ตอนที่ 452 กวนประสาท (1)
องค์หญิงฉังผิงยิ้มบาง “กับน้องเจ็ดเจ้าไม่ต้องกังวล อย่ามองว่านางดื้อด้านไม่ฟังใคร นางรู้ขอบเขตอยู่ในใจ นางรู้ว่าสิ่งใดที่ควรทำไม่ควรทำ แต่เจ้า ยามนี้จวินเอ๋อร์ไม่อยู่ ทุกเรื่องในจวนเราคงต้องลำบากเจ้าแล้ว มีอันใดที่มารดาช่วยได้ ให้เจ้ารีบบอกเป็นพอ”
หนานกงมั่วพยักหน้า ยิ้มพลางเอ่ย “เสด็จแม่วางใจเถิด หากมีเรื่องอันใดที่จัดการไม่ได้หม่อมฉันจะขอให้เสด็จแม่ช่วยแน่นอนเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงพยักหน้า เอ่ยด้วยความกังวล “ชาติกำเนิดของจวินเอ๋อร์ ไม่เป็นไรจริงหรือ”
หนานกงมั่วเอ่ย “ยามนี้ผิงชวนจวิ้นอ๋องไม่มีใจมาคิดเรื่องนี้หรอกเพคะ รอเมื่อเขาลงมือจวินมั่วคงกลับเมืองหลวงแล้ว ถึงตอนนั้นเราค่อยหารือกันอีกทีก็ได้ เสด็จแม่ไม่ต้องกังวล เซียวฉุนคงไม่กล้านำเรื่องนี้ประกาศให้ผู้คนรับรู้ หากเขาไม่ต้องการให้ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนของเขาต้องพังลงเพียงไม่กี่วัน”
เซียวฉุนรู้ชาติกำเนิดของเว่ยจวินมั่วนั่นไม่ผิด แต่อย่าลืมว่าเซียวฉุนทำอันใดนางเองก็รู้ ต่อให้นางไม่มีหลักฐานแล้วอย่างไร เพียงนางปล่อยข่าวออกไป ผู้ปกครองเมืองที่ไม่พอใจเหล่านั้นกำลังหาโอกาสอยู่เลย
“เยี่ยนอ๋องพวกเขาจะกลับมาหรือไม่เพคะ” หนานกงมั่วเอ่ยถาม
องค์หญิงฉังผิงถอนหายใจ “ได้ยินจากในวัง คงไม่อนุญาตให้ผู้ปกครองเมืองกลับเมืองหลวงมาร่วมพิธี”
หนานกงมั่วขมวดคิ้ว “ฝ่าบาทสวรรคต ไม่ให้องค์ชายทั้งหลายกลับมาร่วมพิธีดูไม่เหมาะสมหรือไม่เพคะ” องค์หญิงฉังผิงเอ่ย “เมื่อครั้งเสด็จพ่อแบ่งเขตปกครองเมืองเพื่อความมั่นคงของอาณาจักรเซี่ย หากฮ่องเต้พระองค์ใหม่ให้ความสำคัญกับประเทศ เหล่าองค์ชายมาไม่ได้ก็มีเหตุผล นอกจากนี้ หากชินอ๋องมาไม่ได้เช่นนั้นคงต้องให้บรรดาผู้สืบทอดกลับเมืองหลวงมาแสดงความกตัญญูแทนบิดา”
คิ้วสวยของหนานกงมั่วขมวดมุ่น ครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง องค์หญิงฉังผิงมองนางอย่างไม่เข้าใจ เอ่ยถาม “อู๋สยากำลังคิดอันใดอยู่หรือ”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ ลังเลอยู่ชั่วครู่จึงเอ่ยถาม “เสด็จแม่ หากบรรดาผู้สืบทอดกลับมาร่วมพิธี ฮ่องเต้จะถือโอกาสกักตัวผู้สืบทอดเอาไว้เป็นตัวประกันหรือไม่เพคะ”
องค์หญิงฉังผิงตกใจ “คงไม่หรอก ต่อให้ฮ่องเต้ไม่วางใจผู้ปกครองเมือง หากคิดจะทำเช่นนั้นจริง…กักตัวผู้สืบทอดมีประโยชน์มากเพียงใดกัน” คนที่คิดก่อกบฏจริงๆ อย่าว่าแต่กักตัวบุตรชายเลย ต่อให้จับบิดามารดาผู้ที่คิดกบฏก็ยังก่อกบฏ
