ตอนที่ 438 สาเหตุการสิ้นพระชนม์ขององค์รัชทายาท (2)
“องค์รัชทายาท…รัชทายาท…” เลือดสีสดไหลซึมออกมาจากมุมปากของฮ่องเต้ไม่หยุด ทำให้ขันทีนางกำนัลต่างพากันตกอกตกใจกระวนกระวาย “ฝ่าบาท…ฝ่าบาทรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทนั้นกตัญญู หากรู้ว่าฝ่าบาทเป็นเช่นนี้…องค์รัชทายาทที่อยู่บนสรวงสวรรค์นั้นจะสงบได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไอออกมาหลายครั้ง ผ้าเช็ดหน้าในมือนั้นเต็มไปด้วยเลือด ถอนหายใจออกมา เอ่ย “ข้ารู้มานานแล้วว่าองค์รัชทายาทนั้นร่างกายไม่แข็งแรง แต่ข้าคิดว่าตัวข้าอายุเพียงนี้แล้ว คงจะไม่…ไม่คิดเลย…สุดท้ายก็ยังให้ข้าได้เห็น คนผมดำจากไปก่อนคนผมขาว…องค์รัชทายาท รัชทายาท เจ้าช่างอกตัญญูยิ่งนัก”
“ฝ่าบาท…”
“หมอหลวงมาแล้ว”
“เร็ว รีบเชิญหมอหลวงเข้ามา” เมื่อได้ยินเสียง ขันทีรับใช้จึงรีบลุกขึ้นและเอ่ยบอก ไม่นาน หมอหลวงก็ถูกเชิญเข้ามา มองเห็นภาพนั้นจึงตกใจ ขันทีรับใช้เอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาท หมอหลวงมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ให้หมอหลวงตรวจดูสักหน่อยเถิด”
ฮ่องเต้หลับตาลง เอนตัวพิงพนักด้านหลังแล้วพยักหน้าเบาๆ หมอหลวงเคลื่อนตัวเข้าไปตรวจชีพจร ฮ่องเต้มิได้ลืมตา เพียงรับสั่ง “รีบถ่ายทอดราชโองการ…เรียกหวงจั่งซุนกลับเมืองหลวงโดยเร็ว”
“ฝ่าบาท…องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ เหล่าท่านอ๋องทั้งหลายต้องกลับเมืองหลวงร่วมฝังพระศพหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้ดูแลเอ่ยถาม
ในห้องทรงอักษรเงียบไปชั่วครู่ ในยามที่กำลังคิดว่าฝ่าบาทคงไม่ให้คำตอบแล้ว พลันได้ยินเสียงเขาเอ่ยขึ้นมาเบาๆ “อ๋องผู้ปกครองเมืองต่างๆ…ให้รอไปก่อนเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
รัชทายาทสิ้นพระชนม์เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าก่อนหน้านี้กำลังทำสิ่งใดอยู่ เมื่อได้ยินระฆังมรณะดังขึ้นต่างพากันวางมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ รีบสวมชุดที่เหมาะสมมุ่งตรงไปยังตำหนักรัชทายาท พระชายารัชทายาทใบหน้าซีดขาว ทว่ายังคงยืนหยัดดูแลเรื่องต่างๆ ภายในตำหนักได้โดยยังไม่ได้ล้มพับไป เหล่าสนมที่เคยแก่งแย่งชิงดีกันก็เงียบสงบลง รับฟังคำสั่งจากพระชายารัชทายาทอย่างว่าง่าย ยาทนี้องค์รัชทายาทไม่อยู่แล้ว พวกนางยังมีอันใดให้แย่งชิงอีกเล่า เมื่อก่อนมีองค์รัชทายาทอยู่ มักคิดว่าบุตรชายของตนนั้นยังมีโอกาสก้าวหน้าไปอีกขึ้น ยามนี้องค์รัชทายาทจากไปแล้ว…บุตรชายพระสนมเชื้อสายรองอย่างพวกเขาก็คงมาถึงเพียงเท่านี้แล้ว ไม่แน่ว่าต่อไปยังต้องอาศัยหวงจั่งซุนและพระชายารัชทายาท
องค์หญิงฉังผิงและองค์หญิงหลิงอี๋มาถึงตำหนักรัชทายาทในเวลาเดียวกัน ห้องโถงใหญ่ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากทั้งสองเข้าไปจุดธูปในห้องโถงใหญ่เรียบร้อยแล้ว จึงเดินกลับมาปลอบโยนพี่สะใภ้ “พี่สะใภ้…เสียใจด้วยนะเพคะ”
