ตอนที่ 446 ฮ่องเต้สวรรคต (1)
เซียวฉุนยิ้ม “อ้อ ข้าเพียงอยากบอกเสด็จพี่ พระองค์ไม่ต้องกังวลว่าหลังจากที่พระองค์สวรรคตแล้วบรรดาโอรสของพระองค์จะทำเรื่องอันใด อย่างน้อย…เยี่ยนอ๋องและฉีอ๋องหากมีชีวิตของหลานชายเข้ามาเกี่ยวข้องพวกเขาคงไม่กล้าทำอันใด เพื่อบุตรชายองค์หญิงฉังผิงเองก็คงไม่กล้าเอ่ยอันใด ดังนั้น เสด็จพี่ ท่านก็ไปอย่างสงบเถิด”
“…” เห็นชัดว่ากำลังจะทำให้ฮ่องเต้โกรธจนตาย
“ดี…ดีมาก” ฮ่องเต้เอ่ย “ที่แท้เจ้า…คิดมารอบคอบ ตอนนั้นข้าคิดว่าเจ้ายังเด็ก นับว่าดูถูกเจ้าแล้ว”
ใบหน้าของเซียวฉุนเผยให้เห็นความโหดร้าย จ้องมองด้วยความแค้น “ในที่สุดพระองค์ก็รู้ว่าดูถูกข้าหรือ ข้าเคยสาบานว่าพระองค์จะเสียใจภายหลัง ซิงเฉิงจวิ้นจู่ เลือกมาเถิด จะหนีไปหรือตายไปพร้อมกับเสด็จพี่อยู่ที่นี่ ข้ามีเวลาครึ่งเค่อให้เจ้าได้เลือก” หนานกงมั่วเงียบไปชั่วครู่จึงเอ่ยถามขึ้นมา “หม่อมฉันยังมีคำถาม บิดาของเว่ยจวินมั่ว…”
เซียวฉุนหัวเราะ มองฮ่องเต้ด้วยรอยยิ้มหยัน เอ่ย “เกรงว่าฮ่องเต้ก็คงลืมไปแล้วใช่หรือไม่ มารดาของเยี่ยนอ๋องฉีอ๋องและองค์หญิงฉังผิงเป็นคนต่างชนเผ่า แม้ว่ามารดาขององค์หญิงฉังผิง รวมไปถึงเยี่ยนอ๋องและฉีอ๋องจะมีดวงตาที่เหมือนกับคนที่ราบลุ่มภาคกลางทั่วไป แต่ชนเผ่าของพระสนมผู้นั้นเว้นห่างบางรุ่นยังมีการให้กำเนิดคนที่มีดวงตาสีม่วง แน่นอนเรื่องนี้คนนอกไม่รู้ แต่เสด็จพี่พระองค์ต้องรู้สิจึงจะถูก”
ฮ่องเต้เงียบไปชั่วครู่ พระมารดาของเยี่ยนอ๋องฉีอ๋องและองค์หญิงฉังผิงจากไปเร็ว เมื่อโอรสธิดาโตขึ้นมาสักนิดล้วนเป็นฮองเฮาที่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ตนมีความทรงจำกับพระมารดาของพวกเขาไม่มากนัก แต่กลับจำได้ว่าสตรีผู้นั้นมีเลือดของต่างชนเผ่าอยู่บ้าง
“อู๋สยา เจ้าไปเถิด” ฮ่องเต้หันไปมองหนานกงมั่ว เอ่ยเสียงเข้ม
หนานกงมั่วเงียบ ไม่เอ่ยสิ่งใด ฮ่องเต้เอ่ยเสียงเรียบ “ข้ามาถึงจุดนี้แล้ว รู้มากก็ไม่มีความหมายอันใดแล้ว ต่อไปก็เป็นเรื่องของจวิ้นอ๋องน้องเจ้าแล้วมิใช่หรือ อู๋สยาเจ้ามานี้ ข้ามีบางอย่างจะบอกกับเจ้า” หนานกงมั่วเดินเข้าไปใกล้ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ถอนหายใจ “ข้าคิดมาเสมอว่าเชียนเยี่ยมีใจโลเล แต่อย่างไรก็เป็นเด็กฉลาดและกตัญญู ข้าอยู่ในอำนาจมานานหลายปี และเข้มงวดเกินไป ทั้งยังมีวิธีการปกครองที่เข้มงวดเกินไป อาณาจักรเซี่ยต้องการกษัตริย์ที่ใจกว้างและมีเมตตา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า…ข้าคงพลาดไปแล้ว แต่ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ข้าก็ไม่มีอันใดจะเอ่ย ต่อไป…เจ้าช่วยข้าดูแลพระสนมหลินกุ้ยเฟยด้วย นางอายุยังน้อย เจ้าสิบเก้าก็จากไปแต่วัยเยาว์นับว่าเป็นคนน่าสงสาร”
ดวงตาของหนานกงมั่วฉายแววประหลาดใจ ทว่ากลับพยักหน้าเบาๆ “เพคะ หากทำสำเร็จ หม่อมฉันจะทำสุดความสามารถเพคะ”
