ตอนที่ 400 พบกับกงอวี้เฉินอีกครั้ง (3)
“พี่จิ้น นี่ท่านหมายความเช่นไร” รอจนหนานกงมั่วนั่งลง ชายผู้นั้นจึงสะกดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ ลุกขึ้นเอ่ยอย่างไม่พอใจ
จิ้นจั๋วเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรคือหมายความเช่นไร พี่เชาเป็นแขกของข้า ซิงเฉิงจวิ้นจู่เองก็เป็นแขกของข้าเช่นกัน จะว่าไป วันนี้เขาฝูวั่งของข้านับว่าเป็นเกียรติไม่น้อย” หนานกงมั่วหลุบตาลง เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “หัวหน้าจิ้น เขาฝูวั่งแห่งนี้เกรงว่าจะไม่ใช่ของท่านหรอกหรือไม่” จิ้นจั๋วเลิกคิ้วอย่างสนใจ “โอ้ เช่นนั้นจวิ้นจู่ลองว่ามาที เขาฝูวั่งแห่งนี้เป็นของผู้ใดกัน”
หนานกงมั่วเอ่ย “แน่นอนว่าต้องเป็นของราชสำนัก”
จิ้นจั๋วหัวเราะออกมา เนิ่นนานจึงหยุดและหันไปมองหนานกงมั่ว เอ่ย “น่าเสียดาย…ตอนนี้เขาฝูวั่งอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า ต่อให้กองทัพของราชสำนักอยากข้ามผ่านเขาฝู่วั่งไป ก็ต้องได้รับความยินยอมจากข้าจึงจะผ่านไปได้” หนากงมั่วมองเขาด้วยท่าทางนิ่งสงบ เอ่ย “ดูไม่ออกเลยว่าหัวหน้าจิ้นจะเป็นคนที่มองเฉพาะตรงหน้าไม่สนใจอนาคต” จิ้นจั๋วราวกับสนอกสนใจในวาจาของหนานกงมั่ว เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “จวิ้นจู่หมายความเช่นไรหรือ”
หนานกงมั่วเอ่ยถาม “หัวหน้าจิ้นคิดจะก่อกบฏดังเช่นเชาอู่หรือ”
จิ้นจั๋วยักไหล่ เอ่ย “ข้าเป็นจอมยุทธ์ ไม่สนใจเรื่องอำนาจยิ่งใหญ่คับฟ้าหรอก”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยามนี้หัวหน้าจิ้นเป็นปฏิปักษ์กับราชสำนัก มีข้อดีอย่างไร” หนานกงมั่วเอ่ยถาม “ยามนี้หลิงโจวกำลังวุ่นวาย แต่หัวหน้าจิ้นคิดว่าจะวุ่นวายไปได้นานเพียงใด ต่อให้กองทัพของราชสำนักไม่ตีผ่านเขาฝูวั่งแล้วอย่างไร อย่างมากก็แค่ถ่วงเวลาออกไปอีกสักนิดก็เท่านั้น แต่เพียงราชวงศ์ยื่นมือเข้ามา…หัวหน้าจิ้นคิดว่าเจ้าเมืองยังจะเป็นตานซินอยู่หรือ”
จิ้นจั๋วทำราวกับไม่ใส่ใจ “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ หลายปีมานี้คนที่ต้องการบุกเข้ามาในรังของข้าใช่ว่าจะไม่มี แต่ตอนนี้ข้าก็ยังอยู่ดี ทว่าคนพวกนั้น…”
หนานกงมั่วแค่นหัวเราะเสียงเย็น เอ่ย “ถ้าหากเป็นข้า คงไม่ต้องเสียแรงมากมายมาล้อม หากราชสำนักส่งทหารหลายหมื่นคนมาล้อมเขาฝูวั่งเอาไว้ หัวหน้าจิ้นคิดจะทำอย่างไร ไม่ผิด เขาฝูวั่งนั้นสูงชัน กองทัพของราชสำนักคิดจะเข้ามาในเขาฝูวั่งนั้นมิใช่เรื่องง่าย แต่เช่นกัน ทางขึ้นเขาฝูวั่งนั้นมีเพียงเส้นทางเดียว หากปิดเส้นทางนี้เอาไว้ หัวหน้าจิ้นคิดจะพาคนของท่านเข้าป่าไปเป็นคนป่าหรือ ต่อให้ท่านมีอาหารกักตุน หนึ่งเดือนไม่ได้ สามเดือน สามเดือนไม่ได้ครึ่งปี ครึ่งปีไม่ได้หนึ่งปี สองปี หัวหน้าจิ้นคิดว่าความคิดนี้ของข้าเป็นเช่นไร”
