ตอนที่ 448 ฮ่องเต้สวรรคต (3)
“เสด็จอาหรือ” องค์หญิงฉังผิงเอ่ยด้วยความตกใจ
หนานกงมั่วถอนหายใจ เอ่ย “ฝ่าบาททรงมีราชโองการแต่งตั้งเย่ว์จวิ้นอ๋องขึ้นเป็นหวงไท่ซุน[1]แล้วเพคะ แม้ว่ายังไม่ไม่ได้ดำเนินการในท้องพระโรง แต่ว่า…ตามกฎแล้ว ยามนี้ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทต่างก็ไม่อยู่แล้ว อีกไม่นานเย่ว์จวิ้นอ๋องก็จะต้องขึ้นครองบัลลังก์ เสด็จแม่ ท่านไปจากจินหลิงเถิดเพคะ หลังจากนี้คงอันตรายมากขึ้น”
จินหลิง
“ต่อให้เย่ว์จวิ้นอ๋องขึ้นครองราชย์ เขาจะทำอันใดข้าได้” องค์หญิงฉังผิงส่ายศีรษะ เอ่ย “ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเจ้าไม่ไป มารดาจะไปได้เยี่ยงไร” ทว่าเว่ยจวินมั่วมีตำแหน่งในราชสำนัก หากดึงดันหนีไปนับว่ามีโทษหนัก ต่อให้ไปถึงโยวโจวก็คงต้องใช้ชีวิตโดยปิดบังชื่อเสียงเรียงนาม
“ผิงชวนจวิ้นอ๋อง…รู้ชาติกำเนิดของจวินมั่วแล้วเพคะ”
“อะไรนะ” องค์หญิงฉังใบหน้าซีดขาว
“วันที่เจ็ดเดือนเจ็ด ซาพั่วหลาง[2]”
องค์หญิงฉังผิงคว้าตัวหนานกงมั่วเอาไว้ เอ่ย “มั่วเอ๋อร์ อย่าสนใจเรื่องในจินหลิงเลย เจ้าควรรีบไปหลิงโจว บอกจวินมั่วว่าอย่ากลับมาอีก ไปโยวโจวหาเสด็จพี่สามเถิด” หนานกงมั่วยื่นมือออกมาแตะหลังมือขององค์หญิงฉังผิงเบาๆ เอ่ยปลอบ “เสด็จแม่ไม่ต้องกังวลเพคะ หม่อมฉันมีแผนการอยู่บ้าง ยามนี้ผิงชวนจวิ้นอ๋องยังไม่กล้าแตะต้องจวินมั่วหรอกเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงไม่เชื่อเท่าใดนัก หากมิใช่เพราะเว่ยจวินมั่วถือกำเนิดในวันเวลานี้โดยบังเอิญ ไยจึงได้รับความยากลำบากเพียงนี้ ก่อนหน้านี้เซียวฉุนรับรู้ทว่าไม่สนใจ นั่นเพราะแผ่นดินนี้มิใช่ของเขา แต่ตอนนี้…ต่อให้ยามนี้เขาไม่อาจขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างน้อยก็เป็นชินอ๋องที่กำอำนาจไว้ในมืออย่างแท้จริง ส่วนหลานชายคนนั้นของตน องค์หญิงฉังผิงคิดว่าเขาไม่มีทางปล่อยจวินเอ๋อร์เอาไว้แน่
หนานกงมั่วเอ่ย “เสด็จแม่โปรดวางใจ หม่อมฉันไม่เอาชื่อของเว่ยจวินมั่วมาล้อเล่นหรอกเพคะ หากพวกเราไปแบบนี้ จวินมั่วจำต้องปิดบังชื่อเสียงไม่อาจเจอหน้าผู้คนไปตลอดชีวิต เพียงแต่…หม่อมฉันเป็นห่วงเสด็จแม่” สิ่งเดียวที่ทำให้หนานกงมั่วเป็นห่วงอย่างไม่ต้องสงสัยนั่นคือองค์หญิงฉังผิง
องค์หญิงฉังผิงส่ายศีรษะ เอ่ย “เด็กโง่ ยามนี้แน่นอนพวกเขาไม่กล้าแตะต้องจวินเอ๋อร์ ยิ่งไม่กล้าลงมือกับข้า เสด็จพ่อไม่อยู่แล้ว หากเชียนเยี่ยขึ้นครองบัลลังก์จริงๆ…”
หนานกงมั่วเงียบ สิ่งที่องค์หญิงฉังผิงเอ่ยใช่ว่าจะไร้เหตุผล แต่นางยังคงเป็นห่วงความปลอดภัยขององค์หญิงฉังผิง
องค์หญิงฉังผิงยิ้มบาง เอ่ย “หากข้าไปตอนนี้ ยิ่งเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นระแวงพวกเจ้ามากยิ่งขึ้น วางใจเถิด แม้ข้าจะไม่รู้จักเสด็จอามากนัก แต่เชียนเยี่ยข้ายังรู้จักเขาอยู่บ้าง เขา…ไม่ทำอันใดข้าหรอก”
“เพคะ เสด็จแม่ต้องระวังตัวให้มาก”