หนานกงมั่วส่ายศีรษะ “ไม่จำเป็นต้องกักนาน เพียงหนึ่งถึงสองปี บัลลังก์ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่มั่นคงแล้วก็คงไม่เป็นไร” เพียงแต่ ไม่รู้ว่าเซียวเชียนเยี่ยต้องใช้เวลามากเพียงใดกว่าบัลลังก์จะมั่นคง หรืออาจบอกว่าเซียวฉุนจะให้เวลามากเพียงใดเพื่อกุมอำนาจในราชสำนัก ถอนหายใจเงียบๆ มักรู้สึกว่า…หลังจากเซียวเชียนเยี่ยขึ้นครองบัลลังก์แล้วจะสงบหรือไม่
“เช่นนั้นจะทำเช่นไรดี หรือจะบอกพวกพี่สาม ไม่ให้ผู้สืบทอดกลับมาเมืองหลวงหรือ” องค์หญิงฉังผิงเอ่ยถาม
หนานกงมั่วยิ้มเอ่ย “เสด็จแม่ไม่ต้องร้อนใจ หม่อมฉันเพียงคาดเดา ต่อให้กักตัวผู้สืบทอดจริงๆ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็คงไม่กล้าแตะต้องพวกเขาง่ายๆ หรอกเพคะ เสด็จแม่ก็คิดเสียว่าพวกเขามาอยู่จินหลิงเพียงไม่กี่วันเท่านั้น”
องค์หญิงฉังผิงถอนหายใจ “จริงๆ เลย…หากเสด็จพี่รัชทายาทไม่ด่วนจากไป จะมีเรื่องมากมายเพียงนี้หรือ”
ต่อให้เสด็จพ่อไม่อยู่ มีองค์รัชทายาทรับตำแหน่งต่อก็คงไม่สั่นสะเทือนมากเพียงนี้ แม้เซียวเชียนเยี่ยจะมีราชโองการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ขึ้นเป็นหวงไท่ซุน แต่สำหรับชินอ๋องอย่างไรก็เป็นเพียงหลานที่ไม่ได้อยู่ในสายตา นี่จะทำให้พวกเขายอมได้เยี่ยงไร ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ยามนี้เซียวเชียนเยี่ยยังถูกเซียวฉุนควบคุมด้วย
หนานกงมั่วลอบบ่นอยู่ในใจ “หากรู้ว่าการจากไปขององค์รัชทายาทและฮ่องเต้เกี่ยวข้องกับเซียวเชียนเยี่ยและเซียวฉุน เช่นนั้นก็คงดี”
“จริงสิ วันนี้อู๋สยาไปที่จวนเซี่ยโหวทำไมหรือ” องค์หญิงฉังผิงเอ่ยถามด้วยความห่วงใย “เดิมทีตระกูลเซี่ยไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก อู๋สยาหากมีเรื่องอันใดอยากไปหาพวกเขาก็คงไม่มีประโยชน์” หนานกงมั่วครุ่นคิด จึงตัดสินใจเผยข้อมูลให้รู้บ้างเพื่อถึงตอนนั้นจะได้ไม่ร้อนใจ “เสด็จแม่ หม่อมฉันบอกแล้วพระองค์อย่าพึ่งร้อนใจนะเพคะ ที่หม่อมฉันไปจวนตระกูลเซี่ยนั้นเพราะมีเรื่องขอความช่วยเหลือจริง ยามนี้เมืองจินหลิง…กำลังมีโรคระบาดเพคะ”
“อะไรนะ” องค์หญิงฉังผิงตกใจ ลุกขึ้นทันใด “โรคระบาด เช่นนั้น…เช่นนั้นจวินเอ๋อร์…”
หนานกงมั่วจับกุมมือของนางเอาไว้ “เสด็จแม่ท่านวางใจ ศิษย์พี่ของหม่อมฉันก็อยู่ที่นั่น ยิ่งไปกว่านั้น จวินมั่วเป็นคนมีวรยุทธ์ เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้วยิ่งไม่ติดเชื้อได้เร็ว ไม่เป็นไรเพคะ”
“นี่…นั่นคือโรคระบาดนะ ข้าจะวางใจได้เยี่ยงไร ไยราชสำนักจึงไม่มีข่าวเลยสักนิด” เรื่องใหญ่เพียงนี้ ราชสำนักไม่มีเหตุผลที่จะไม่ปล่อยข่าวออกมาจึงจะถูก หนานกงมั่วยิ้มเย็น “สาสน์นั้นส่งไปนานแล้วเพคะ เมื่อก่อนถูกคนของผิงชวนจวิ้นอ๋องขัดขวางเอาไว้ ยามนี้ดูเหมือนว่าผู้สำเร็จราชการแทนและฮ่องเต้พระองค์ใหม่ต่างไม่คิดจะจัดการกับเรื่องนี้ ทำอันใดไม่ได้ พวกเราทำได้เพียงกระจายข่าวนี้ออกไปเองเพคะ”
