
หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วเดินตามกลุ่มคนเข้าไปด้านใน ตลอดทางมีผู้คนเอ่ยทักทายกับชายผู้นั้นมาตลอดทาง นอกจากด้านนอกที่มีคนเฝ้าดูแลอยู่ข้างหน้าแล้ว คนที่อยู่ด้านในนั้นยังสนุกสนานกันตามปกติ หนานกงมั่วกวาดตามองไปรอบๆ มองเห็นสตรีที่คอยร่ายรำรินเหล้า บางคนหัวเราะสนุกสนานบางคนหัวเราะเจือความโกรธแค้น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เต็มใจทุกคน
มองเห็นพวกเขาเดินเข้ามา ห้องโถงเสียงดังพลันเงียบขึ้นมาทันใด สายตาของผู้คนส่วนใหญ่หยุดอยู่ที่หนานกงมั่ว แน่นอนว่าสายตาของสตรีบางส่วนมองไปที่เว่ยจวินมั่ว เว่ยจวินมั่วยื่นมือออกไปคว้าหนานกงมั่วเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของตนเอง สายตาเย็นชากวาดตามองทุกคน ถูกสายตาเย็นชามองมา ทุกคนขนลุกซู่รีบหันหลบทันใด
ชายที่พาพวกเขามากลับมองไม่เห็นสายตาของเว่ยจวินมั่ว ดังนั้นเขาจึงหัวเราะหยัน เห็นได้ชัดว่ากำลังเย้ยหยันเว่ยจวินมั่วมาถึงที่นี่ยังไม่เข้าใจถึงสถานะของตนเอง
“พี่หวัง สองคนนี้คือใครหรือ” มีคนเอ่ยถามด้วยความสงสัย แม้ว่าคนทั้งสองจะสวมเสื้อผ้าธรรมดา ทว่าเพียงมองดูลักษณะท่าทีก็รู้ว่ามิใช่คนธรรมดา แม้คนธรรมดาทั่วไปใช่ว่าจะไม่มีบุรุษหรือสตรีที่รูปลักษณ์งดงาม แต่หากงดงามโดดเด่นทั้งสามีภรรยานั้นหาไม่ง่ายเลย
ชายคนนั้นโบกมือ ยิ้มพลางเอ่ย “ใครจะรู้ ไม่แน่อาจจะเป็นคุณหนูคุณชายตระกูลไหนที่หนีตามกันมา เพียงแต่…ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว…หึหึ ไม่พูดแล้ว ข้ายังต้องพาพวกเขาไปพบหัวหน้า”
ทุกคนโห่ร้องขึ้นมา “พาคนรูปงามมาถึงสอง ครั้งนี้พี่หวังคงจะรวยแล้ว”
หนานกงมั่วซุกใบหน้าลงกับอ้อมอกของเว่ยจวินมั่ว คนนอกคิดว่านางหวาดกลัว แท้จริงแล้วนางอดกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้ ยังกัดแขนเขาเอาไว้แน่นด้วย หนานกงมั่วรู้สึกว่าน่าสนุก นางไม่เคยเห็นคนโง่ที่กล้าถึงเพียงนี้มาก่อน แม้ใบหน้าของเว่ยซื่อจื่อจะดูไม่ออกถึงอารมณ์ใดๆ แต่ความจริงแล้วมีไอสังหารคุกรุ่น หากคนของวังจื่อเซียวอยู่ที่นี่ก็คงจะแหลกละเอียดไปแล้ว
“ไปไปไป” ชายคนนั้นดันหลังเว่ยจวินมั่วจะให้พวกเขาเข้าไปด้านใน
เว่ยจวินมั่วโอบประคองหนานกงมั่วเอาไว้ มองชายตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา ชายคนนั้นชะงักกำลังจะดึงมือกลับ แต่เมื่อนึกได้ว่าที่นี่คือถิ่นของตน ตนเองกลับมาถูกเด็กหนุ่มข่มเอาได้พลันรู้สึกเสียหน้าขึ้นมา เอ่ยด้วยใบหน้าเหี้ยมโหด “มองอะไร ยังไม่ไปอีก”
เว่ยจวินมั่วหลุบสายตาลง มองหนานกงมั่วที่อยู่ในอ้อมแขนของตนแล้วจึงหมุนตัวเดินเข้าไปด้านใน
