ตอนที่ 418 จดหมายลับของคุณชายเสียนเกอ (3)
“จู ชู อวี้!” จิ้นจั๋วหน้าซีด กัดฟันเอ่ย “เจ้าคิดว่าข้ามิกล้าแตะต้องเจ้าจริงๆ ใช่หรือไม่”
จูชูอวี้เลิกคิ้ว จากนั้นจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้าจะทำอันใด ฆ่าข้าหนทอ เจ้าฆ่าสิ หน้าตาของข้าเป็นเช่นนี้…ข้าก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว!”
จิ้นจั๋วหลับตาลง เก็บความโมโหไว้ในใจแล้วเอ่ยถาม “สองปีก่อนที่เจ้าช่วยชีวิตข้า…เจ้าวางแผนไว้หมดแล้วใช่หรือไม่”
“ใช่” จูชูอวี้ยิ้มหน้าบาน รอยแผลเป็นภายใต้ผ้าคลุมราวกับงูพิษที่บิดตัวไปมา “ใครจะรู้ว่าเจ้าจะโง่ขนาดนี้ เชื่อเข้าแล้วจริงๆ”
“ดีมาก!” จิ้นจั๋วเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าดูแลตัวเองให้ดีเถิด!”
จูชูอวี้ยิ้มเยาะเย้ย นางมองจิ้นจั๋วด้วยสายตาที่ไม่ยอมแพ้ จิ้นจั๋วไม่ได้เอ่ยอันใด หันหลังแล้วเดินจากไป
“เจ้าไม่กลัวเขาฆ่าเจ้าหรือ” ทางด้านหลัง เสียงของเซียวเชียนเยี่ยดังออกมาจากในห้อง จูชูอวี้ยิ้มบาง เอ่ย “แม้จิ้นจั๋วจะเป็นโจรแต่ก็มีหลักการของตัวเอง เขาไม่มีทางฆ่าหม่อมฉันแน่นอนเพคะ” เซียวเชียนเยี่ยเดินออกมา มองจูชูอวี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า “หากเป็นข้า ข้าคงฆ่าเจ้า มิรู้ว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน”
“เพราะว่า…ฝ่าบาทมิได้ชอบหม่อมฉัน ทว่าเขาชอบหม่อมฉันเพคะ” จูชูอวี้ยิ้มละไม นางถอนหายใจเบาๆ “ที่จริงแล้วหม่อมฉันมิได้อยากตัดสัมพันธ์กับเขา แต่หม่อมฉันไม่มีทางเลือก… เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เช่นนี้ หม่อมฉันจะเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่านี้ แต่เขา…กลับต่ำต้อยเกินไป”
เซียวเชียนเยี่ยเลิกคิ้ว เอ่ย “เจ้าไม่กลัวเขาจะตัดขาดเส้นทางการค้าของเจ้าหรือ”
จูชูอวี้เอ่ยตอบ “ดังนั้นคงต้องรบกวนฝ่าบาทแล้วเพคะ ตระกูลจูมีเงิน ย่อมเป็นเรื่องดีต่อฝ่าบาทมิใช่หรือเพคะ แต่ว่าตามที่หม่อมฉันรู้จักแล้วเขาไม่น่าทำเช่นนั้น อย่างมากคงจะไม่ช่วยเหลือหม่อมฉันอีกต่อไป แต่หากหม่อมฉันแต่งงาน เช่นนั้นก็คงจะไม่แน่”
“แท้จริงแล้ว เจ้ามีเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจใช่หรือไม่” เซียวเชียนเยี่ยมองดูนาง “อารมณ์ไม่ดี จึงโมโหใส่เขา เจ้ามั่นใจว่าเขาไม่มีทางทำอะไรเจ้าหรือ ดูเหมือนว่าซั่นจยาเซี่ยนจู่ก็ไม่ได้โหดเหี้ยมต่อหัวหน้าจิ้นเหมือนที่เจ้าเอ่ย หากยามนี้เจ้าไปบอกเขาว่าที่เจ้าเอ่ยเช่นนั้นเพราะโมโห เขาต้องยกโทษให้เจ้าแน่นอน”
