ตอนที่ 414 เสียโฉมและความทะเยอทะยานที่น่ายกย่อง (2)
“เจ้า!” เจียงฉงเฟิงโมโหเป็นอย่างมาก แต่ว่าคารมคมคายของขุนนางทหารย่อมสู้ขุนนางนักปราชญ์ไม่ได้อยู่แล้ว เจียงฉงเฟิงพลันไม่รู้ว่าควรเริ่มเอ่ยจากตรงไหน แล้วอีกอย่าง สีหน้าของจ้าวเฟยและคนอื่นๆ ก็ซีดขาว ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นเช่นไร แต่พวกเขาต้องประสบความสำเร็จ ไม่เช่นนั้น แค่เรื่องที่พวกเขาเคยยอมจำนนต่อทหารกบฏ อนาคตในกองทัพใหญ่ของพวกเขาไม่มีทางไปได้ไกลแน่นอน
เห็นพวกเขามีท่าทีเช่นนี้ ตานซินยิ่งมีความมั่นใจมากกว่าเดิม “ขอหวงจั่งซุนโปรดตรวจสอบ โปรดช่วยกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเชียนเยี่ยก้มหน้าครุ่นคิดข้อดีและข้อเสียของเรื่องราว เขารู้ว่าตานซินควรถูกประหาร แต่ว่า…ตานซินเคยสร้างความดีความชอบให้เขา หากไม่ช่วยตานซินก็จะดูโหดเหี้ยมเกินไป แต่หากช่วยตานซิน…เขาก็ไม่มีคำอธิบายให้เสด็จปู่
หากเซียวเชียนเยี่ยเป็นฮ่องเต้ ตอนนี้ตานซินคงจะถูกตัดหัวไปแล้ว แต่น่าเสียดายที่เขามิใช่ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่ต้องการพรรคพวก แต่จวิ้นอ๋องกลับต้องการ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เซียวเชียนเยี่ยเงยหน้าขึ้นมองเจียงฉงเฟิงและคนอื่นๆ เขาถามเจียงฉงเฟิง “เจ้าเคยยอมจำนนต่อทหารกบฏเช่นนั้นหรือ ตานซินเอ่ยจริงหรือไม่” ในเมื่อยังตัดสินใจตอนนี้ไม่ได้ เซียวเชียนเยี่ยจึงปล่อยเรื่องนี้ไปก่อน
จ้าวเฟยและแม่ทัพสองสามคนเดินเข้ามาคุกเข่าลงบนพื้น เจียงฉงเฟิงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “กราบทูลฝ่าบาท ถึงแม้ว่าผู้บังคับการเจียงและคนอื่นจะเคยยอมจำนนต่อทหารกบฏ… แต่ที่พวกเขาทำไปก็เพราะถูกสถานการณ์บังคับ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขากลับตัวกลับใจได้ทันท่วงที ช่วยปกป้องทหารยอดฝีมือหลายหมื่นนายให้เรา และการโจมตีหลิงโจวในครั้งนี้ พวกเขาก็มีความดีความชอบใหญ่หลวง ฝ่าบาทโปรดเห็นแก่ที่พวกเขา…”
“พอได้แล้ว!” เซียวเชียนเยี่ยขัดจังหวะเขาด้วยสีหน้าทะมึน เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “นักปราชญ์ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม แม่ทัพต่อสู้เพื่อชัยชนะ ถึงแม้ตานซินจะมีความผิด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าประเทศชาติเขากลับไม่ยอมจำนน แต่แม่ทัพอย่างพวกเจ้า…” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจือความเย้ยหยัน
“ฝ่าบาทโปรดลงโทษพ่ะย่ะค่ะ” สีหน้าจ้าวเฟยและคนอื่นๆ พลันซีดขาว พวกเขายอมรับผิดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ช้าก่อนเพคะ” หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นมา
เซียวเชียนเยี่ยขมวดคิ้ว “ซิงเฉิงจวิ้นจู่ ข้ากำลังสอบสวนพวกเขา”
หนานกงมั่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ก็เพราะว่าเย่ว์จวิ้นอ๋องกำลังสอบสวนพวกเขา ดังนั้นหม่อมฉันจึงต้องกราบทูลเรื่องที่หม่อมฉันรู้ให้จวิ้นอ๋องทราบเพคะ” หนานกงมั่วยื่นมือออกไปหยิบฎีกาในมือของชวีเหลียนซิงที่อยู่ข้างหลังตัวเองแล้วจึงเอ่ยต่อ “นี่คือหลักฐานคำให้การของแม่ทัพทหารกบฏ ราษฎรและทหารที่ถูกบังคับให้ร่วมกองทัพเพคะ พวกเขาสามารถเป็นพยานได้ว่าที่แม่ทัพสองสามนายต้องทำเช่นนี้เป็นเพราะไร้ซึ่งทางเลือก แล้วอีกอย่าง พวกเขาไม่เคยทำร้ายอาณาจักรเซี่ยเพคะ” เห็นว่าเซียวเชียนเยี่ยดูคล้ายต้องการเอ่ยบางอย่าง หนานกงมั่วจึงยกฎีกาในมือขึ้น นางยิ้มพลางเอ่ย “ยิ่งไปกว่านั้น ในมือของหม่อมฉันคือฎีกาที่ฝ่าบาททรงประทานมา เย่ว์จวิ้นอ๋องรับไปดูด้วยเถิดเพคะ”