ภายในคืนนั้น ราวกับสวรรค์ได้ถล่มลงมา องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ไปได้เพียงไม่กี่วัน แม้กระทั่งพระสมัญญานามก็ยังไม่มี ฮ่องเต้ก็สวรรคตตามไป เรื่องราวที่เกิดขึ้นกะทันหันเหล่านี้ สั่นสะเทือนไปไม่เพียงบรรดาราษฎรทั้งหลาย ยังมีตระกูลขุนนางผู้มีอำนาจที่เตรียมพร้อมต่อสู้กับเชื้อพระวงศ์ด้วย ฮ่องเต้สวรรคต เท่ากับว่าเรื่องราวต่างๆ มากมายจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว เมื่อหมากจบลง ต้องเริ่มกระดานใหม่ เรื่องราวหลังจากนี้ ทั้งหมดเป็นเพียงความน่าจะเป็น
เพียงแต่ยังไม่ทันได้ให้พวกเขาหารือถึงผลลัพธ์ เมื่อฟ้าสว่างวังหลวงก็มีราขโองการออกมา แต่งตั้งหวงจั่งซุนเย่ว์จวิ้นอ๋องเซียวเชียนเยี่ยขึ้นเป็นหวงไท่ซุน นี่เป็นราชโองการสุดท้ายของฝ่าบาท นั่นหมายความว่ายามนี้ที่องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ หวงไท่ซุนคือผู้สืบทอดราชบัลลังก์ต่ออย่างถูถต้องตามทำนองครองธรรม
สิ่งที่ทำให้บรรดาตระกูลขุนนางต้องตื่นตกใจก็คือ ตระกูลขุนพลอย่างฉู่กั๋วกง เอ้อกั๋วกงจะสนับสนุนหวงไท่ซุนพวกเขาไม่แปลกใจ แต่ว่าขุนนางฝ่ายบุ๋นในราชสำนักเองก็เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก โต้แย้งมีน้อย ส่วนองค์ชายเหล่านั้น…ผู้ปกครองเมืองอยู่ห่างไกล อยากโต้แย้งก็ไม่มีเวลาและโอกาส
ในตอนที่บรรดาตระกูลขุนนางอยากออกหน้า ราชโองการที่ฮ่องเต้เขียนไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตวางอยู่ในกล่องถูกส่งมาตรงหน้าตระกูลเหล่านั้น เมื่ออ่านเนื้อหาในราชโองการแล้ว ตระกูลขุนนางทั้งหลายจึงร่วมกันปิดปากเงียบไปพร้อมกัน
สองวันต่อมา หวงไท่ซุนเชิญผิงชวนจวิ้นอ๋องเข้าเมืองหลวง แต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนในฐานะเสด็จปู่รอง จัดการงานในราชสำนัก ในวันเดียวกันซิงเฉิงจวิ้นจู่เองก็กลับมาถึงเมืองหลวง เดินผ่านเข้าประตูจวนเยี่ยนอ๋องที่พักชั่วคราวขององค์หญิงฉังผิงอย่างเปิดเผย
ในช่วงไว้ทุกข์ของแผ่นดิน ประชาชนงดงานเลี้ยงพิธีแต่งงาน ทั่วทั้งจินหลิงเข้าสู่บรรยากาศอึมครึมเต็มไปด้วยสีขาวดำ จวนเยี่ยนอ๋องยิ่งเต็มไปด้วยความเงียบเหงาและเยือกเย็น เครื่องประดับตกแต่งงดงามเปลี่ยนเป็นผ้าขาว การตกแต่งที่งดงามถูกผ้าม่านสีดำปิดคลุมเอาไว้ ทั่วทั้งจวนเยือกเย็นและมืดมนราวกับอากาศในวันนี้
หนานกงมั่วนั่งอยู่ชั้นบนของห้องเก็บหนังสือ มองออกไปยังพระราชวัง ที่นั่น บางทีอาจเป็นสถานที่ที่ครึกครื้นที่สุดในจินหลิงยามบรรยากาศกำลังอึมครึมเช่นนี้
“เหล่าขุนนางได้หารือกันแล้ว กำหนดการพิธีขึ้นครองบัลลังก์ของเซียวเชียนเยี่ยจะถูกจัดขึ้นในอีกเจ็ดวัน พวกเราจะยืนดูอยู่แบบนี้หรือ” ด้านหลัง ลิ่นฉังเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ
หนานกงมั่วกระชับเสื้อคลุมบนไหล่ ถอนหายใจออกมา “ไม่ยืนดู แล้วจะทำอย่างไรเล่า ราชโองการของฝ่าบาทเป็นของจริง เขาขึ้นครองบัลลังก์ถูกต้องตามทำนองครองธรรม ใครก็มิอาจขัดขวาง”
“เห็นอยู่ว่าฝ่าบาทและองค์รัชทายาทต้องตายเพราะพวกเขานะ” ลิ่นฉังเฟิงขมวดคิ้ว หนานกงมั่วหันกลับมามองเขา ยิ้มบางๆ เอ่ยถาม “ใครจะเชื่อ ท่านเองก็ส่งคนไปสืบมาแล้วมิใช่หรือ สาเหตุการตายของฮ่องเต้น่ะ”
