ตอนที่ 449 สถานการณ์ของเซียวเชียนเยี่ย
“อันใดกัน” ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยด้วยความแปลกใจ หากเซียวเชียนเยี่ยมีสิ่งนั้น ยังจะถูกตระกูลขุนนางเหล่านั้นกดดันอยู่แบบนี้หรือ
หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ฝ่าบาทสามารถเตรียมราชโองการล่วงหน้าเพื่อแต่งตั้งหวงจั่งซุนขึ้นเป็นไท่ซุนได้ ท่านคิดว่าพระองค์จะมีราชโองการแก่บรรดาขุนนางหรือไม่”
“เจ้าหมายถึง” ลิ่นฉังเฟิงประหลาดใจ
“ฝ่าบาทไม่มีความอดทนเพียงนั้น คงอยากจะตัดหัวพวกเขา น่าเสียดาย…เซียวเชียนเยี่ยและเซียวฉุนคงไม่เห็นด้วยกับราชโองการนี้” นำราชโองการที่เขียนด้วยพระองค์เองส่งคืนให้กับตระกูลขุนนาง แม้จะสามารถแลกกับความสงบเพียงระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นเซียวเชียนเยี่ยหรือเซียวฉุน เกรงว่าคงไม่กล้ามีราชโองการซ้ำเป็นครั้งที่สอง แม้ตระกูลขุนนางเหล่านี้รู้ว่าราชวงศ์คิดกำจัดพวกเขา จะไม่ป้องกันคงเป็นไปไม่ได้ เซียวเชียนเยี่ยและเซียวฉุนสามารถนั่งบนบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง อนาคตก็คงยากที่จะเลี่ยงการบีบบังคับจากเหล่าขุนนาง
ลิ่นฉังเฟิงขมวดคิ้ว เอ่ย “เช่นนี้…ตัวเลือกนี้ของเซียวเชียนเยี่ยและเซียวฉุน โง่มากเลยหรือ”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ เอ่ย “ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพียงแล้วแต่คนเท่านั้น ท่านคงไม่คิดว่าเหล่าผู้ปกครองเมืองทั้งหลายจะปล่อยให้คนอายุน้อยกว่าขึ้นครองบัลลังก์ได้ง่ายๆ หรือ หากเวลานี้เซียวเชียนเยี่ยและเซียวฉุนไม่เอาอกเอาใจเหล่าขุนนาง ถึงตอนนั้นตระกูลเหล่านี้ร่วมมือกัน พวกเขาคงต้องรับศึกทั้งหน้าและหลัง”
ลิ่นฉังเฟิงกลอกตา “เช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเลือกอะไรก็ไม่ถูกหรือ”
หนานกงมั่วยิ้มบาง “นี่ไม่ใช่ตัวเลือก นี่คือปัญหาของอุปนิสัย หากเป็นอดีตฮ่องเต้…ไม่มีทางเกิดปัญหาเช่นนี้อย่างแน่นอน ออกพระราชโองการจัดการเหล่าตระกูลขุนนางก่อน จากนั้นค่อยเผชิญหน้ากับผู้ปกครองเมืองก็จบแล้ว เซียวเชียนเยี่ยมีราชโองการของฝ่าบาทอยู่ในมือ หรือว่ากลัวผู้ปกครองเมืองจะก่อกบฏอย่างนั้นหรือ เซียวเชียนเยี่ยมินิสัยไม่เฉียบขาด เซียวฉุนกลับโหดเหี้ยม แต่ว่า…คนคนหนึ่งที่ยอมอดทนมายี่สิบปีนอกจากบ่งบอกว่าเขาอดทนและรอบคอบ ยังบ่งบอกสิ่งใดได้อีกหรือ”
“บ่งบอกสิ่งใดหรือ”
“ขี้ขลาด” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “เซียวฉุนไม่มีความกล้าหาญเช่นอดีตฮ่องเต้ และไม่ได้ผ่านสนามรบมามากมายเหมือนกับอดีตฮ่องเต้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงลอบวางแผนอยู่ลับๆ แย่งชิงอำนาจมาอย่างน่าละอาย ได้รับอำนาจทั้งหมดมาด้วยแผนการชั่วร้าย แต่ไม่อาจรักษาอำนาจเอาไว้ด้วยวิธีการที่ชั่วร้าย เซียวฉุนมีความสามารถในการชิงอำนาจ ไม่รู้ว่ามีความสามารถกอบกุมอำนาจไว้ได้หรือไม่”
