ตอนที่ 394 รับทหารกบฏกลับคืน ทำคุณงามความดี (3)
หนานกงมั่วเอ่ยถาม “พวกเจ้าได้ร่วมปล้นฆ่าชาวเมืองดั่งเช่นทหารกบฏหรือไม่”
“ไม่เคยขอรับ” จ้าวเฟยเอ่ยด้วยความมั่นใจ “แม่ทัพอู่เต๋อไม่ได้เชื่อใจพวกเราเพียงนั้น ดังนั้นจึงได้ส่งพวกเรามาล้อมกองทัพของทหารหลิงโจวเอาไว้ ยามนี้หลิงโจวยากแค้น เสบียงอาหารทุกอย่างล้วนอยู่ในมือของเชาอู่ พวกเราไม่อาจต่อต้านได้ ดังนั้นจึง…” ไม่ว่าอย่างไรการยอมจำนนต่อกบฏก็เป็นเรื่องที่ยากจะแก้ตัว
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องนี้ข้าจะส่งคนไปสืบเอง ขอเพียงสิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริง ข้ารับรองว่าฝ่าบาทจะไม่เอาความกับพวกท่าน แน่นอนทุกท่านต้องรู้ด้วย ต้องทำคุณงามความดีชดใช้เยี่ยงไร”
ทุกคนรู้สึกยินดีขึ้นมา ราวกับไม่อยากจะเชื่อ ไม่สิ ความจริงพวกเขานั้นไม่เชื่อเท่าใดนัก นิสัยของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นอย่างไรทุกคนต่างรู้กันเป็นอย่างดี เรื่องการจำนนต่อกบฏนั้นเป็นเรื่องสุดวิสัย หากมิใช่เพราะครอบครัว และเชาอู่ก็มิใช่คนที่จะทำเรื่องใหญ่ให้สำเร็จได้ พวกเขาไม่มีทางเชื่อฟังคำสั่งของหนานกงมั่วง่ายๆ เป็นแน่
“จวิ้นจู่…เรื่องนี้ จวิ้นจู่ให้ความมั่นใจได้หรือไม่ขอรับ”
หนานกงมั่วควงหมุนนิ้วเบาๆ ป้ายทองก็แกว่งไกวหมุนรอบมือของนาง “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว หากไม่เชื่อก็ไปเสียตอนนี้เถิด เพียงแต่…หากข้าจับได้ว่าทำสิ่งใดที่ไม่สมควรแล้วล่ะก็ คงไม่มีโอกาสครั้งที่สองแล้ว”
แน่นอนว่าไม่มีใครไป กองทัพของอาณาจักรเซี่ยที่ยิ่งใหญ่นั้นเข้มงวด ขอเพียงราชสำนักต้องการตามหา ไม่มีผู้ใดที่ราชสำนักจะหาตัวไม่เจอ ไม่ว่าจะยอมจำนนต่อศัตรูหรือหนีทหารก็ล้วนมีโทษถึงตาย ไม่ว่าสิ่งที่หนานกงมั่วบอกนั้นจะจริงหรือเท็จ อย่างน้อยในมือของนางก็มีป้ายทองอาญาสิทธิ์ มีตำแหน่งจวิ้นจู่ พวกเขาจึงจำต้องเลือกที่จะเชื่อ
“แล้วแต่จวิ้นจู่จะบัญชาขอรับ” จ้าวเฟยเอ่ย
หนานกงมั่วพยักหน้า เอ่ย “ดีมาก ตอนนี้มาจัดการกำลังทหาร ทหารทุกฝ่ายแบ่งออกเป็นสี่กอง พวกท่านทั้งสี่ดูแลคนละกอง ครึ่งหนึ่งประจำอยู่ที่นี่ ส่วนที่เหลือไปรวมตัวกันกับรองแม่ทัพเจียงกองทัพหลิงโจวที่หมู่บ้านห่างออกไปสิบลี้”
“จวิ้นจู่ พวกเราไม่มีเสบียงอาหารนะขอรับ” จ้าวเฟยเอ่ยเตือน เพื่อควบคุมกองทัพราชสำนักที่ยอมจำนนเหล่านี้เชาอู่จึงต้องควบคุมอาหารของกองทัพและม้า ส่วนเสบียงอาหารที่เก็บสะสมไว้ก็มีจำนวนจำกัด ในค่ายของพวกเขายามนี้ก็มีเสบียงอาหารไม่มากนัก
หนานกงมั่วโบกปัดมือ เอ่ย “ไม่ต้องกังวล ไม่นานก็จะมีอาหารแล้ว ส่วนสองวันนี้…พรุ่งนี้เชาอู่จะส่งเสบียงอาหารไปยังแต่ละกองทัพใช่หรือไม่ จ้าวเฟย พาคนไปปล้นเสบียงกลับมา ให้ข้าได้เห็นผลงานชดเชยความผิดของท่าน”
“ขอรับ จวิ้นจู่” จ้าวเฟยยกมือขึ้นประสานเอ่ยตอบรับ
“จวิ้นจู่ คนพวกนี้จัดการเยี่ยงไรหรือ” ด้านข้าง สวี่ถิงเอ่ยถาม