“พิษร้ายสุดคือจิตใจของสตรี” จิ้นจั๋วถอนหายใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหันมายิ้มให้หนานกงมั่ว เอ่ย “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ วิธีการนี้ของท่านนั้นไม่เลว เพียงแต่ว่า ราชสำนักจะใช้ทหารนับหมื่นมาถ่วงเวลากับเขาฝูวั่งเล็กๆ ของเรากว่าปีสองปีเลยหรือ ราชสำนักคงไม่ยอมเสียหน้ากับเรื่องนี้หรอกใช่หรือไม่” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “หากครั้งนี้กองกำลังของราชสำนักไม่อาจผ่านเขาฝูวั่งไปได้ เช่นนั้นก็คงยิ่งเสียหน้าแล้ว ใต้หล้า ไม่มีที่ใดที่ไม่ใช่แผ่นดินของกษัตริย์ ผู้เป็นผู้นำดินแดน ไม่มีผู้ใดไม่ใช่ราษฎรของกษัตริย์ หากกองทัพทหารไม่สามารถทะลุผ่านดินแดนของตนเองได้ หัวหน้าจิ้นคิดว่าสำหรับฝ่าบาทแล้ว สิ่งไหนน่าขายหน้ามากกว่าหรือ” อยากให้ฝ่าบาทขายหน้า ก็ต้องเตรียมตัวเสียเลือดเสียเนื้อพันลี้เอาไว้ด้วย
จิ้นจั๋วนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับชายวัยกลางคนแซ่เชาผู้นั้น ยิ้มเอ่ย “สิ่งที่ซิงเฉิงจวิ้นจู่เอ่ยข้าไม่อาจต่อต้านได้ พี่เชา ท่านเห็นว่าเยี่ยงไร”
ชายวัยกลางคนแซ่เชาผู้นั้นเริ่มร้อนใจ เอ่ยเสียงสูง “พี่จิ้น ขอเพียงท่านช่วยอย่าให้กองทัพของราชสำนักผ่านเขาฝูวั่งไปได้ เมื่อเราทำสำเร็จแล้วแม่ทัพอู่เต๋อยินดีจะยกเขาฝูวั่งให้กับพี่จิ้น”
จิ้นจั๋วคล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้มมองหนานกงมั่ว เอ่ย “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ ข้อเสนอนี้ของพี่เชาดูท่าจะไม่เลว ท่านคิดว่าท่านจะเพิ่มอะไรสักหน่อยหรือไม่”
มุมปากของหนานกงมั่วกระตุกยิ้มเย็น “เกรงว่าคงทำให้หัวหน้าจิ้นต้องผิดหวังแล้ว จวิ้นจู่เช่นข้ามิได้ทำการค้า”
จิ้นจั๋วยิ้ม เอ่ย “”จวิ้นจู่ไม่ใช่ แต่คุณชายลิ่นใช่นะขอรับ หรือว่า…เป็นเจ้าสำนักลิ่น”
ลิ่นฉังเฟิงเอนตัวพิงเก้าอี้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข่าวสารของหัวหน้าจิ้นช่างทั่วถึงเสียจริง เพียงแต่ ในเมื่อหัวหน้าจิ้นรู้ตัวตนของข้าแล้ว ท่านมั่นใจ…ว่ายังอยากคุยข้อเสนออยู่อีกหรือไม่”
จิ้นจั๋วหัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันใด “วังจื่อเซียวนั้นร้ายกาจ เพียงแต่…หากคุณชายจื่อเซียวอยู่ที่นี่ หรือเกณฑ์คนของวังจื่อเซียวมาบางทีอาจจะทำลายเขาฝูวั่งของข้าให้สิ้นซากได้ แต่ว่า…อาศัยเพียงเจ้าสำนักและซิงเฉิงจวิ้นจู่รวมไปถึงไม่กี่คนนั่น เกรงว่าคงจะแย่สักหน่อย ทั้งสองท่านไม่เคยได้ยินประโยคหนึ่งหรือ มังกรแข็งแกร่งไม่อาจสยบงูได้”
หนานกงมั่ววางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะไม่หนักไม่เบา เอ่ยเสียงเรียบ “หากเป็นมังกรจริงๆ มีหรือจะสยบงูไม่ได้ มังกรที่สู้งูไม่ได้เช่นนั้นคงมิใช่มังกร”
บรรยากาศในห้องเริ่มตึงเครียด ไม่ว่าจะเป็นคนของจิ้นจั๋วหรือทุกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังหนานกงมั่วและลิ่นฉังเฟิงต่างยื่นมือกระชับอาวุธแน่น มองอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง คนที่ดีอกดีใจเพียงคนเดียวนั่นก็คือชายที่เชาอู่ส่งมาผู้นั้น “ถูก ถูกแล้ว หัวหน้าจิ้น สังหารพวกเขาเสีย เพียงสังหารพวกเขาได้ ท่านต้องการอะไรแม่ทัพอู่เต๋อนั้นยินดีให้ท่านได้สมปรารถนาเป็นแน่”