ลิ่นฉังเฟิงพยักหน้า สายตาแปลกประหลาดมองไปยังหนานกงมั่ว “แม่นางมั่ว เจ้าช่างไม่เหมือนแม่นางที่เกิดในตระกูลขุนพลเลย”
หนานกงมั่วยิ้มร่า เอ่ย “คุณชายฉังเฟิงคิดว่าต้องเป็นเช่นไรจึงจะเหมือนเกิดในตระกูลขุนพลกันเล่า ยิ่งไปกว่านั้น…ข้าเองก็ไม่รู้สึกว่าจวนฉู่กั๋วกงมีผลอันใดกับข้า” ลิ่นฉังเฟิงตบหน้าผาก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จะว่าไปก็ใช่ เกรงว่าเมิ่งฮูหยินคงสั่งสอนเจ้ามามากกว่าจวนฉู่กั๋วกงมากทีเดียว เพียงเซียวเชียนเยี่ยขึ้นครองบัลลังก์…คนในจวนฉู่กั๋วกงพวกนั้นจะมาสร้างเรื่องวุ่นวายให้กับเจ้าหรือไม่”
“สร้างเรื่องวุ่นวายให้ข้าอย่างนั้นหรือ” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ที่พวกเขาควรกังวลก็คือ อีกสักหน่อยจะมีคนมาหาเรื่องพวกเขาหรือไม่ กับข้าใช่ว่าใครจะมาสร้างเรื่องให้ข้าก็ได้หรอกนะ”
เซียวเชียนเยี่ยที่กำลังจะขึ้นครองราชย์นั้นมิได้มีความฮึกเหิมอย่างที่ใครๆ คิด
พระราชอุทยานแห่งหนึ่งในพระราชวัง เซียวเชียนเยี่ยใบหน้าซีดขาว ดูซูบผอมซีดเซียวเสียยิ่งกว่าเมื่อครั้งอยู่หลิงโจวด้วยซ้ำ หากออกไปข้างนอกคงดูเหมือนกำลังเสียใจและเจ็บปวดที่เสด็จปู่และเสด็จพ่อของตนจากไป ใบหน้าของเซียวเชียนเยี่ยไม่มีความยินดีหรือรอคอยต่อการขึ้นครองบัลลังก์เลยแม้เพียงนิด ดวงตาหมองคล้ำเล็กน้อยกวาดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ความเจ็บปวดและหวาดกลัวปรากฏอยู่ในสายตา ผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่ใช่นางกำนัลหรือนางในแต่เป็นองครักษ์ ใบหน้าเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก ยามนี้ใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว บรรยากาศในจินหลิงเรียกได้ว่าหนาวเหน็บ เซียวเชียนเยี่ยผู้ที่กำลังจะสืบทอดบัลลังก์นั้นเปิดหน้าต่างปะทะลมหนาวทว่ากลับไม่มีใครสนใจ
ด้านนอกเกิดเสียงฝีเท้าดังขึ้น ประตูตำหนักถูกเปิดออก เซียวฉุนเดินนำคนเข้ามา
เซียวเชียนเยี่ยหันกลับมามองเซียวฉุน สีหน้าเปลี่ยนเป็นโกรธแค้นขึ้นมาทันใด ลุกขึ้นและพุ่งเข้าหาเซียวฉุน แม้วรยุทธ์ของเซียวเชียนเยี่ยจะไม่เลว แต่ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ขององครักษ์ข้างกายของเซียวฉุน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงทุกวันนี้ที่เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายเริ่มอ่อนแอ องครักษ์สองคนก้าวขึ้นมาด้านหน้า จับเขาเอาไว้ซ้ายขวาในขณะที่เขาอยู่ใกล้เซียวฉุนเพียงไม่กี่ชุ่น
เซียวฉุนมองเซียวเชียนเยี่ยอย่างสนอกสนใจ คล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้ม เอ่ย “เชียนเยี่ย นี่เจ้าจะทำอันใดหรือ”
“เซียวฉุน เจ้ามันบ้า เจ้ามันคนบ้า…เจ้ามันคนทรยศ ข้าจะฆ่าเจ้า” เซียวเชียนเยี่ยด่าทอ เซียวฉุนไม่ใส่ใจ ยักไหล่พลางหัวเราะ “หลานรัก อย่าเอ่ยเยี่ยงนี้ เรามันพวกเดียวกัน หากข้าทรยศ แล้วเจ้าเล่าเป็นอันใด หากรู้…สิ่งดีๆ ทุกอย่างจะตกเป็นของเจ้าผู้ดียว ข้า อย่างมากก็คงเรียกได้ว่าผู้สนับสนุน ฝ่าบาท พระองค์ว่าใช่หรือไม่”
