ตอนที่ 442 พระสนมหลินกุ้ยเฟย (3)
องค์หญิงฉังผิงถอนหายใจ หันกลับไปเอ่ยกับพระสนมหลินกุ้ยเฟย “เช่นนี้ ขอพระสนมช่วยดูแลด้วยเพคะ”
พระสนมหลินกุ้ยเฟยยิ้มบาง เอ่ย “วางใจเถิด ดูแล้วเด็กคนนี้ฉลาดไม่เบา จะไม่เป็นไรแน่นอน”
หนานกงมั่วเปลี่ยนชุดกับนางกำนัลที่มีรูปร่างและส่วนสูงใกล้เคียงกับนาง นางกำนัลคนนั้นแฝงตัวเข้าไปรวมอยู่ในหมู่สาวใช้ขององค์หญิงฉังผิง เดินออกจากตำหนักหย่งอันไปพร้อมกัน นอกตำหนักมีองครักษ์มากมาย มองเห็นกลุ่มคนเดินออกมา จึงรีบเข้าไปถวายพระพร “ถวายพระพรพระสนม ถวายพระพรองค์หญิง” พระสนมหลินกุ้ยเฟยกวาดตามองพวกเขา เอ่ยเสียงเข้ม “ทำไมหรือองค์หญิงไม่สบายให้พวกเจ้าเชิญหมอหลวงพวกเจ้าไม่ให้เชิญ ยามนี้องค์หญิงจะกลับจวนพวกเจ้ายังคิดจะขัดขวางอีกหรือ”
หัวหน้าองครักษ์กวาดสายตามาดร้ายมองไปยังองค์หญิงฉังผิง จากนั้นกวาดตามองบรรดาสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังองค์หญิงฉังผิง ครุ่นคิดแล้วจึงเอ่ย “มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงเชิญ” ทว่ากลับไม่เอ่ยถึงการเชิญหมอหลวงให้กับองค์หญิงฉังผิง
องค์หญิงฉังผิงเลิกคิ้วมองเขา “ไยข้าจึงไม่รู้ ตั้งแต่เมื่อไรที่ข้าไม่มีแม้แต่อำนาจในการเชิญหมอหลวง ดูเหมือนข้าต้องไปถามเสด็จพ่อสักหน่อย ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
หัวหน้าองครักษ์ยกมือขึ้นประสานตรงหน้า เอ่ย “องค์หญิงได้โปรดอภัย พวกเราเองก็ทำตามพระบัญชา ยิ่งไปกว่านั้น หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงยามนี้ประจำอยู่ที่ตำหนักของฝ่าบาทและตำหนักรัชทายาท ได้ยินมาว่าเมื่อคืนฝ่าบาทยังสังหารหมอหลวงเพื่อฝังไปพร้อมกับองค์รัชทายาท เพราะเหตุนี้จึงมีหมอหลวงป่วย…”
“พอแล้ว ข้ารู้แล้ว” องค์หญิงฉังผิงโบกปัดมืออย่างหงุดหงิด เอ่ย “กลับจวน ข้าจะไปเชิญท่านหมอ ไม่อาจไปรบกวนพิธีศพขององค์รัชทายาท”
ระหว่างพิธีศพขององค์รัชทายาท พวกนางที่เป็นน้องสาวต้องไปตำหนักรัชทายาทเพื่อจุดธูปด้วยตนเอง
“พ่ะย่ะค่ะ เชิญองค์หญิง”
กลับมาที่ตำหนักหย่งอัน พระสนมหลินกุ้ยเฟยนั่งลงเหม่อลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เนิ่นนานก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหนานกงมั่ว เอ่ย “เกิดเรื่องแล้วจริงๆ…หัวหน้าองครักษ์ผู้นั้น ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน” แม้เป็นกุ้ยเฟยจะไม่รู้จักองครักษ์ในวังทั้งหมด แต่อย่างน้อยยังพอรู้จักคนที่มีตำแหน่งอยู่บ้าง หัวหน้าองครักษ์ผู้นั้นสวมชุดขุนนางขั้นสี่ แต่หลินกุ้ยเฟยกลับรู้สึกไม่คุ้นหน้า มีความเป็นไปได้สองทาง หนึ่งคือไม่ใช่องครักษ์ในวัง สองคือคนผู้นี้ถูกใครดึงขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นทางใดล้วนมิใช่เรื่องดีทั้งนั้น