เขาหมายถึงคนสนิทของเชาอู่และและทหารกบฏที่ร่วมก่อกบฏมากับเชาอู่ตั้งแต่แรกเริ่ม ในใจพวกเขาเองรู้ดี ใครก็ช่วยพวกเขาไม่ได้ แน่นอนคงไม่เชื่อฟังง่ายๆ เพียงนั้น หนานกงมั่วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “ขังเอาไว้ก่อน รอจนกองกำลังของราชสำนักมาแล้วค่อยว่ากันอีกที คนที่เป็นหัวหน้า หากพบว่ารังแกข่มเหงประชาชน สังหารให้หมด”
“ขอรับ จวิ้นจู่”
เมื่อทุกคนแยกตัวออกไป ลิ่นฉังเฟิงจึงพ่นลมหายใจออกมา อย่าเห็นว่าพวกเขาทั้งสองนั้นมีท่าทีสบายๆ ความจริงแล้วลิ่นฉังเฟิงระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา หากควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ อย่างน้อยพวกเขาทั้งสองก็ต้องหนีออกไปได้ เรื่องราวกลับราบรื่นกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยเสียงเบา “โชคดีที่ไม่มีเรื่องอันใด” หนานกงมั่วตอบกลับเสียงเรียบ “นอกจากพวกจิตใจทะเยอทะยานนั่นแล้ว คนธรรมดาทั่วไปหากไม่มีเรื่องอันใดก็ไม่มีทางก่อกบฏหรอก โดยเฉพาะทหารเหล่านั้น ต่อให้ไม่สนชีวิตตนเอง อย่างไรก็ต้องนึกถึงครอบครัวใช่หรือไม่” ยามนี้มิใช่เมื่อครั้งบ้านเมืองวุ่นวายยามก่อตั้งประเทศ ที่จะสืบหาชาติตระกูลแล้วจะสืบไม่ได้ ต่อให้เจ้าเปลี่ยนเจ้านายสามครั้งต่อปีก็ใช่ว่าจะไม่มีใครรู้ ยามนี้ขอเพียงราชสำนักออกคำสั่งให้สืบค้น แม้แต่บรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเจ้าก็ยังสืบได้ชัดเจน
ลิ่นฉังเฟิงขมวดคิ้ว “เจ้าปกป้องพวกเขาต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ อันตรายเกินไปหรือไม่ อย่าลืมว่านิสัยของฝ่าบาทเป็นเช่นไร…”
หนานกงมั่วยิ้มเย็น “หลานชายของเขาก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น มีคนมาจัดการผลที่ตามมาก็ไม่เลวแล้ว วางใจเถิด กลับไปข้าจะไปเขียนฎีกาถวายรายงานฝ่าบาทด้วยตนเอง”
“รอจวินมั่วกลับมาก่อนค่อยว่ากันดีหรือไม่” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย
หนานกงมั่วเอ่ย “เรื่องนี้เป็นความคิดของข้าเพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวกับจวินมั่ว ท่านจำเอาไว้เสีย”
ลิ่นฉังเฟิงชะงัก ไม่นานก็เข้าใจความหมายของหนานกงมั่ว หนานกงมั่วถวายขึ้นไป ต่อให้ฝ่าบาทไม่เห็นด้วยอย่างมากก็เพียงคิดว่าหญิงสาวใจอ่อน อ่อนโยนเพียงเท่านั้น แต่หากมีชื่อของเว่ยจวินมั่วร่วมด้วย หากฝ่าบาทเห็นด้วยก็ดีไป หากฝ่าบาทไม่เห็นด้วยเว่ยจวินมั่วคงต้องวุ่นวาย ยักไหล่เบาๆ ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย “โชคดีจริงๆ ที่ข้าไม่ได้เป็นขุนนางในราชสำนัก” อยู่ใกล้กษัตริย์ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ คบค้าสมาคมกับฝ่าบาทก็เหมือนกับเอาศีรษะไปแขวนเล่น
“กลับกันเถิด” หนานกงมั่วเอ่ย “พวกคนในกองทัพก็ให้เวยลอบจับตามองพวกเขาเอาไว้”
“เอ๋” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ย “เจ้าไม่เชื่อใจพวกเขาหรือ”