“เจ้าเป็นเด็กดี น่าเสียดาย…ไปเถิด” ฮ่องเต้โบกมือ หลับตาลงไม่มองหนานกงมั่วอีก หนานกงมั่วมองฮ่องเต้เป็นครั้งสุดท้าย ใบหน้าของคนชราซูบผอมไร้ซึ่งความยิ่งใหญ่และมั่นคงดั่งที่เคยเป็นมา เหลือไว้เพียงชายชราที่โศกเศร้าไร้ซึ่งอำนาจ สำหรับฮ่องเต้องค์นี้ หนานกงมั่วไม่เรียกว่ารู้สึกดีแต่ก็มิได้โกรธเกลียด แต่ไม่ยอมรับไม่ได้ว่าเขาเป็นบุคคลที่เก่งกาจ ยามนี้เห็นสภาพของเขา จึงเกิดความรู้สึกเศร้าโศกอยู่ในใจอย่างห้ามไม่ได้
หนานกงมั่วไม่ได้ออกประตูหน้าตำหนัก ทว่ากลับทางเดิมที่เข้ามา ถือโอกาสนำของที่ตนเองซ่อนเอาไว้ด้านนอกกลับไปด้วย รอจนผ่านคืนนี้ไป ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่านางมาที่นี่ แน่นอนว่าเซียวฉุนทำได้ น่าเสียดาย…เซียวฉุนเองก็คงไม่ต้องการให้ใครรับรู้ว่าเขาเองก็เคยมาที่นี่ในคืนนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงราวกับไม่เคยเจอกันในคืนนี้ หลังจากที่นางจากไป จุดจบของฮ่องเต้แน่นอนว่านางรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่นับตั้งแต่เซียวฉุนเอ่ยถึงเรื่องชาติกำเนิดของเว่ยจวินมั่ว หนานกงมั่วจึงละทิ้งทุกวิถีทางที่จะช่วยฮ่องเต้ นางช่วยไม่ได้และไม่อาจช่วย ต่อให้คืนนี้เกิดปาฏิหาริย์ทำให้นางช่วยฮ่องเต้ได้ ไม่ว่าสิ่งที่เซียวฉุนเอ่ยในคืนนี้จะเป็นความจริงหรือไม่ เรื่องราวหลังจากนี้…อย่างไรฮ่องเต้ก็ไม่มีทางปล่อยเว่ยจวินมั่วเอาไว้อย่างแน่นอน
หันกลับไปมองตำหนักที่ตั้งตระหง่าน ดวงตาของหนานกงมั่วมีความหนักแน่นพาดผ่าน หมุนตัวหายลับเข้าไปในความมืด
ในห้องโถงใหญ่ของตำหนักหย่งอัน พระสนมหลินกุ้ยเฟยเดินกลับไปมาด้วยจิตใจที่ไม่สงบอยู่ในห้องนั้น นางกำนัลที่คอยปรนนิบัติถูกนางไล่ออกไปจนหมดแล้ว เหลือไว้เพียงแสงจากเปลวเทียนเล่มเดียวให้ความรู้สึกอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว หน้าต่างของตำหนักเกิดเสียงเคลื่อนไหวเบาๆ พระสนมหลินกุ้ยเฟยตกใจและสาวเท้าเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว เพิ่งก้าวเดินเข้าไปก็มองเห็นหนานกงมั่วที่อยู่ในชุดสีดำไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“จวิ้นจู่”พระสนมหลินกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเบา ท่าทางของซิงเฉิงจวิ้นจู่ทำให้นางรู้สึกว้าวุ่น “เข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้วหรือไม่”
หนานกงมั่วหมุนตัวกลับมา มองตรงมายังพระสนมหลินกุ้ยเฟยพร้อมกับพยักหน้าตอบรับเบาๆ พระสนมหลินกุ้ยเฟยเห็นท่าทางของนางก็อดหวาดกลัวไม่ได้ “ทำไมหรือ เกิดเรื่องอันใดแล้วหรือไม่”
หนานกงมั่วเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ย “ฝ่าบาทเกรงว่า…”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” พระสนมหลินกุ้ยเฟยสาวเท้าเข้าใกล้ จับมือหนานกงมั่วเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง หนานกงมั่วส่ายศีรษะ เอ่ย “พระสนม รู้มากไปจะไม่เป็นการดีกับพระองค์เอง พระองค์…ช่วงนี้อย่าพึ่งออกไปไหน รอจนกว่า…ดูว่าจะเป็นหวงจั่งซุนขึ้นครองราชย์หรือเป็นผู้ใด พระองค์เป็นกุ้ยเฟยในฝ่าบาท ไม่ว่าใครขึ้นครองบัลลังก์ เกรงว่าคงไม่มีใครกล้าล่วงเกินพระสนม”