หนานกงมั่วพยักหน้า นางรู้ดีว่าการคาดเดาของลิ่นฉังเฟิงมิได้คาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้า เมื่อก่อนยังไม่ทันเข้าวังจึงไม่รู้สึก แต่พอออกไปเมื่อสักครู่จึงพบว่ามีคนถูกวางไว้ประจำในทุกๆ ตำแหน่ง ยามนี้…ในวังหลวงยังอยู่ภายใต้การควบคุมของฮ่องเต้อยู่หรือไม่
ชั่วพริบตาทั้งสองมองสบตากันไม่เอ่ยคำใด เนิ่นนานพระสนมหลินกุ้ยเฟยจึงเอ่ยถาม “เมื่อครู่ที่เจอกันเหมือนจวิ้นจู่มีอันใดอยู่ในใจ” สมแล้วที่พระสนมหลินกุ้ยเฟยนั้นเป็นที่โปรดปรานมานานหลายสิบปี นางเป็นคนช่างสังเกต แม้แต่ตอนที่หนานกงมั่วเป็นสาวใช้มิได้มีความสำคัญอันใด
หนานกงมั่วลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ย “เป็นหม่อมฉันที่ละลาบละล้วง ไม่รู้ว่า…พระสนมยังจำคุณหนูเซี่ยสามได้หรือไม่เพคะ”
พระสนมหลินกุ้ยเฟยชะงัก ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่สีหน้าพลันเปลี่ยน ดวงตาฉายแววโศกเศร้า เอ่ยถาม “คุณหนูเซี่ยสาม…หรือ แน่นอนว่าจำได้ นางเป็นอะไรหรือ” หนานกงมั่วชั่งน้ำหนักอยู่ในใจก่อนจะเอ่ย “คุณหนูเซี่ยสาม…กำลังไว้ทุกข์…อยู่ตลอดเพคะ…”
พระสนมหลินกุ้ยเฟยเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมา เอ่ย “ข้าทำให้คุณหนูเซี่ยสามต้องเสียเวลาแล้ว หลายปีมานี้โอรสของข้าไม่อยู่แล้ว ข้าจึงไม่มีใจมาสนใจเรื่องนี้…คาดไม่ถึงว่า…” ความจริงไม่ใช่คาดไม่ถึง ไม่อยากที่จะนึกถึงเสียมากกว่า ทุกครั้งที่นึกถึงก็มักจะนึกถึงโอรสที่มีร่างกายผอมบางใบหน้าซีดเซียวนอนอยู่บนเตียง การเป็นมารดา นึกถึงหนึ่งครั้งก็เจ็บปวดหนึ่งครั้ง ในช่วงแรกเจ็บปวดจนคิดอันใดไม่ออก รอจนกระทั่งเดินออกมาจากความเจ็บปวดช้าๆ นางก็ไม่อยากนึกถึงเรื่องใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับองค์ชายสิบเก้า นางไม่เอ่ยถึง ผู้คนรอบข้างแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึง ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้เรื่องราวของเซี่ยเพ่ยหวนจึงถูกพระสนมหลินกุ้ยเฟยลืมเลือนไปแล้ว
หากไม่มีใครเอ่ยขึ้นกับนาง พระสนมหลินกุ้ยเฟยคงไม่มีทางเอ่ยถึงเซี่ยเพ่ยหวน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางโหดร้ายต้องการให้เซี่ยเพ่ยหวนไว้ทุกข์ให้แก่โอรสของตนไปชั่วชีวิต นางเองก็เป็นสตรีคนหนึ่ง แน่นอนเข้าใจถึงความลำบากของสตรี หากเป็นสตรีทั่วไป สตรีที่ยังไม่ออกเรือนคู่หมั้นตายจากไปไว้ทุกข์หนึ่งปีนี้ก็นับว่ามีเยื่อใยแล้ว แต่พวกเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ ฮ่องเต้และพระสนมกุ้ยเฟยไม่เอ่ยวาจา แน่นอนตระกูลเซี่ยไม่กล้าทำอันใดมาก ฮ่องเต้ไม่มีทางมาสนใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ และพระสนมนั้นจมอยู่กับความโศกเศร้า ตลอดสองปีมานี้แม้แต่งานเลี้ยงก็น้อยครั้งที่จะปรากฏตัว จึงปล่อยให้เซี่ยเพ่ยหวนต้องเสียเวลาไปกว่าหลายปี