เซียวเชียนเยี่ยสะบัดมือโบกให้ผู้ติดตามของตัวเองรับฎีกามา หลังจากดูฎีกาทั้งสองฉบับแล้ว ฎีกาที่บอกว่าเป็นหลักฐานมิใช่สิ่งสำคัญ แต่เมื่อเห็นฎีกาที่ฮ่องเต้เขียนด้วยตัวเอง สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยก็เปลี่ยนไป จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองหนานกงมั่ว “ในเมื่อจวิ้นจู่มีฎีกาของเสด็จปู่ เหตุใดถึงไม่นำออกมาให้เร็วกว่านี้”
หนานกงมั่วเอ่ย “ฝ่าบาทมีราชโองการ หากเย่ว์จวิ้นอ๋องมิได้ทำอันใดไม่เหมาะไม่ควร หม่อมฉันและซื่อจื่อจะเข้าไปยุ่งไม่ได้เพคะ”
ดังนั้น เจ้าคิดว่าตอนนี้ข้าทำเรื่องไม่เหมาะไม่ควรอยู่เช่นนั้นหรือ หรือว่ารอให้ข้าตัดสินใจแล้วเจ้าก็รอดูเรื่องสนุกอยู่หรือ
เซียวเชียนเยี่ยสับสนไปหมด ทว่าเขาทำอันใดหนานกงมั่วไม่ได้ ดังนั้นจึงหันไปจัดการตานซิน เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ตานซินทุจริต ทำให้คันกั้นน้ำต้องพังทลาย ทหารกบฏบุกรุก เป็นภัยต่อราษฎร สมควรถูกประหาร ส่งตัวเขากลับไปเมืองหลวง รอคำสั่งจากฮ่องเต้”
“ฝ่า… ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ตานซินตกใจจนตัวสั่น เขาก้มหัวลงบนพื้นไม่ยอมขยับไปไหน หากถูกส่งตัวกลับเมืองหลวง รอฟังคำสั่งจากฮ่องเต้ เช่นนั้นผลลัพธ์คงแย่กว่าถูกประหารแน่นอน
เห็นตานซินตัวสั่น ราวกับอยากตายที่นี่ให้รู้แล้วรู้รอด หนานกงมั่วเลิกคิ้วขึ้นแล้วนึกถึงเงามืดในใจที่ฮ่องเต้มีต่อขุนนางเหล่านี้
…
ในลานหลังจวนหยาเหมิน คุณชายฉังเฟิงดื่มชาอย่างสบายใจ บิดขี้เกียจภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูหนาว “ดูเหมือนว่าข้าไม่ได้พักผ่อนเช่นนี้มานานแล้ว” ที่จริงก็ไม่นานนัก เพียงแต่สถานการณ์ในหลิงโจวกำลังวุ่นวาย เห็นเช่นนี้นานเข้าก็ทำให้คนรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ในโลกที่อันตราย อีกฝั่งหนึ่งหนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่วกำลังวางหมากรุกกันอยู่ ชวีเหลียนซิงยืนรับใช้พวกเขาสองคนอยู่ข้างหลังหนานกงมั่ว ลิ่นฉังเฟิงมองดูทั้งสอง แล้วรู้สึกว่าบรรยากาศช่างเงียบเหงา “ข้าคิดว่า… พวกเจ้า พวกเจ้าปล่อยให้เซียวเชียนเยี่ยแสดงความสามารถของตัวเองที่หลิงโจวไปหรือ ตอนนี้ชื่อเสียงของเซียวเชียนเยี่ยดีเพียงนั้น ข้าคิดว่า…ชาวเมืองหลิงโจวคงจะจำได้แต่เย่ว์จวิ้นอ๋อง จำคนช่วยอย่างพวกเจ้าไม่ได้”
ช่วงนี้เซียวเชียนเยี่ยพาคนของตัวเองวิ่งเต้นช่วยเหลือราษฎรที่กำลังเดือดร้อน สำหรับราษฎรในหลิงโจวที่กำลังจะหนาวตาย อดตาย แน่นอนว่าเขาเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ที่ลงมายังโลก แต่ราษฎรเหล่านั้นกลับไม่รู้ว่าที่หลิงโจวต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะเซียวเชียนเยี่ย หลิงโจวคือดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ของประเทศชาติ แต่กลับยากจนมากกว่าดินแดนอื่นๆ ก็ไม่รู้ว่าเงินที่ตานซินได้มา เซียวเชียนเยี่ยใช้ไปแล้วเท่าใด