พระสนมหลินกุ้ยเฟยร่างกายอ่อนยวบ รีบเกาะเสาที่อยู่ด้านข้างเอาไว้ ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ “เกิด…เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ เอ่ย “จริงสิ พระสนม ช่วงนี้ฝ่าบาทได้มอบสิ่งใดให้พระสนมหรือไม่เพคะ” พระสนมหลินกุ้ยเฟยนั่งลงไปบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง เมื่อได้ยินสิ่งที่หนานกงมั่วเอ่ยถามจึงส่ายหน้าด้วยความสงสัย “ข้าไม่ได้เจอฝ่าบาทมานานแล้ว ฝ่าบาทจะ…จริงสิ เมื่อเช้าฝ่าบาทส่งคนนำของประทานให้แก่แต่ละตำหนัก ตรัสว่า องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์เหล่าพระสนมทั้งหลายไม่อนุญาตให้ใช้สิ่งที่มีสีสันสดใส ดังนั้นจึงประทานเครื่องประดับเรียบๆ มาให้ เดิมทีข้ารู้สึกประหลาดใจ เพียงคิดว่าองค์รัชทายาทพึ่งจากไป ฝ่าบาทคงโศกเศร้าเกินไป…”
“หม่อมฉันขอดูได้หรือไม่เพคะ”
“แน่นอนว่าได้” พระสนมหลินกุ้ยเฟยเอ่ย “จวิ้นจู่ตามข้ามาเถิด”
พระสนมหลินกุ้ยเฟยไม่ได้เรียกนางกำนัลเข้ามาช่วย พาหนานกงมั่วเข้าไปดูสิ่งของที่ฝ่าบาทประทานมาให้ด้วยตนเอง โชคดีที่ของเหล่านี้ยังถูกวางอยู่ในห้องโถงใหญ่ ไม่ต้องไปรบกวนนางกำนัล สิ่งของที่ฮ่องเต้ประทานมาให้ พระสนมหลินกุ้ยเฟยไม่ได้ใช้ แต่อย่างไรก็ตาม ต่อให้สิ่งของที่ประทานมาให้จะเป็นเงินทองหรือผ้าธรรมดาอย่างไรก็ต้องรับเอาไว้ พระสนมหลินกุ้ยเฟยเปิดกล่องสีแดงกล่องหนึ่งออก ด้านในมีผ้าอวิ๋นจิ่น[1]หลายผืน อีกทั้งยังมีเครื่องประดับหยกและเครื่องเงินถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หนานกงมั่วขมวดคิ้วมองสิ่งของตรงหน้า เงียบไปชั่วครู่ก่อนจะหยิบกุญแจทองคำออกมาจากแขนเสื้อ สายตายังจับจ้องมองสิ่งของที่อยู่ในกล่อง
“นี่คือ” พระสนมหลินกุ้ยเฟยมองกุญแจในมือของนางด้วยความตกใจ หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เอ่ย “พระสนมรู้จักของสิ่งนี้หรือเพคะ”
พระสนมหลินกุ้ยเฟยพยักหน้า เอ่ย “หลายปีก่อนข้าเคยเห็นมันอยู่กับฝ่าบาท ฝ่าบาทบอกว่า…กุญแจดอกนี้ใช้เปิดสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพระองค์ ดังนั้นปกติแล้วจะเก็บไว้กับตัวตลอดเวลา แต่มันใช้เปิดสิ่งใด ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน” หนานกงมั่วไม่แปลกใจ คนแบบฮ่องเต้ พระสนมหลินกุ้ยเฟยรู้จักถึงเพียงนี้นั่นนับว่าฮ่องเต้เชื่อใจมากแล้ว มิน่าองค์หญิงฉังผิงจึงพานางมาพบพระสนมหลินกุ้ยเฟย อีกทั้งฮ่องเต้เองสุดท้ายก็ยังให้นางมาหาพระสนมหลินกุ้ยเฟย
[1] ผ้าอวิ๋นจิ่น หรือที่เรียกว่าหนานจิง เป็นชนิดของผ้าที่ทำในหนานจิงมณฑลเจียงซูประเทศจีน คำว่า อวิ๋นจิ่น เป็นคำทั่วไปสำหรับผ้าไหมแบบดั้งเดิมซึ่งผลิตสำหรับราชวงศ์เท่านั้น จนมาถึงปลายช่วงราชวงศ์ชิง วิวัฒนาการทำผ้าลายเมฆหนานจิงเข้าสู่ช่วงขีดสูงสุด ซึ่งหลังจากนั้นมากลายเป็นสินค้าที่ถูกขายให้กับประชาชนทั่วไป