ตอนที่ 425 ข้าหลอกเขา (4)
“ทูลท่านอ๋อง ซิงเฉิงจวิ้นจู่ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ด้านนอก องครักษ์รีบวิ่งเข้ามารายงาน
ทั้งสองมองสบตากัน แววตาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย เห็นชัดว่าคาดไม่ถึงที่พวกเขายังไม่ไปหาหนานกงมั่วทว่าหนานกงมั่วกลับเป็นฝ่ายมาหาพวกเขาเอง จูชูอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ย “ท่านอ๋อง เกรงว่าจวิ้นจู่คงไม่เห็นด้วยที่ท่านจะจัดการกับคนบนเขา ยามนี้ยังจำเป็นต้อง…” เซียวเชียนเยี่ยส่งเสียงหยันในลำคอ เอ่ย “เรื่องนี้ไม่จำเป็นให้นางต้องเอ่ย…” นึกถึงนิสัยของหนานกงมั่ว เซียวเชียนเยี่ยจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “อย่าพึ่งกล่าวถึงเรื่องนี้กับนาง”
“เพคะ”
หนานกงมั่วเดินตามองครักษ์ที่นำทางเข้ามา จูชูอวี้รีบลุกขึ้นต้อนรับ “คารวะซิงเฉิงจวิ้นจู่”
คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ซั่นจยาเซี่ยนจู่ก็อยู่ด้วย”
เซียวเชียนเยี่ย เอ่ย “ไยจวิ้นจู่จึงมาสถานที่ทุรกันดารเช่นนี้ จวินมั่วมิได้มากับเจ้าด้วยหรือ” แน่นอนว่าเซียวเชียนเยี่ยรู้ว่าเว่ยจวินมั่วมาแล้ว เพียงแต่เว่ยจวินมั่วไม่ได้มาพร้อมกับหนานกงมั่ว ทว่ายิ่งทำให้เขากังวลขึ้นมา ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าแตะต้องหนานกงมั่ว หนานกงมั่วยิ้มบาง เอ่ย “เย่ว์จวิ้นอ๋องเองก็อยู่ที่นี่มิใช่หรือเพคะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวเชียนเยี่ยจางลงเล็กน้อย มองหนานกงมั่วพลางเอ่ยตอบ “ดูเหมือนว่าจวิ้นจู่จะรู้แล้วว่าที่นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
หนานกงมั่วเองไม่คิดปิดบัง พยักหน้าเบาๆ เอ่ย “ได้ข่าวมาบ้าง ไม่รู้ว่าเย่ว์จวิ้นอ๋องคิดจะจัดการเช่นไรหรือ” เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจ “ใครจะรู้ว่าสถานที่เช่นนี้จะเกิดโรคระบาดได้ ข้า…ยามนี้จนหนทางแล้วจริงๆ ขอจวิ้นจู่ช่วยชี้แนะแนวทางให้ข้าได้หรือไม่” หนานกงมั่วยิ้ม “โรคระบาดไม่ใช่เรื่องเล็ก แน่นอนว่าต้องรายงานฝ่าบาทก่อน แล้วจึงเชิญหมอหลวงจากราชสำนักมา”
เซียวเชียนเยี่ยถอนหายใจ เอ่ย “ไยข้าจะไม่รู้ เพียงแต่ เสด็จปู่ส่งเจ้าและข้ามาบรรเทาทุกข์แก่ชาวเมืองหลิงโจว ยามนี้หลิงโจวเกิดทหารกบฏแล้วยังมีโรคระบาดตามมา พวกเราจะรายงานต่อเสด็จปู่ได้เยี่ยงไร”
หนานกงมั่วมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง เอ่ย “หรือว่า เย่ว์จวิ้นอ๋องอยากปิดบังเรื่องโรคระบาดอย่างนั้นหรือ จวิ้นอ๋องลืมแล้วหรือ ครั้งนั้นหากมิใช่เพราะตานซินคิดปิดบังเรื่องน้ำท่วม เมืองหลิงโจวจะเป็นเช่นนี้หรือ ขอท่านอ๋องไตร่ตรองดูให้ดีเถิดเพคะ ไม่ทำซ้ำรอยของตานซินจึงจะถูก”