จิ้นจั๋วแม้มองยังคร้านจะมองเขา สายตาจับจ้องอยู่ที่หนานกงมั่ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ ท่านเป็นจวิ้นจู่ที่ถูกแต่งตั้ง เป็นบุตรีของฉู่กั๋วกง อีกทั้งยังเป็นพระชายาผู้สืบทอดจวิ้นอ๋อง สูงส่งยิ่งกว่าจอมยุทธ์ที่แฝงตัวอยู่ในยุทธภพเช่นเรา หากข้าตาย ก็คงเสียไปเพียงหนึ่งชีวิต แต่ถ้าท่านเป็นอันใดไป…”
หนานกงมั่วยิ้มบาง “หัวหน้าจิ้นกล่าวหนักเกินไปแล้ว ชีวิตใครไม่ใช่ชีวิต ชีวิตของข้าหนานกงมั่วก็มิได้มีมากกว่าใคร ยิ่งมิได้สำคัญถึงขึ้นให้หัวหน้าจิ้นต้องมาชดใช้ด้วยชีวิตของท่าน ดังนั้น ข้าจึงรู้สึกแปลกใจ หัวหน้าจิ้นทำให้ข้าลำบากใจ นั่นเป็นเพราะเหตุใดกัน” จิ้นจั๋วนั่งกลับคืนไปอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “แน่นอนว่าเพื่ออำนาจ จวิ้นจู่ไม่ได้ยินคำสัญญาของพี่เชาหรือ น่าเสียดายจวิ้นจู่ไม่ยอมทำการค้ากับข้า ข้าเชื่อว่าจวิ้นจู่จะให้ข้าได้มากกว่าพี่เชาอย่างแน่นอน”
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คำสัญญาที่ไม่เป็นจริง ข้าไม่เชื่อว่าหัวหน้าจิ้นจะไร้เดียงสาเช่นนี้ ในเมื่อหัวหน้าจิ้นไม่ยอมบอก เช่นนั้นข้าคงต้องคาดเดาด้วยตนเอง…” หนานกงมั่วกวาดตามองสำรวจจิ้นจั๋ว เนิ่นนานจึงเอ่ย “น่าเสียดาย กองกระดูกริมแม่น้ำเหล่านั้น ยังเป็นสามีที่หญิงสาวใฝ่ฝันถึง ไม่รู้ว่าวันนี้หากหัวหน้าจิ้นตายไปด้วยกันกับข้าที่นี่ จะมีคนเป็นห่วงเพราะความคิดถึงจนต้องเสียน้ำตาหรือไม่”
ท่าทีเกียจคร้านของจิ้นจั๋วชะงัก สายตาแหลมคมจับจ้องไปยังหนานกงมั่ว เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างผ่อนคลาย “จวิ้นจู่กำลังเอ่ยสิ่งใดอยู่หรือ ข้าเป็นคนไม่ละเอียดอ่อน ไม่เข้าใจบทกวีใดๆ”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เชิดปลายคางขึ้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พู่ผูกใจที่เอวของท่านดูไม่เลวเลย คนที่สามารถถักของแบบนี้ออกมาได้ คิดว่าคงเป็นหญิงงามที่มีฝีมือไม่น้อย จะว่าไป…ข้านั้นไม่เข้าใจกับของพวกนี้เท่าใดนัก ช่างละอายเสียจริง หากมีโอกาส คงต้องขอคำชี้แนะสักหน่อยแล้ว” จิ้นจั๋วเงียบไปเนิ่นนาน ดึงหยกที่มีพู่ผูกใจสีแดงออกจากเอว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สิ่งนี้หรือ ซื้อตามท้องถนน เห็นว่าไม่เลว เพียงตำลึงสองตำลึงเท่านั้น”
ลิ่นฉังเฟิงที่นั่งอยู่ด้านข้างหนานกงมั่วก้มหน้ากลั้นหัวเราะ มองเห็นสายตาของจิ้นจั๋วที่มองมายังตนเองจึงกระแอไอเบาๆ เอ่ย “เช่นนั้นหัวหน้าจิ้นคงซื้อถูกของดีแล้ว พู่ผูกใจอันนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงแผ่นหยกชิ้นนั้นแน่นอนว่าเป็นของชั้นสูง เพียงเอ่ยถึงเส้นด้ายที่ใช้ถักเงื่อนผูกใจ ด้ายไหมจวนเจียงหนิงที่ถูกส่งเข้ามาในวัง อ่า อาภรณ์ของฮ่องเต้เองก็ใช้ด้ายประเภทนี้ อีกทั้งยังมีทองคำบริสุทธิ์และด้ายเงินแทรกเข้ามาด้วย งานฝีมือปัจจุบันนี้ช่างละเอียดปราณีตเสียจริง หากวางขายตามท้องตลาดทั่วไป อย่าว่าแต่สองตำลึงเลย สองร้อยตำลึงเงินเป็นใครใครก็ต้องแย่งชิงเพื่อซื้อของดีชิ้นนี้เป็นแน่”