ตอนที่ 450 ความสัมพันธ์อวี่เลี่ยง (1)
“ฝ่าบาท” จูชูอวี้ปรากฏตัวขึ้นหน้าประตู หลุบสายตาลง คิ้วกดต่ำไปพร้อมกับสายตา เซียวเชียนเยี่ยหันกลับมามองนาง ดวงตาเผยความโกรธออกมา เอ่ยเสียงเย็น “คุณหนูใหญ่ตระกูลจูสมแล้วที่เป็นสตรีผู้มีความสามารถในจินหลิง ช่างแล่นเรือไปตามลมเก่งเสียเหลือเกิน” ตั้งแต่ถูกขังอยู่ที่เมืองลั่วสยานี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับจูชูอวี้ ตอนแรกเขายังคงคิดว่าต่อให้จูชูอวี้จะช่วยตนไม่ได้แต่อย่างน้อยก็คงช่วยส่งข่าวมายังเมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงจินหลิงเขาเพิ่งรู้ว่าคนที่ถูกกักขังนั้นมีเขาเพียงคนเดียว คุณหนูใหญ่ตระกูลจูนั้นยังยืนอยู่เคียงข้างเซียวฉุนและเข้ากันได้ดี
จูชูอวี้ทำราวกับไม่ได้ยินคำประชดประชันจากเซียวเชียนเยี่ย ทำเพียงยิ้มบาง เอ่ย “ยินดีกับการขึ้นครองบัลลังก์กับฝ่าบาทเพคะ”
“ไสหัวไปเสีย” เซียวเชียนเยี่ยรู้สึกราวกับถูกตอกย้ำให้เจ็บปวด ยื่นมือไปหยิบกาน้ำชาขว้างไปยังจูชูอวี้ จูชูอวี้เบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย กาน้ำชาลอยผ่านด้านข้างไป ตกกระแทกพื้นด้านนอกประตูแตกกระจายอยู่บนพื้น
จูชูอวี้เงยหน้าขึ้นมามองเซียวเชียนเยี่ยที่หายใจหอบ เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “ไยเย่ว์จวิ้นอ๋องต้องโกรธถึงเพียงนี้ โลกใบนี้…ผู้ที่แข็งเกร่งเป็นใหญ่ จูชูอวี้เป็นเพียงหญิงสาวบอบบาง แน่นอนว่าใครเก่งก็ติดตามผู้นั้น ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างพระองค์และหม่อมฉันเดิมก็คบหากันเพราะผลประโยชน์ เย่ว์จวิ้นอ๋องคงไม่คิดว่าชูอวี้จะยอมสละชีวิตเพื่อพระองค์หรอกใช่หรือไม่”
เซียวเชียนเยี่ยแค่นเสียงเย็น เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “เจ้ามาเพื่อมาเอ่ยสิ่งเหล่านี้กับข้าอย่างนั้นหรือ”
จูชูอวี้ส่ายหน้า เอ่ย “แน่นอนว่าไม่ หม่อมฉันเพียงนำคำของเจ้าสำนักหอธารามาบอกกับพระองค์เพคะ”
“กงอวี้เฉินหรือ คนสับปลับที่แอบหนีไปผู้นั้น ยังมีสิ่งใดต้องเอ่ยอีกหรือ” เซียวเชียนเยี่ยกัดฟันเอ่ย จูชูอวี้ยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ “หนีไปหรือเพคะ ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว เจ้าสำนักบอกว่า…ท่านอ๋องอยากได้บัลลังก์ ตอนนี้บัลลังก์มาอยู่ตรงหน้าแล้ว คำสัญญาของเจ้าสำนักเป็นจริงแล้ว” เซียวเชียนเยี่ยโกรธจนอยากหัวเราะออกมา “บัลลังก์มาอยู่ตรงหน้าอย่างนั้นหรือ กงอวี้เฉินบอกว่าจะช่วยข้า อีกทั้งยังแอบไปช่วยเซียวฉุน สถานการณ์ของข้าในตอนนี้เรียกว่าบัลลังก์มาอยู่ตรงหน้าแล้วหรือ”