มองใบหน้าสตรีที่มีท่าที ‘ข้าทำเพื่อท่าน’ เซียวเชียนเยี่ยส่งเสียงหยันออกมา ไหนเลยเขาจะไม่รู้ว่าการปกปิดเรื่องโรคระบาดนั้นไม่ดี ปัญหาคือนี่มิใช่โรคที่เกิดจากน้ำท่วมง่ายๆ สิ่งที่อยู่ในเขานั่นยิ่งไม่สามารถให้คนอื่นรับรู้ได้ มองไปยังหนานกงมั่ว เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยด้วยความนอบน้อมและจริงใจ “จวิ้นจู่ ข้าจะต้องคิดหาวิธีแก้ปัญหาเรื่องนี้โดยไวอย่างแน่นอน ขอจวิ้นจู่ให้เวลาอีกสักระยะค่อยรายงานต่อฝ่าบาทเถิด เสด็จปู่อายุมาก พวกเราเป็นเด็กไม่ควรทำให้คนแก่ต้องกังวล หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น…ข้าจะรับผิดชอบให้ถึงที่สุดก็เป็นพอ” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยขึงขัง น่าเสียดายหนานกงมั่วไม่เชื่อแม้เพียงคำเดียว ให้เวลาเจ้าแล้วปล่อยให้เจ้าจัดการผู้คนบนเขาจนราบคาบแล้วกลับไป ปล่อยให้พวกข้าเป็นคนรับกรรมอย่างนั้นน่ะหรือ
“ท่านอ๋อง โรคระบาดมีแต่นับวันจะยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ ท่านไตร่ตรองเป็นอย่างดีแล้วหรือเพคะ” หนานกงมั่วเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางลำบากใจ “เรื่องใหญ่เพียงนี้ หากไม่รายงานฝ่าบาท เกรงว่า…คงจะไม่เหมาะนะเพคะ”
เซียวเชียนเยี่ยเอ่ย “ขอเพียงแก้ปัญหาได้ แน่นอนว่าคงมิใช่เรื่องใหญ่อันใดแล้ว ถึงตอนนั้นก็คงทำให้เสด็จปู่ตกใจไปเสียเปล่าแล้วหรือไม่”
หนานกงมั่วหลุบตาลง “เย่ว์จวิ้นอ๋องมั่นใจเพียงนี้ คิดว่าคงมีแผนการอยู่แล้วเช่นนั้นหรือ”
เซียวเชียนเยี่ยชะงัก รีบเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ที่ไหนกัน ข้าเพียงเชื่อมั่นในตัวท่านหมอก็เท่านั้น ขอจวิ้นจู่เฝ้ารอดูก่อนก็พอแล้ว หากภายในสองสามวันยังจัดการปัญหามิได้ จวิ้นจู่ค่อยรายงานต่อฝ่าบาท ข้าจะมิห้ามเลย” หนานกงมั่วจ้องมองเซียวเชียนเยี่ยนิ่งอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายจึงพยักหน้าน้อยๆ เอ่ย “ตกลง”
เซียวเชียนเยี่ยลอบถอนหายใจอยู่ในใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณจวิ้นจู่ที่เข้าใจ”
หนานกงมั่วส่ายหน้าพลางเอ่ย “ความจริง ที่ข้ามาเพราะมียังมีอีกเรื่องที่อยากถามจวิ้นอ๋อง”
เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จวิ้นจู่ว่ามาเถิด”
“ไม่รู้ว่า จวิ้นอ๋องสนิทสนมกับผิงชวนจวิ้นอ๋องหรือไม่” หนานกงมั่วเอ่ยถาม สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย จ้องมองหนานกงมั่วนิ่ง เอ่ย “ผิงชวนจวิ้นอ๋องหรือ เสด็จปู่ผิงชวนจวิ้นอ๋องน่ะหรือ ไยจวิ้นจู่จึงเอ่ยถามถึงพระองค์ขึ้นมาเล่า” หนานกงมั่วเอ่ย “เขาลั่วหยางลูกนี้ครึ่งหนึ่งอยู่ในเขตของผิงโจวมิใช่หรือ ผิงโจวเป็นเขตปกครองของผิงโจวจวิ้นอ๋อง เกิดมีผู้ป่วยที่ติดเชื้อหนีไปยังผิงโจว ข้ากำลังคิดว่าต้องส่งข่าวให้กับผิงโจวจวิ้นอ๋องและผู้ว่าการผิงโจวก่อนหรือไม่”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เซียวเชียนเยี่ยยกมือขึ้นกุมขมับ เอ่ย “จวิ้นจู่เอ่ยเตือนถูกแล้ว เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้า ข้าจะส่งคนไปแจ้งเสด็จปู่ผิงโจวจวิ้นอ๋องโดยไว” หนานกงมั่วพยักหน้า ยิ้มบาง เอ่ยตอบ “เช่นนั้นคงต้องลำบากพระองค์แล้วเพคะ”
“เป็นเรื่องที่ข้าควรทำ” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ย
หนานกงมั่วลุกขึ้น เอ่ย “ไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว หากเป็นเช่นนี้หม่อมฉันคงต้องขอตัวลาแล้วเพคะ”