พระสนมหลินกุ้ยเฟยถอนหายใจ เอ่ย “หลายปีมานี้พวกเขาไม่กล้าเอ่ยถึงองค์ชาย ไม่คิดว่าจะเป็นเจ้าที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก่อน” พระสนมหลินกุ้ยเฟยลุกขึ้น หยิบกล่องผ้าไหมมาวางตรงหน้าหนานกงมั่ว เอ่ย “ข้าคงไม่มีโอกาสออกจากวังแล้ว สิ่งนี้เจ้าช่วยมอบมันให้คุณหนูเซี่ยแทนข้าด้วย บอกว่า…เป็นสินเจ้าสาวที่ข้ามอบให้นาง ต่อไป…หากมีโอกาส ตระกูลเซี่ยเจอคนที่เหมาะสม เข้าวังมาบอกข่าว ข้าจะประทานของขวัญให้คุณหนูเซี่ยอย่างแน่นอน” หลายเรื่องไม่จำเป็นต้องเอ่ยชัดเจน พระสนมหลินกุ้ยเฟยเองก็คงไม่เอ่ยออกมาตรงๆ ว่าเซี่ยเพ่ยหวนสามารถแต่งงานกับคนอื่นได้ ส่วนประโยคหลังนั้น สถานการณ์ของฝ่าบาทในตอนนี้จะมีโอกาสนั้นหรือไม่ ยังไม่อาจบอกได้
“อู๋สยาขอบพระทัยพระสนมแทนเซี่ยเพ่ยหวนเพคะ”
พระสนมหลินกุ้ยเฟยหัวเราะเสียงเบา เอ่ย “เพราะข้าทำให้คุณหนูเซี่ยต้องเสียเวลา ตระกูลเซี่ยไม่โทษข้าก็ดีมากแล้ว พวกเขาเองก็ด้วย…ข้าอายุเพียงนี้แล้ว จะทำให้เด็กคนหนึ่งต้องลำบากไปทำไมกัน” องค์ชายจากไปแล้วนางรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อครั้งที่หมั้นหมายนางเองก็ทำใจเอาไว้บ้างแล้ว คนนั้นย่อมเห็นแก่ตัว หากการหมั้นหมายสามารถช่วยชีวิตของโอรสเอาไว้ได้จริง อย่าว่าแต่คุณหนูเซี่ยสามเพียงคนเดียว ต่อให้มีสิบคนแปดคนนางก็ร้องขอเพื่อโอรสได้ เรื่องพิธีมงคลนั้นกำจัดสิ่งชั่วร้าย นางเองก็รู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่ไม่อยากเสียโอกาสสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตโอรส หากบอกว่าพาลไปโกรธเซี่ยสามเพราะเรื่องนี้ นางไม่ได้ไร้ยางอายเพียงนั้น คุณหนูตระกูลเซี่ยต้องมาเสียเวลากับคนที่พึ่งเจอหน้ากันเพียงครั้งเดียวมานานหลายปีก็เพียงพอแล้ว ทำได้เพียงหวังว่าอนาคตนางจะมีที่พักพิงที่ดี เท่านั้นก็นับว่าสร้างคุณธรรมให้องค์ชายแล้ว
กลางดึก เงาดำพุ่งทะยานออกจากตำหนักหย่งอันอย่างรวดเร็ว มุ่งออกไปจากส่วนในตรงไปยังตำหนักของฮ่องเต้ ตลอดทางหลังจากหลบหลีกจากทหารองครักษ์ที่ตรวจตราอยู่ด้านนอกในที่สุดก็มาถึงด้านนอกพระตำหนักอันใหญ่โต ภายใต้ค่ำคืนมืดมิด เหนือผ้าสีดำที่ปิดไว้ครึ่งหน้าเผยให้เห็นดวงตาสีดำคู่นั้นที่ดูสงบนิ่ง หนานกงมั่วเบียดชิดผนัง กวาดไล่สายตามองทหารองครักษ์ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูพลางลอบถอนหายใจอยู่ในใจ มิน่าเล่าคนของลิ่นฉังเฟิงถึงเข้ามาไม่ได้ ทหารองครักษ์เรียกได้ว่าแน่นหนา ตลอดทางที่นางผ่านมานั้นเรียกได้ว่าอันตรายทุกย่างก้าว
วางตะกร้อกำยานประณีตไว้ใต้ท้องสิงโตทองแกะสลักอย่างระมัดระวัง หนานกงมั่วลอยขึ้นไปบนหลังคา กลิ่นหอมนี้จางจนแทบไม่ได้กลิ่น และคนที่สูดดมเข้าไปไม่ถึงขั้นสลบไปทันที เพียงแค่รู้อ่อนล้าเท่านั้น ในกลางดึกเช่นนี้ ยาประเภทนี้ไม่เป็นที่ดึงดูดความสนใจ เพราะผู้คนมักจะรู้สึกเหนื่อยล้ากว่าปกติอยู่แล้ว แต่เมื่อรวมกับยาอีกชนิดล่ะก็ จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทันที หากไม่ถึงที่สุดหนานกงมั่วไม่อยากทำให้องครักษ์ในวังต้องแตกตื่น