จูชูอวี้เอ่ยเสียงเบา “ท่านอ๋องเลอะเลือนแล้ว บัลลังก์และอำนาจบัลลังก์นั้นคนละเรื่อง เจ้าสำนักเพียงสัญญากับพระองค์ว่าจะช่วยให้ได้บัลลังก์ ตอนนี้พระองค์ได้รับมันแล้วมิใช่หรือ ส่วนเรื่องที่ท่านอยากได้อำนาจของบัลลังก์นั้น คิดอยาก…แย่งอำนาจจากผู้สำเร็จราชการแทน นั่นเป็นอีกเรื่อง ในตอนนั้นท่านอ๋องยังสามารถเสนอราคาอย่างอื่นได้อีกนะเพคะ” เซียวเชียนเยี่ยยิ้มเย็น “เจ้าคิดว่าข้ายังคิดจะเชื่อใจกงอวี้เฉินอยู่อีกหรือ อยากให้เขาเอาข้าไปขายให้เซียวฉุนอีกครั้งอย่างนั้นหรือ”
คิ้วสวยของจูชูอวี้ขมวดมุ่น ราวกับมีความกลัดกลุ้มใจ “หม่อมฉันเป็นเพียงคนส่งสาร วาจานี้ของพระองค์ทำให้หม่อมฉันลำบากแล้ว เพียงแต่เจ้าสำนักยังฝากหม่อมฉันมาอีกหนึ่งประโยค หากฝ่าบาทคิดจะยกเลิกสัญญา เจ้าสำนักจะประกาศถึงข้อสัญญาและทุกๆ เรื่องให้โลกได้รับรู้”
“เจ้าข่มขู่ข้าหรือ”
จูชูอวี้ส่ายหน้า “ไม่ เป็นเจ้าสำนักต่างหากที่กำลังข่มขู่พระองค์” ยกมือขึ้นสัมผัสรอยแผลเป็นบนใบหน้า จูชูอวี้จึงถอนหายใจ “นิสัยอย่างกงอวี้เฉินทำสิ่งใดได้บ้าง คิดว่าฝ่าบาทเองก็รู้อยู่แก่ใจ” ใบหน้าของเซียวเชียนเยี่ยเข้มขึ้น เนิ่นนานจึงเอ่ย “สถานการณ์ของข้าในยามนี้ ต่อให้ไม่คิดยกเลิกสัญญาแล้วจะทำอันใดได้”
จูชูอวี้เอ่ยเสียงเบา “แม้สถานการณ์ของฝ่าบาทตอนนี้จะไม่ดีนัก แต่ฝ่าบาทพระองค์คือหวงจั่งซุนที่ถูกต้องตามหลักธรรมนองครองธรรม เป็นฮ่องเต้ของอาณาจักรเซี่ยในอนาคต นอกเสียจากคิดจะนำหยกไปเผากับหิน เช่นนั้นผู้สำเร็จราชการแทนก็ไม่กล้าทำอันใดกับฝ่าบาท เจ้าสำนักกงบอกว่าหากฝ่าบาทคิดจะตีคู่ผู้สำเร็จราชการแทน คนที่อดีตฮ่องเต้ทิ้งไว้ให้พระองค์บางทีอาจมีประโยชน์ อีกทั้งอาจารย์ของฝ่าบาท…”
“ข้ารู้แล้ว” เซียวเชียนเยี่ยเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ย “กงอวี้เฉินต้องการสิ่งใด หลังจากที่ข้าขึ้นครองบัลลังก์แล้วจะให้เขาได้สมปรารถนาเป็นแน่ แต่ว่า…หากเกิดเรื่องเช่นครั้งที่แล้ว…อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
จูชูอวี้ยิ้มบาง ไม่เอ่ยสิ่งใด ย่อตัวถวายทูลลาและถอยออกไป
จวนตระกูลเซี่ย
หนานกงมั่วนั่งดื่มชาอยู่ในห้องโถงใหญ่กับนายหญิงใหญ่เซี่ย ด้านข้าง สตรีตระกูลเซี่ยรวมไปถึงนายหญิงใหญ่เซี่ยต่างก็ตื่นเต้น บนโต๊ะตรงหน้านั้นมีเครื่องประดับมากมายที่หนานกงมั่วนำออกมาจากในวัง มือของเซี่ยโหวฮูหยินที่กำลังจับเครื่องประดับอยู่นั้นสั่นน้อยๆ รีบเอ่ย “จวิ้นจู่ กล่าวจริงหรือ”
หนานกงมั่ววางถ้วยชาลง เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “แน่นอนเจ้าค่ะ พวกนี้เป็นรางวัลที่พระสนมหลินกุ้ยเฟยประทานให้ วังหลวงมีราชโองการ อีกทั้งยังมีพระสนมหลินกุ้ยเฟยลงพระนามเป็นหลักฐาน”
“ดีมาก” เซี่ยโหวฮูหยินน้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ มองไปยังบุตรีที่อายุใกล้สิบแปดปีแล้ว หญิงสาวในเมืองจินหลิงอายุเท่านี้ที่ยังไม่ออกเรือนนั้นมีไม่มากแล้ว แม้ตอนนี้จะช้าไปบ้าง แต่ยังดีกว่าจะไม่มีไปตลอดชีวิต หลังจากการไว้ทุกข์ของแผ่นดินได้ครบหนึ่งปีพวกเขาจะรีบหาตระกูลที่เหมาะสมให้กับเซี่ยเพ่ยหวน อย่างน้อย…ก็ได้แต่งออกเรือนก่อนอายุยี่สิบ เดิมทีคิดว่าบุตรีจะไม่มีความหวังไปชั่วชีวิตแล้ว แต่ไม่คิดว่าซิงเฉิงจวิ้นจู่จะนำข่าวดีมาให้พวกเขา