เซียวเชียนเยี่ยแทบอยากไล่ให้หนานกงมั่วรีบกลับไป เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เชิญจวิ้นจู่ ข้าจะไปส่งท่าน”
“ท่านอ๋องยังมีธุระ ไม่เป็นไรเพคะ” หนานกงมั่วเอ่ย
ทั้งสองมองตามหนานกงมั่วออกไป ความเคลือบแคลงสงสัยในดวงตาของจูชูอวี้มีมากขึ้น เหลือบเห็นสีหน้าของนาง เซียวเชียนเยี่ยเอ่ยถาม “ซั่นจยาเซี่ยนจู่นึกถึงเรื่องใดหรือ” จูชูอวี้เอ่ยเสียงเข้ม “เกรงว่าซิงเฉิงจวิ้นจู่คงรู้อันใดบางอย่าง นางไม่มีทางเอ่ยถึงผิงโจวจวิ้นอ๋องโดยไม่มีสาเหตุเป็นแน่เพคะ”
“เป็นไปได้เยี่ยงไรกัน” เซียนเชียวเยี่ยชะงัก “เรื่องราวทางนี้นั้นเป็นความลับมาตลอด ไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อน” จูชูอวี้เอ่ย “ท่านอ๋องคิดว่าซิงเฉิงจวิ้นจู่เอ่ยถึงผิงโจวจวิ้นอ๋องเพียงเพราะต้องการให้ท่านแจ้งข่าวไปจริงๆ หรือเพคะ เห็นชัดว่านางกำลังหยั่งเชิงพวกเรา”
เซียวเชียนเยี่ยย่นคิ้ว จูชูอวี้ถอนหายใจออกมา เอ่ย “ท่านอ๋อง หากท่านไม่เกี่ยวข้องอันใดกับผิงโจวจวิ้นอ๋อง เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาท่านจะส่งคนไปแจ้งข่าวแก่เขาจริงๆ หรือไม่”
“แน่นอนว่าไม่” เซียวเชียนเยี่ยเอ่ย “แจ้งข่าวเขา ก็เท่ากับว่าทุกคนจะรับรู้ ข้าจะมั่นใจได้เยี่ยงไรว่าเขาจะไม่นำเรื่องนี้ไปทูลเสด็จปู่ทันที”
จูชูอวี้พยักหน้าเอ่ย “ดังนั้น พระองค์ต้องการปิดบังฝ่าบาท ทว่ากลับไม่คิดลังเลรีบรับปากไปแจ้งข่าวให้ผิงโจวจวิ้นอ๋อง นอกเสียจากพระองค์จะมั่นใจว่าผิงโจวจวิ้นอ๋องจะไม่มีทางเผยความลับนี้ยังจะมีเหตุผลใดอื่นอีกเล่า โรคระบาดเรื่องใหญ่เพียงนี้ ไยผิงโจวจวิ้นอ๋องจะต้องปิดบังแทนหลานที่เคยเจอหน้าไม่กี่ครั้งเช่นพระองค์ด้วยเล่า”
“หนานกงมั่ว” เซียวเชียนเยี่ยกัดฟัน “หนานกงมั่วผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกิน ไยเจ้าจึงไม่รีบบอกตั้งแต่แรกเล่า”
จูชูอวี้จนปัญญา “ซิงเฉิงจวิ้นจู่อยู่ตรงหน้า ยิ่งไปกว่านั้น…นอกจากรับปาก ท่านอ๋องยังคิดว่าจะตอบเยี่ยงไรได้อีก หากท่านหาเหตุผลบ่ายเบี่ยง ซิงเฉิงจวิ้นจู่ก็จะบอกว่านางจะส่งคนไปแจ้งข่าวเอง เพียงจวิ้นจู่ส่งคนไปแจ้งข่าวกับผิงโจวจวิ้นอ๋องด้วยตนเองแล้ว ผิงโจวจวิ้นอ๋องไม่สนองต่อรับสั่งของฝ่าบาท พระองค์คิดว่าฝ่าบาทจะคิดเช่นไร ดังนั้นท่านอ๋องพระองค์จำต้องรับปาก เพียงแต่พระองค์รับปากเร็วเกินไป” สิ่งที่จูชูอวี้ไม่ได้เอ่ยออกมาก็คือนางเองก็พึ่งนึกขึ้นได้หลังจากที่เซียวเชียนเยี่ยตอบตกลงไปแล้ว
เซียวเชียนเยี่ยเอ่ย “ตอนนี้ควรทำเยี่ยงไร หนานกงมั่วคนนี้…เป็นศัตรูโดยแท้”
จูชูอวี้ส่ายศีรษะ “ยามนี้พวกเราทำอันใดมิได้ทั้งนั้น ไม่รู้เว่ยซื่อจื่อไปในทิศทางใด อำนาจของวังจื่อเซียวมากเพียงใด ไม่มีใครรู้ ไม่ถึงที่สุดจริงๆ อย่าได้แตกหักกับพวกเขา โชคดี ยามนี้ในมือของทั้งสองฝ่ายต่างมีสิ่งที่กุมเอาไว้ ซิงเฉิงจวิ้นจู่และเว่ยซื่อจื่อมิได้มีความแค้นอันใดกับเรา คงไม่คิดต่อสู้กับเราจนยอมสละชีวิตใช่หรือไม่ เมื่อครู่ อาจเพราะนางสัมผัสบางอย่างได้จึงคิดหยั่งเชิงดูก็เท่านั้น”