เซียวฉุนและเซียวเชียนเยี่ยไม่มีทางยอมรับว่ามีโรคระบาดในยามที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่กำลังจะขึ้นครองบัลลังก์ แต่ก่อนมาเซียวฉุนได้ปล่อยผู้คนบนเขาลงมาเพื่อถ่วงเวลาของเว่ยจวินมั่ว เช่นนี้โรคระบาดในหลิงโจวจึงไม่อาจควบคุมได้ และอย่าได้โทษนางที่ทำลายความสงบในจินหลิงเสียล่ะ หลิงโจวห่างจากจินหลิงไม่มาก นางไม่เชื่อว่าหากรู้ข่าวนี้แล้วบรรดาตระกูลสูงศักดิ์ในจินหลิงทั้งหลายจะไม่ร้อนใจ
“เจ้าเชียนเยี่ยนี่” องค์หญิงฉังผิงถอนหายใจ “ไม่คิดว่าเสด็จพ่อที่เก่งกาจ สุดท้ายก็ยังมองคนผิด” เมื่อก่อนเป็นจวิ้นอ๋องนั้นก็ไม่ว่า การเป็นฮ่องเต้ เห็นชัดว่าเซียวเชียนเยี่ยไม่มีใจสงสารประชาชน อย่าว่าแต่รักประชาชนราวกับโอรสเลย เกรงว่าต่อให้มีชาวบ้านตายต่อหน้าเขานับพันนับหมื่นก็คงเทียบกับชื่อเสียงของเขาคนเดียวไม่ได้
“เสด็จแม่เพคะ” หนานกงมั่วมององค์หญิงฉังผิงด้วยความกังวล องค์หญิงฉังผิงยิ้มบาง เอ่ย “ข้าไม่เป็นไร เรื่องราวมากมายลำบากอู๋สยาแล้ว ระวังสักหน่อย” แม้องค์หญิงฉังผิงจะไม่สนใจโลกแต่ก็ไม่ใช่คนโง่ อู๋สยาทำเช่นนี้แน่นอนว่าคือการเป็นศัตรูกับฮ่องเต้พระองค์ใหม่และผู้สำเร็จราชการแทน แต่ตนกลับไม่อาจห้ามการกระทำพวกนี้ของนางได้ ไม่เพียงเพราะบุตรชายที่อยู่ในเขตโรคระบาดที่หลิงโจว แต่ก็เพื่อประชาชนชาวเมืองหลิงโจวด้วย
“มีอันใดที่มารดาช่วยได้ให้รีบเอ่ย”
“เสด็จแม่วางใจเป็นพอเพคะ” หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเบา
…
“รายงานพระชายาซื่อจื่อ จวนฉู่กั๋วกงส่งคนมาเชิญพระชายาซื่อจื่อกลับไปสักหน่อยเจ้าค่ะ” หนานกงมั่วที่กำลังอ่านสาสน์ที่ถูกส่งมาจากหลิงโจว ด้านนอกพลันมีเสียงหมิงฉินรีบมารายงาน
“ฉู่กั๋วกงหรือ” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว แปลกใจเล็กน้อย นางกลับมาได้หลายวันแล้วหนานกงไหวไม่เคยส่งใครมาถามไถ่ ไยตอนนี้จึงเรียกนางกลับไปกะทันหัน หมิงฉินเองก็ไม่เข้าใจ ส่ายหน้าพลางเอ่ย “ฉู่กั๋วกงส่งคนมาบอกเพียงว่าเชิญพระชายาซื่อจื่อกลับไป อย่างอื่นมิได้เอ่ยถึงเจ้าค่ะ” หนานกงมั่ววางพู่กันในมือ ครุ่นคิด เอ่ยตอบ “รู้แล้ว เดี๋ยวข้าจะกลับไปดู”
“คุณหนู…จะกลับไปจริงหรือเจ้าคะ” หมิงฉินเอ่ยถามด้วยความกังวล ครั้งนั้นเพราะเรื่องของเฉียวเฟยเยียน คุณหนูถือว่าแตกหักกับฉู่กั๋วกงแล้ว จะกลับไปแบบนี้หรือ หนานกงมั่วส่ายศีรษะยิ้มๆ “พวกเขาจะทำอันใดข้าได้ อย่างมากก็คงอยากสืบเรื่องราวจากข้า น่าแปลก เรื่องแบบนี้ไยจึงมาหาที่ข้าเล่า”