“จวิ้นจู่ ข้าขอบคุณจวิ้นจู่แทนเจ้าเด็กเซี่ยสามแล้ว” นายหญิงใหญ่เซี่ยมองไปยังหนานกงมั่ว
หนานกงมั่วส่ายหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “นายหญิงใหญ่กล่าวหนักเกินไปแล้ว เพียงติดตามเสด็จแม่เข้าวังไปเข้าเฝ้า พระสนมจึงได้เอ่ยขึ้นมาเท่านั้น พระสนมกุ้ยเฟยเองมิได้คิดทำให้เพ่ยหวนต้องลำบาก เพียงแต่…พระสนมยังเอ่ย หลายปีมานี้ทำให้เพ่ยหวนต้องลำบากแล้ว ขอตระกูลเซี่ยให้อภัย”
เซี่ยฮูหยินเช็ดน้ำตา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีแล้ว ดีแล้ว…ท่านแม่กล่าวถูกแล้ว จวิ้นจู่มีพระคุณ พวกเรา…”
“ฮูหยินเอ่ยเช่นนี้เกรงใจแล้ว คิดเสียว่าอู๋สยาเป็นสหายของเพ่ยหวนก็พอแล้วเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยฮูหยินหยิบเครื่องประดับที่พระสนมหลินกุ้ยเฟยมอบให้ไปเก็บไปด้วยความยินดี แน่นอนตระกูลเซี่ยไม่ได้สนใจเครื่องประดับเพียงไม่กี่ชิ้นนี้ แต่ทั้งหมดนั้นเป็นท่าทีของพระสนมหลินกุ้ยเฟยต่อการแต่งงานของเซี่ยเพ่ยหวน สำหรับตระกูลเซี่ยแล้วมีความยิ่งใหญ่กว่าเครื่องประดับเงินทองมากมายด้วยซ้ำ
นายหญิงใหญ่เซี่ยสั่งให้คนออกไป ในห้องเหลือเพียงนางและหนานกงมั่วสองคน ก่อนจะเอ่ยถาม “จวิ้นจู่มาครั้งนี้ คงมิได้มีเพียงเรื่องของเพ่ยหวนหรอกใช่หรือไม่”
หนานกงมั่วหลุบตาพลางยิ้มบางๆ “ปิดนายหญิงใหญ่ไม่ได้เลยจริงๆ เพื่อขอพบกับท่านเซี่ยโหวจริงๆ เจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่เซี่ยขมวดคิ้ว เอ่ยถาม “เรื่องในวังหรือ”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ “ไม่เจ้าค่ะ เพื่อหลิงโจว โรคระบาดเจ้าค่ะ” นายหญิงใหญ่เซี่ยตกใจ เอ่ย “หลิงโจวเกิดโรคระบาดหรือ ในเมืองจินหลิงไม่มีใครเอ่ยถึง”
หนานกงมั่วยิ้มเจื่อน “ยามนี้อยู่ระหว่างพิธีขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ จะปล่อยเรื่องนี้ให้แพร่งพรายออกไปได้อย่างไรเจ้าคะ”
ก่อนหน้านี้คิดปกปิดเพราะปิดบังฮ่องเต้ ตอนนี้เซียวเชียนเยี่ยจะขึ้นครองราชย์แล้วแน่นอนไม่อาจปล่อยให้ข่าวหลุดออกไปได้ มิเช่นนั้นคงมีข่าวลือฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก็มีโรคระบาด อีกทั้งยังเกิดขึ้นที่เขตปกครองของตนเอง ชื่อเสียงของเซียวเชียนเยี่ยที่มีน้อยอยู่แล้วคงได้จบสิ้น สีหน้าของนายหญิงใหญ่เซี่ยเคร่งเครียดขึ้นมา พยักหน้า เอ่ย “เจ้าไม่ต้องร้อนใจ เดี๋ยวข้าจะให้คนไปเชิญเสี่ยวเอ๋อร์กลับมา”
ออกมาจากจวนตระกูลเซี่ย หนานกงมั่วพลันมองเห็นน้ำเสียงคุ้นเคยที่ยืนห่างออกไปไม่ไกลกำลังมองมาที่ตน คิ้วสวยเลิกขึ้น หนานกงมั่วเดินเข้าไป
“คารวะจวิ้นจู่”