พระชายารัชทายาทมองไปยังพวกเขาชั่วครู่ ถอนหายใจ ใบหน้าเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา เอ่ย “น้องห้า น้องเจ็ด เข้าไปนั่งที่ห้องข้างๆ เถิด ลำบากพวกเจ้าแล้ว”
องค์หญิงหลิงอี๋ประคองพระชายารัชทายาท เอ่ย “พี่สะใภ้พูดอันใดกันเพคะ พี่ใหญ่…เฮ้อ ที่นี่ยังมีพวกเชียนลั่ว พี่สะใภ้ไปพักสักหน่อยเถิด” สีหน้าของพระชายาองค์รัชทายาทไม่ดีนัก องค์หญิงหลิงอี๋กลัวว่าพระชายารัชทายาทจะสลบไปในเวลาต่อจากนี้ พระชายารัชทายาทเองก็รู้ถึงสภาพร่างกายของตนเองในตอนนี้ดี พยักหน้าและฝากฝังกับเฉิงจวิ้นอ๋องและอันจวิ้นอ๋องไว้สองประโยค จากนั้นองค์หญิงหลิงอี๋ก็ประคองพาเข้าไปพักผ่อนในห้องด้านข้าง
ตามกฏของอาณาจักรเซี่ย ผู้ปกครองเมืองต่างๆ หากไม่มีการเรียกเชิญก็ไม่อาจกลับเมืองหลวงได้ นั่นหมายความว่าหากฝ่าบาทไม่มีรับสั่ง อย่าว่าแต่องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์เลย ต่อให้ฮ่องเต้เป็นอันใดไป กษัตริย์องค์ใหม่ไม่มีพระประสงค์ผู้ปกครองเมืองก็ไม่อาจกลับไปร่วมพิธีได้ ยามนี้ทั่วทั้งเมืองหลวง นอกจากองค์รัชทายาท เชื้อพระวงศ์จริงๆ ก็คงมีเพียงองค์หญิงฉังผิงและองค์หญิงหลิงอี๋แล้ว คนอื่นนั้นมีเพียงเว่ยหงเฟยที่เป็นจวิ้นอ๋องต่างสกุล นั่นเป็นเครือญาติห่างๆ ที่แทบจะนับญาติไม่ได้ด้วยซ้ำ
เพิ่งจะนั่งลง พระชายารัชทายาทท่าทางเหม่อลอย เมื่ออยู่ด้านนอกต้องรักษาท่าทางของพระชายารัชทายาท ยามนี้อยู่ห่างจากสายตาของคนนอกจึงฝืนไม่ไหวแล้ว องค์หญิงฉังผิงและองค์หญิงหลิงอี๋มองสบตากัน ลอบถอนหายใจอยู่ในใจ “พี่สะใภ้…”
พระชายารัชทายาทดึงสติกลับมา ส่ายหน้า เอ่ย “ไม่ต้องกังวล ข้า…ยังไหว เดิมที…เดิมทีเองก็มี…” พระชายารัชทายาทส่ายศีรษะ ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ องค์หญิงฉังผิงย่นคิ้ว เอ่ย “พี่สะใภ้ ไยจู่ๆ เสด็จพี่จึงได้…” พระชายารัชทายาทตาแดงขึ้นมา น้ำเสียงดูโศกเศร้าและเจ็บปวด “องค์รัชทายาทร่างกายอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร พวกเจ้าเองก็รู้ ครั้งที่แล้ว…มีซิงเฉิงจวิ้นจู่รักษาให้จึงดีขึ้นมาบ้าง แต่ว่าองค์รัชทายาท…องค์รัชทายาทไม่ชอบดูแลร่างกายนัก วันนี้ตอนเช้าเปลี่ยนไปบ้าง ใครจะรู้ว่า…”
องค์หญิงฉังผิงลอบถอนหายใจ อู๋สยาช่วยรักษาองค์รัชทายาทพึ่งผ่านไปไม่นาน หากเกี่ยวข้องกับนางคงเป็นเรื่องยุ่งแล้ว แต่เมื่อดูจากท่าทีและคำพูดของพระชายารัชทายาทที่ดูคลุมเครือก็รู้ว่าไม่น่าใช่เรื่องง่ายแล้ว
ทว่าองค์หญิงหลิงอี๋กลับลอบกลอกตาอยู่ในใจ พี่ห้าไม่ชอบออกจากเรือนไม่รู้อันใด แต่องค์หญิงหลิงอี๋ชอบเดินไปมาทั่วเมืองจินหลิงจึงรู้ เสด็จพี่ผู้นี้นั้นดีไปเสียทุกอย่าง นิสัยอ่อนโยน ความสามารถแม้ไม่อาจเรียกได้ว่าโดดเด่นทว่าไม่เลว แต่มีนิสัยมัวเมาในสตรี เมื่อสมัยยังหนุ่มเคยได้รับบาดเจ็บ หากไม่มีนิสัยเช่นนี้ร่างกายคงไม่แย่ถึงเพียงนี้ แต่เขานั้นยังอดไม่ได้ ร่างกายไม่แข็งแรงแต่กลับมีสนมและอนุภรรยามากกว่าเชื้อพระวงศ์องค์ใดทั้งสิ้น