ลิ่นฉังเฟิงเงียบ พวกเขาส่งคนไปสืบสาเหตุการตายของฮ่องเต้จริง ฮ่องเต้ไม่ได้โดนพิษและมิได้ถูกสังหาร แต่เป็นเพราะ…อาการป่วยกำเริบ ฮ่องเต้ปกปิดอาการป่วยของตนมานานเกินไป รอจนหมอหลวงนำการตรวจชีพจรของฮ่องเต้ออกมาเปิดเผยทุกคนจึงไม่กล้าสงสัยสาเหตุการตายของฮ่องเต้อีกแล้ว ที่แท้…ฝ่าบาทฝืนมาตลอด การสิ้นพระชนม์ขององค์รัชทายาทส่งผลกระทบต่อพระองค์อย่างใหญ่หลวงจึงดูสมเหตุสมผล และพวกเขา นอกจากหนานกงมั่วแล้วพวกเขาก็ไม่มีหลักฐานใดสามารถยืนยันได้ว่าการตายของฮ่องเต้นั้นเกี่ยวพันไปถึงเซียวเชียนเยี่ยและเซียวฉุน กระทั่งหนานกงมั่วออกมาชี้ตัว คนที่เชื่อหนานกงมั่วแน่นอนว่าคงน้อยกว่าคนที่เชื่อเซียวเชียนเยี่ยอยู่มาก ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ที่หนานกงมั่วเลือกที่จะหนีไป นางก็ไม่อาจใช้เรื่องนี้ไปโจมตีเซียวฉุนได้อีก ในสายตานางความปลอดภัยของเว่ยจวินมั่วสำคัญกว่าชีวิตของฮ่องเต้มากทีเดียว
เนิ่นนาน ลิ่นฉังเฟิงจึงถอนหายใจออกมา เอ่ย “ครั้งนี้ พวกเราแพ้แล้ว”
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “ผิงชวนจวิ้นอ๋องวางแผนมากว่ายี่สิบปี เมื่อลงมือหากเขาไม่มีความมั่นใจเขาจะกล้าได้เยี่ยงไร แพ้ก็ไม่เสียเปรียบ”
ลิ่นฉังเฟิงลองไตร่ตรองแล้วก็ถูก พยักหน้าพลางเอ่ย “ข้าว่า คนที่น่ากลัวที่สุดก็คงเป็นคนแบบเซียวฉุน เดิมทีดูไม่สะดุดตา แต่ใครจะรู้ว่าเขาลอบวางแผนการร้ายได้มากมายเพียงนี้” เพียงลองคิด เซียวฉุนอยู่ไกลถึงผิงโจวแต่สามารถซื้อตัวองครักษ์ที่ฝ่าบาทไว้วางใจได้ การกระทำนี้ช่างทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น “ตระกูลลิ่นนั่นประนีประนอมกับเซียวเชียนเยี่ยแล้ว ข้าคิดว่าตระกูลอื่นๆ ก็คงไม่ต่างกัน นี่เกรงว่าจะไม่ใช่ความคิดของเซียวเชียนเยี่ย” ตอนนี้เซียวเชียนเยี่ยตัดสินใจอันใดได้จริงหรือ ลิ่นฉังเฟิงจินตนาการออกถึงหุ่นเชิดที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์
หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “เซียวเชียนเยี่ยเพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดคือด่านของผู้ปกครองเมืองเหล่านั้น ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะแข็งข้อต่อตระกูลขุนนาง เพียงแต่ ตระกูลขุนนางเหล่านั้นคงต้องล่าถอยในเวลานี้ คงเพราะในมือของเซียวเชียนเยี่ยมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของพวกเขา”
[1] หวงไท่ซุน ตำแหน่งพระนัดดารัชทายาท ในสมัยราชวงศ์หมิงเมื่อพระโอรสองค์โตในองค์รัชทายาทมีอายุที่เหมาะสม สามารถแต่งตั้งเป็นพระโอรสผู้สืบทอดในองค์รัชทายาทได้ในตำแหน่งหวงไท่ซุน หากองค์รัชทายาทผู้เป็นพระบิดาสิ้นพระชนม์ก่อนที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ พระโอรสผู้มีตำแหน่งเป็นหวงไท่ซุนจะเป็นผู้มีสิทธิ์ในการสืบทอดราชบัลลังก์แทน
[2] ซาพั่วหลาง หมายถึง ชีซา พั่วจวิน ทานหลาง ดวงดาวทั้งสามที่ปรากฏขึ้นในวันที่เว่ยจวินมั่วเกิด