จูชูอวี้เอ่ยเสียงเย็นชา “ฝ่าบาทคิดว่าเขาเป็นคนหายโกรธง่ายเช่นนั้นหรือ แม้เขาจะเชื่อหม่อมฉันแล้วจะมีประโยชน์อันใด หรือว่าหม่อมฉันต้องแต่งงานกับเขาจริงๆ ไม่ว่าเช่นไรต่อจากนี้ไปเขาก็ไม่มีประโยชน์แล้ว ช่างเขาเถิดเพคะ” เซียวเชียนเยี่ยยักไหล่ เอ่ยว่า “ตามใจซั่นจยาเซี่ยนจู่แล้วกัน”
ลิ่นฉังเฟิงนั่งมองจูชูอวี้และเซียวเชียนเยี่ยเดินออกไปทีละคนอยู่บนกำแพง พลิกตัวแล้วห้อยตัวอยู่บนต้นไม้ เขาลูบคางตัวเอง ยิ้มร่าแล้วเอ่ยว่า “น่าสนุกจริงๆ ข้าเอ่ยถูกแล้วจริงๆ เช่นนั้นก็หมายความว่า…ยามนี้จิ้นจั๋วอกหักแล้วใช่หรือไม่ ไปปลอบใจเขาหน่อยดีหรือไม่”
“ข้าแนะนำว่าอย่าไป” ห่างไปไม่ไกลนัก หนานกงมั่วเอนตัวพิงต้นไม้แล้วเอ่ยเสียงเรียบ เห็นได้ชัดว่านางก็แอบมองมานานแล้วเช่นกัน “จิ้นจั๋วอาจจะโมโหอยู่ คุณชายฉังเฟิง เจ้าสู้เขาได้หรือ” ลิ่นฉังเฟิงครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ไม่ต่างกันนักหรอก แล้วเจ้าคิดว่า…จิ้นจั๋วได้ยินพวกเขาคุยสิ่งใดกันหรือ” คุณชายฉังเฟิงมิได้มีงานอดิเรกแอบฟังคนอื่นคุยกัน ทั้งไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนั้น ยิ่งมีจิ้นจั๋วอยู่ตรงนั้นด้วย เขาย่อมไม่มีทางเดินเข้าไป ยามนี้ดูเหมือนเขาจะพลาดเรื่องราวที่น่าสนใจไปแล้ว
“จิ้นจั๋วดูโมโห แต่ที่จริงแล้วเขาคงเป็นห่วงจูชูอวี้ใช่หรือไม่” ลิ่นฉังเฟิงลูบคางตัวเอง “คุณหนูใหญ่ตระกูลจูคงจะไม่ทิ้งเขาไปแต่งงานกับคนอื่น จริงสิ แม่นางมั่ว เจ้าคิดว่า…” เมื่อหันกลับไปก็เห็นว่าหนานกงมั่วที่เมื่อครู่ยืนพิงต้นไม้อยู่หายไปไหนแล้วไม่รู้ คุณชายฉังเฟิงไหวไหล่อย่างช่วยไม่ได้ กระโดดลงจากต้นไม้แล้วเดินไปที่ลานเล็ก
เมื่อลิ่นฉังเฟิงกลับมาถึงลานเล็กก็เห็นว่าไม่ได้มีแค่หนานกงมั่วและเว่ยจวินมั่ว แม้แต่จิ้นจั๋วก็อยู่ที่นั่นด้วย อย่าเข้าใกล้ผู้ชายที่พึ่งอกหัก ลิ่นฉังเฟิงจึงเลือกนั่งลงตรงที่ที่ไกลจากจิ้นจั๋วที่สุด
จิ้นจั๋ววางถ้วยน้ำชาในมือลง มองดูพวกเขาสามคนที่อยู่ตรงนั้นแล้วเอ่ย “พวกท่านสามคนไม่อยากรู้ว่าข้ามาทำไมหรือ”
หนานกงมั่วยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หากไม่มีเรื่องใดหัวหน้าจิ้นคงจะไม่มา ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดหรือ” จิ้นจั๋วเอ่ยตอบ “พวกท่านสงสัยว่าซั่นจยาเซี่ยนจู่และเย่ว์จวิ้นอ๋องคุยสิ่งใดกันมิใช่หรือ”
หนานกงมั่วและลิ่นฉังเฟิงหันมามองหน้ากันอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ที่แท้เขาก็รู้ตั้งนานแล้ว หนานกงมั่วยิ้มบางๆ แล้วจึงเอ่ย “ที่หัวหน้าจิ้นมาที่นี่ เพราะอยากมาบอกพวกข้ามิใช่หรือ” แม้จิ้นจั๋วไม่บอกก็ไม่เป็นอันใด หากเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ รู้หรือไม่รู้ย่อมมิใช่เรื่องสำคัญ แต่หากเป็นเรื่องใหญ่ จูชูอวี้และเซียวเชียนเยี่ยก็คงปิดบังพวกเขาไม่ได้ ดูจากจุดจบที่จิ้นจั๋วทะเลาะกับจูชูอวี้แล้วเกรงว่าคงจะเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว
จิ้นจั๋วหลับตาลง ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามขึ้นมา “ท่านทั้งสามรู้หรือไม่ว่าคันกั้นน้ำพังทลายครั้งนี้ หลิงโจวมีคนเสียชีวิตกี่คน”
หนานกงมั่วเลิกคิ้วแต่ไม่เอ่ยตอบสิ่งใด ลิ่นฉังเฟิงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “แม้จะไม่มีตัวเลขแน่ชัด แต่…อย่างน้อยน่าจะเป็นแสน” ไม่รวมกับคนเสียชีวิตเพราะอดตาย บาดเจ็บ ป่วยตาย แล้วยังมีคนที่ตายเพราะทหารกบฏหลังจากน้ำท่วมอีก หลังจากน้ำท่วมในรอบแรกก็มีคนเสียชีวิตไปเป็นแสนคนแล้ว จิ้นจั๋วเอ่ย “แต่ข้อมูลที่ข้าได้รับแม่นยำกว่าของคุณชายฉังเฟิง อย่างเช่น…เมืองที่ใกล้กับหลิงโจวมากที่สุด แล้วยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในหลิงโจว เดิมมีราษฎรกว่าสามหมื่นห้าพันคน แต่ตอนนี้…เหลืออยู่แค่ประมาณพันกว่าคน อย่างที่สองคือในยามนี้หลิงโจวกลับมาเป็นปกติแล้วก็จริง แต่สำหรับเมืองเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ราษฎรกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก…”
ลิ่นฉังเฟิงขมวดคิ้ว “เป็นไปไม่ได้ คันกั้นน้ำพังทลายครั้งนี้รุนแรงที่สุดในหลิงโจวก็จริง แต่รุนแรงแค่พื้นที่ที่อยู่ใกล้แม่น้ำ อย่างน้อยหลิงโจวก็ยังมีเมืองที่ไม่มีเส้นทางน้ำผ่านเลยแม้แต่น้อย”
จิ้นจั๋วมองดูลิ่นฉังเฟิงด้วยสายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เอ่ยว่า “หากคุณชายฉังเฟิงไม่เชื่อ ส่งคนไปสืบดูได้ บางทีพื้นที่ไร้ภัยพิบัติ สถานการณ์ยังร้ายแรงกว่าพื้นที่ประสบภัยพิบัติเสียอีก”
“เป็นไปได้เยี่ยงไร” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยถาม
“เพราะว่าพื้นที่ประสบภัยพิบัติ ราชสำนักส่งคนไปดูแล” เว่ยจวินมั่วที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงเรียบ จิ้นจั๋วยิ้ม “สมแล้วที่เป็นซื่อจื่อ ฉลาดจริงๆ ขอรับ”
ลิ่นฉังเฟิงหงุดหงิด เอ่ยถาม “มีอันใดก็เอ่ยมาตรงๆ เถิดจะยืดเยื้อไปไย”
จิ้นจั๋วหรี่ตาลงแล้วเอ่ยนิ่งๆ “พวกท่านไม่อยากรู้หรือว่าคนเหล่านั้นหายไปไหน”
“รอฟังแล้ว” หนานกงมั่วยิ้มบาง
จิ้นจั๋วยิ้ม จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ที่จริงแล้วข้าไม่รู้ แต่…เมื่อครู่ได้ยินจากนอกห้องหนังสือของเย่ว์จวิ้นอ๋อง แถบทางแยกระหว่างหลิงโจวและผิงโจว มีสถานที่ที่เรียกว่าเขาลั่วหยาง ที่นั่น…มีคนเสียชีวิตมากมาย” ได้ยินเช่นนี้ทั้งสามต่างขมวดคิ้วพร้อมกัน เว่ยจวินมั่วยกมือขึ้นไปหยิบแผนที่ที่อยู่บนโต๊ะด้านข้างมากางลงบนโต๊ะ หนานกงมั่วและลิ่นฉังเฟิงลุกขึ้นมาดูแผนที่