พระชายารัชทายาทไม่เป็นที่โปรดปราน ทว่ากลับนั่งตำแหน่งพระชายารัชทายาทมาได้กว่ายี่สิบกว่าปี สนมในเรือนหลังไม่ว่าจะได้รับความโปรดปรานมากเพียงใดก็ไม่อาจโค่นล้มตำแหน่งของนางได้แน่นอนว่าไม่ใช่สตรีธรรมดา ไม่นานจึงสงบสติอารมณ์ลงไปได้อย่างรวดเร็ว มองไปยังองค์หญิงฉังผิงและองค์หญิงหลิงอี๋ เอ่ย “ยามนี้องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ องค์ชายต่างๆ ก็ไม่อยู่ในจินหลิง ฝั่งเสด็จพ่อ ขอน้องสาวทั้งสองปลอบโยนพระองค์ด้วย”
ทั้งสองพยักหน้า เพียงแต่ต่างฝ่ายต่างเห็นความกังวลในดวงตาของกันและกัน การสิ้นพระชนม์ขององค์รัชทายาทกระทบต่อเสด็จพ่ออย่างไร…พวกนางเองใช่ว่าจะไม่รู้ เสด็จพ่อมีโอรสมากมาย แต่ที่รักและคาดหวังที่สุดคงจะเป็นองค์รัชทายาทอย่างไม่ต้องสงสัย ยามนี้ต้องมาส่งคนผมดำที่จากไปก่อน เสด็จพ่อจะรับไหวหรือไม่
“เสด็จแม่” ด้านนอก เฉิงจวิ้นอ๋องเซียวเชียนลั่วเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน ถวายความเคารพต่อพระชายารัชทายาทและองค์หญิงทั้งสอง ใบหน้าของเซียวเชียนลั่วค่อนข้างอ่อนล้า ที่พึ่งของพวกเขาแตกต่างจากเซียวเชียนเยี่ย เชื้อสายรองเช่นพวกเขาสิ่งเดียวที่พึ่งพิงได้นั่นก็คือความรักของเสด็จพ่อ ยามนี้เสด็จพ่อไม่อยู่แล้ว…สถานการณ์ของพวกเขาลำบากกว่าเซียวเชียนเยี่ยนัก
“เสด็จแม่ เสด็จอาทั้งสอง มีราชโองการจากในวังพ่ะย่ะค่ะ” เซียวเชียนลั่วเอ่ยด้วยท่าทางนอบน้อม
พระชายารัชทายาทเช็ดน้ำตาบนใบหน้า พยักหน้า เอ่ย “รู้แล้ว ออกไปรับราชโองการกันเถิด”
ความจริงราชโองการก็ไม่ได้มีเนื้อหาอันใดมากนัก เพียงบอกว่าองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ฝ่าบาทโศกเศร้ายิ่งนัก ให้กรมพิธีการและสำนักหอดูดาวหลวงดูแลจัดการพิธีศพขององค์รัชทายาท อีกทั้งยังมีคำปลอบโยนพระชายารัชทายาท ส่วนพระสมัญญานาม[1]ขององค์รัชทายาทจะตามมาในอีกไม่กี่วัน หลังจากการจุดธูปในวันนี้เสร็จสิ้นก็จะเริ่มพิธีศพขององค์รัชทายาทแล้ว
องค์หญิงฉังผิงและองค์หญิงหลิงอี๋กล่าวลาพระชายารัชทายาทแล้วจึงเข้าวังไปพร้อมกัน ทว่าฮ่องเต้กลับไม่ยอมพบพวกนาง ทั้งสองจึงต้องออกจากวังตรงกลับจวนของตนเอง
องค์หญิงฉังผิงกลับมาถึงเรือนของตนในจวนเยี่ยนอ๋อง โบกปัดมือส่งสัญญาณให้สาวใช้ออกไปทั้งหมดจากนั้นจึงถอนหายใจออกมา มองไปยังห้องที่ว่างเปล่าเกิดความรู้สึกอ้างว้างขึ้นมา ตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปีมานี้นางอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด แม้จะมีบุตรชายที่คอยมาถวายพระพร แต่เว่ยจวินมั่วนั้นเกิดมาเย็นชาและพูดไม่เก่ง ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่องค์หญิงฉังผิงก็ไม่เคยรู้สึกเหงา แต่ว่าตอนนี้…ในใจนั้นว่างเปล่าไม่ต่างอะไรกับห้องห้องนี้เลย
[1] พระสมัญญานาม หมายถึง นามพิเศษที่ตั้งให้หลังจากที่ตายไปแล้ว เนื่องจากชาวจีนไม่นิยมเรียกขานพระนามจริงของจักรพรรดิมาแต่โบราณ จนกระทั่งสววรคตจึงตั้งพระนามถวายเรียกว่า 谥号(พระสมัญญานาม)