หนานกงมั่วเอ่ย “ข้าสนิทสนมกับพวกเขาหรือ”
“หากพวกเขามีความเคลื่อนไหวอันใด…”
“ฆ่าทิ้งเสีย” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ หมุนตัวเดินตรงออกไปนอกค่ายทหาร ลิ่นฉังเฟิงตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติกลับคืนมา ยกมือขึ้นลูบจมูกเบาๆ สาวเท้าตามออกไปอย่างรวดเร็ว
“ช้าก่อน” เสียงหญิงสาวดังขึ้นไม่ไกล ทั้งสองหันกลับคืนไปพลันมองเห็นหญิงสาวชุดแดงวิ่งโซซัดโซเซเข้ามาหาพวกเขา ลิ่นฉังเฟิงเลิกคิ้ว เอ่ย “แม่นาง มีเรื่องอันใดอีกหรือ”
หญิงสาวคนนั้นวิ่งมาคุกเข่าลงตรงหน้าหนานกงมั่ว เอ่ย “จวิ้นจู่ได้โปรดรับข้าเอาไว้ ข้ายอมเป็นวัวเป็นม้ารับใช้จวิ้นจู่ทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วขมวดคิ้ว เอ่ย “ข้าไม่ต้องการบ่าวรับใช้ ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ข้าจะให้เงินเจ้า ตอนนี้เจ้าไปอยู่หมู่บ้านเล็กๆ ข้างหน้านี้เสียก่อน รอหลิงโจวสงบลงแล้วค่อยกลับไปใช้ชีวิตของเจ้าเถิด”
หญิงสาวส่ายหน้า เอ่ยยืนยัน “ข้าไม่เหลือใครแล้ว ชีวิตนี่ก็เป็นจวิ้นจู่ที่ช่วยเอาไว้ จวิ้นจู่โปรดอย่าได้รังเกียจ ข้าทำได้ทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วมองสำรวจนาง ส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย “เจ้าทำอันใดไม่ได้หรอก หากเจ้าไม่มีที่ไปจริงๆ เดี๋ยวข้าจะให้ฉังเฟิงจัดการที่อยู่ให้กับเจ้า” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แม่นางมั่วกล่าวถูกแล้ว แม่นาง ข้างกายแม่นางมั่วไม่ขาดคนจริงๆ เจ้าไปใช้ชีวิตของเจ้าให้ดีเถิด” อย่างอื่นไม่ต้องเอ่ยถึง หญิงสาวผู้นี้เพียงมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่เหมาะที่จะเป็นสาวใช้ และไม่เหมือนคุณหนูที่เติบโตมาในตระกูลสูงศักดิ์ เว่ยจวินมั่วยอมปล่อยให้คนแบบนี้อยู่ข้างกายหนานกงมั่วก็คงแปลก ยิ่งไปกว่านั้นแม่นางผู้นี้นอกจากรูปร่างหน้าตาสะสวยแล้วก็ไม่มีความสามารถพิเศษอันใด จะรับสาวใช้อย่างไรก็ต้องรู้รากเหง้าด้วย
หญิงสาวชุดแดงหลุบตาลงไม่เอ่ยสิ่งใด เนิ่นนานก่อนจะเอ่ย “แม้บ่าวจะทำอันใดไม่ได้มาก แต่ข้าเรียนรู้ได้ ทำสิ่งใดก็ได้ทั้งนั้น ต่อให้…ต่อให้จวิ้นจู่จะสังหารผู้ใด ข้าเองก็เรียนรู้ได้ ขอจวิ้นจู่ได้โปรดรับข้าเอาไว้ด้วยนะเจ้าคะ”
มองหญิงสาวใบหน้างดงามตรงหน้าที่ดูราวกับมีความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม หนานกงมั่วย่นหัวคิ้วเบาๆ ใช่ว่านางไม่เข้าใจความคิดของสตรีผู้นี้ ญาติทุกคนและศัตรูก็ตายแล้ว เหลือนางเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ หากมิใช่คนที่เข้มแข็งและรักอิสระ เช่นนั้นก็คงกำลังหาอีกฝ่ายที่เป็นที่พักพึงได้ โชคดีที่หนานกงมั่วเป็นสตรี หากเป็นชายไม่แน่ว่าคงรักนางไปแล้ว สตรีในยุคสมัยนี้ ยอมสละตัวเป็นบ่าวรับใช้ในสถานการณ์เยี่ยงนี้ก็สมเหตุสมผล