ด้านหลังหอเฟิงไหลไม่ได้ครื้นเครงเหมือนด้านหน้า ตั้งแต่ประตูทางเข้าไปยังเรือนด้านในมีองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่ไม่น้อย หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วล้วนชำนาญ แน่นอนมองปราดเดียวก็ดูออก องครักษ์เหล่านี้แม้ไม่ได้รับการฝึกตามมาตรฐานแต่อย่างไรก็มีวรยุทธอยู่บ้าง ล้วนมีดาบ คงมิใช่รังโจรที่คนทั่วไปจะเข้าได้
“หยุด ทำอะไร” องครักษ์ที่ยืนเฝ้าหน้าประตูขัดขวาง เอ่ยเสียงดัง
ชายแซ่หวังคนนั้นรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ในเมืองมีคู่ชายหญิงเข้ามาใหม่ ก็เลยจะพามาให้หัวหน้าทุกท่านได้เห็น พี่ชายได้โปรดช่วยรายงานด้วย” องครักษ์ผู้นั้นเหลือบมองหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วที่อยู่ด้านหลังเล็กน้อย พลันเผยรอยยิ้มที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ออกมาทันที รับเงินที่ชายคนนั้นยัดให้ เอ่ย “รอก่อน ข้าจะไปรายงาน” จากนั้นจึงเดินเข้าไปด้านใน
ใช้เวลาไม่นาน องครักษ์ที่พึ่งเดินเข้าไปกลับออกมาทันที เอ่ย “พวกเจ้าเข้าไปเถิด”
“ขอบคุณ ขอบคุณ” ชายแซ่หวังคนนั้นรีบกล่าวขอบคุณแล้วเดินนำทั้งสองคนเข้าไปด้านใน หนานกงมั่วเลิกคิ้ว ดูเหมือนผู้ที่ดูกว้างขวางคนนี้จะมิได้มีฐานะสูงเท่าใดนักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ แต่นางยิ่งรู้สึกแปลกใจว่าคนเหล่านี้มีที่มาที่ไปเช่นไร
ด้านในเรือนนั้นยิ่งมั่วโลกีย์สุดจะทนยิ่งกว่าโถงด้านนอกเสียอีก ชายหญิงที่ดูอายุแตกต่างนั่งร่ำสุราอยู่ด้วยกัน ที่นั่งอยู่จริงๆ ความจริงมีเพียงสามบุรุษหนึ่งสตรี ชายหญิงที่เหลือบางคนนั่งยองๆ บางคนคุกเข่า บางคนประจบรินเหล้าอยู่ด้านข้างใครบางคน ผู้ที่นั่งอยู่ตำแหน่งเหนือสุดนั้นเป็นชายวัยกลางคนอายุราวๆ สามสิบกว่าปี มีรูปลักษณ์ธรรมดา เพียงแต่ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังและราคะทำให้คนมองรู้สึกขยะแขยง เท้าข้างหนึ่งของเขาเหยียบอยู่บนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งถือจอกเอาไว้ หญิงงามสองคนคุกเข่าอยู่บนพื้นนวดขาให้เขา หญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อยนางหนึ่งพิงอยู่ด้านข้างเขา หญิงสาวพิงอยู่บนตัวเขาด้วยท่าทีโอนอ่อนผ่อนตาม ทว่าสีหน้ากลับมีความอับอายและสะกดกลั้น
นอกจากนี้ชายทั้งสองเองก็ไม่ต่างกัน แม้กระทั่งชายตาเดียวหนึ่งในนั้นจับหญิงสาวกดลงกับพื้นและทำอันตรายต่อหญิงสาว คนอื่นนั้นราวกับไม่สนใจ ยังคงหัวเราะสนุกสนาน สิ่งที่ทำให้หนานกงมั่วประหลาดใจคือสตรีชุดแดงผู้นั้น สถานการณ์เช่นนี้หญิงสาวกลับนั่งมองอยู่ได้โดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา ต่อให้หนานกงมั่วที่เห็นโลกมามากมายก็ยังคิดว่าตนเองรับไม่ไหว ด้านข้างของสตรีนางนั้นมีชายหนุ่มอายุน้อยท่าทีมีความรู้นั่งอยู่ด้วย สีหน้าของทั้งสองนั้นแข็งทื่อ ทำได้เพียงรินเหล้าให้สตรีนางนั้นโดยไม่อาจต่อต้าน กระทั่งเมื่อหญิงสาวยกมือขึ้นมาบีบใบหน้าของพวกเขาจึงได้ฝืนยิ้มแข็งกระด้างออกมา