หนานกงมั่วยิ้มน้อยๆ “คุณชายฉังเฟิง โชคดีที่เจ้าไม่เข้าไปเป็นขุนนาง”
“เจ้าหมายความว่าเช่นไร” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยอย่างไม่พอใจ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนัก เข้าไปต่อสู้กับคนเฒ่าคนแก่เหล่านั้น แต่แม่นางมั่วเอ่ยเช่นนี้ราวกับกำลังดูถูกเขา
หนานกงมั่วยิ้มแล้วจึงเอ่ยตอบ “เรื่องต้องห้ามของราชสำนักมิใช่เรื่องที่เจ้าไร้ความสามารถ หรือเจ้ามีความสามารถมากเกินไป แต่เป็นเรื่องที่เจ้าไม่ไว้หน้าคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าเจ้า เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้อยากให้เย่ว์จวิ้นอ๋องมีชื่อเสียง มีความดีความชอบ แต่เจ้ากลับจะฉีกหน้าเขา เจ้าคิดว่าฮ่องเต้จะพอใจหรือไม่ เราทำเช่นนี้เราก็จะได้พักผ่อน ให้เซียวเชียนเยี่ยเป็นคนดูแลทุกอย่างไป เราแค่คอยดูเขาก็พอแล้ว กลับไปเมืองหลวงแล้วฝ่าบาทจะไม่ยอมรับน้ำใจของเราเช่นนั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้น จวินมั่วเลื่อนตำแหน่งมาครึ่งปีแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะมีความดีความชอบ แล้วเจ้าจะให้ฮ่องเต้แต่งตั้งเช่นไร สุดท้ายคนที่เป็นแม่ทัพอย่างเจ้าจะอยากได้ชื่อเสียงไปทำไม”
ลิ่นฉังเฟิงกะพริบตา ที่แท้ต้องคิดซับซ้อนขนาดนี้เลยหรือ
เว่ยจวินมั่วเงยหน้าขึ้นมองหนานกงมั่ว ยื่นมือออกไปลูบแก้มนาง เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับวาจาของหนานกงมั่ว
ลิ่นฉังเฟิงยักไหล่ เอ่ย “ก็ได้ ในเมื่อพวกเจ้าไม่คิดอันใด เช่นนั้นข้าก็ไม่คิดอันใด แต่ว่า…ไยข้าถึงรู้สึกว่าเซียวเชียนเยี่ยไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าใดนักเล่า”
หนานกงมั่วเอ่ย “ที่จริงแล้วเย่ว์จวิ้นอ๋องไม่ว่าจะความสามารถหรือความรู้ย่อมไม่ได้แย่… แต่เรื่องนิสัย รวมกับสถานการณ์ปัจจุบันในจวนรัชทายาทแล้ว เขาจึงสับสนอยู่ไม่น้อย” ลิ่นฉังเฟิงลูบคางตัวเอง เอ่ยถามเว่ยจวินมั่ว “หากเจ้าเป็นเซียวเชียนเยี่ย เรื่องตานซินเจ้าจะทำเช่นไร”
เว่ยจวินมั่วเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “ประหาร”
ลิ่นฉังเฟิงพยักหน้าด้วยความพอใจ “สมองข้าดีกว่าสมองของคนส่วนใหญ่จริงๆ ด้วย” หากเผชิญหน้ากับเซียวเชียนเยี่ย เขารู้สึกว่าตัวเองฉลาดกว่า
ลิ่นฉังเฟิงไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดเซียวเชียนเยี่ยต้องส่งตัวตานซินกลับไปรับโทษที่เมืองหลวง แน่นอนว่าการกระทำของเซียวเชียนเยี่ยสมเหตุสมผลและเป็นไปตามกฎหมาย ทว่าในตอนนี้เรื่องมันเกิดขึ้นแล้วและตานซินคือคนก่อเรื่อง คนเช่นนี้ไม่ควรปล่อยเอาไว้ อย่ามองเพียงว่าตอนนี้หลิงโจวกลับมาสงบแล้ว ดินแดนเล็กๆ ที่อื่นอาจมีทหารกบฏและโจรซ่อนตัวอยู่ก็เป็นได้ แล้วเมื่อครู่ก็พึ่งจะผ่านเหตุการณ์วุ่นวายมา ราษฎรต่างหวาดกลัว ความคิดของคนทั่วไปคือติ้งประหารตานซินก่อนแล้วค่อยว่ากัน หนึ่งคือมีคำอธิบายให้ชาวเมืองหลิงโจว สองคือเป็นการเขียนเสือให้วัวกลัว ถึงแม้จะเป็นเพียงการแสดงความโหดเหี้ยมของตัวเองหรือเชือกไก่ให้ลิงดูก็ตาม ถึงสองสามวันที่ผ่านมาเซียวเชียนเยี่ยจะทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว ทว่าเขาก็เจอกับเรื่องราวมากมาย หากเขาชักดาบออกมาตั้งแต่แรกคงจะหลีกเลี่ยงปัญหาไปได้มาก