“เจ้า!” เซียวเชียนเยี่ยโกรธจนดวงตาแทบถลน จ้องคนตรงหน้าอย่างเคียดแค้น เขาเคยคิดได้เยี่ยงไรว่าคนผู้นี้นั้นจิตใจดี เป็นเสด็จปู่รองที่สนับสนุนเขาอย่างจริงใจ นี่มันปีศาจร้ายชัดๆ เขาทำให้เสด็จพ่อต้องตาย ทำให้เสด็จปู่ต้องตาย…
มองท่าทีโกรธเกรี้ยวของเขา เซียวฉุนยิ้มเย็นอย่างไม่พอใจ เอ่ย “ตอนนี้แสดงท่าทางเช่นนี้ให้ผู้ใดดูกัน ตอนนั้นที่ข้าลงมือเจ้าก็มิได้ห้าม อยากแก้แค้นแทนเสด็จพ่อและเสด็จปู่ของเจ้าหรือ ได้สิ เพียงเจ้าออกไปยืนแล้วพูดออกมาว่าข้าเป็นคนฆ่าองค์รัชทายาทและฮ่องเต้ก็พอแล้ว ข้าไม่ห้ามเจ้า ไปสิ”
ใบหน้าหล่อเหลาของเซียวเชียนเยี่ยบิดเบี้ยว ทว่ากลับมิได้เดินออกไป ทำเพียงใช้สายตาโกรธแค้นจ้องเขม็งไปยังเซียวฉุน
เซียวฉุนรู้อยู่แล้วว่าเซียวเชียนเยี่ยจะมีปฏิกิริยาเช่นไร มองเขาพลางเอ่ย “เจ้ามีสิ่งใดไม่พอใจ เรื่องทุกอย่างข้าทำเพื่อเจ้า เจ้ามิได้ทำอันใดเลย ไม่ต้องแย่งชิงกับทายาทคนอื่น ไม่ต้องไปประจบประแจงองค์รัชทายาทที่มิได้ชื่นชอบเจ้า กระทั่งไม่ต้องไปเอาอกเอาใจบรรดาขุนนางเหล่านั้นก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์ เจ้าต้องขอบคุณข้ามิใช่หรือ”
เซียวเชียนเยี่ยกัดฟันเอ่ย “เจ้าไม่กลัวกรรมตามสนองหรือ” เขาไม่ต้องทำอันใดเลยก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์จริง แม้แต่ในความฝันของเซียวเชียนเยี่ยเขายังไม่เคยคิดว่าเรื่องราวจะง่ายถึงเพียงนี้ แต่เขากลับไม่รู้สึกมีความสุขหรือภาคภูมิใจเลยแม้เพียงนิด เพราะเขาเข้าใจดี ตำแหน่งฮ่องเต้ของเขานั้นแสดงถึงสิ่งใด แต่เขากลับไม่มีความกล้าที่จะแตกหักกับเซียวฉุน หากโวยวายไปแล้วสิ่งที่เขาสูญเสียไม่ใช่เพียงบัลลังก์ แผ่นดินนี้ ขุนนางบู๊บุ๋นทั้งหลายจะเชื่อเขาหรือว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตายของเสด็จพ่อและเสด็จปู่ พี่น้องสองคนนั้นของเขา อีกทั้งตระกูลขุนนางที่เขาเคยทำให้ขุ่นเคืองต้องใช้โอกาสนี้กำจัดเขาเป็นแน่
มองสำรวจเซียวเชียนเยี่ย เซียวฉุนเอ่ยขึ้นอย่างพึงพอใจ “ดูเหมือนฝ่าบาทจะเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็เตรียมตัวให้ดีเถิด อีกไม่กี่วันก็ถึงวันพิธีขึ้นครองราชย์ของเจ้าแล้ว อย่าได้ทำให้เสียเรื่องเล่า”
สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยยังคงนิ่ง “พิธีขึ้นครองราชย์อย่างนั้นหรือ เป็นหุ่นเชิดของเจ้าหรือ”
เซียวฉุนยักไหล่ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจะไม่ทำก็ได้ ข้าเชื่อ ว่าอันจวิ้นอ๋องและเฉิงจวิ้นอ๋องเองก็สนใจตำแหน่งนี้อยู่เหมือนกัน” ยื่นมือออกไปตบไหล่เซียวเชียนเยี่ย เซียวฉุนหัวเราะเสียงดังหมุนตัวเดินออกไปเหลือไว้เพียงเซียวเชียนเยี่ยที่ยืนมองประตูว่างเปล่าด้วยสีหน้าที่ผันเปลี่ยนไปมาไม่นิ่ง