ตอนที่ 454 กวนประสาท (3)
“ได้ยินว่ามั่วเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ” ด้านนอกประตูมีน้ำเสียงอ่อนโยนเข้ากระดูกดังขึ้น หนานกงมั่วเลิกคิ้ว เฉียวเฟยเยียนผู้นี้ในบางเรื่องก็นับว่าได้รับพรสวรรค์ที่ดี เห็นชัดว่าอายุใกล้สี่สิบปีแล้ว แต่พูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ แม้แต่สตรีได้ยินยังรู้สึกจักจี้อยู่ในหู ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงบุรุษ มิน่าเล่าตลอดยี่สิบกว่าปีมานี้หนานกงไหวจึงลืมนางไม่ลง
เฉียวเฟยเยียนอยู่ในอาภรณ์สีขาว ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ของแผ่นดิน เฉียวเฟยเยียนที่อยู่ในชุดสีขาวดูราวกับต้นหลิวที่พริ้วไหวไปตามสายลม ทุกการเคลื่อนไหวดูเผยออกมาให้เห็นถึงความบอบบาง แต่เมื่อมองดวงตาคู่นั้นของเฉียวเฟยเยียนก็จะดูออก นางกลับไม่ได้อ่อนแอบอบบางดังที่แสดงออกมาให้เห็น ดวงตามีความทะนงตนและลำพองใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้นางจะเก็บซ่อนมันได้ดี ทว่าอารมณ์ที่เผยออกมาตรงระหว่างคิ้วของนางนั้นให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากทุกครั้งที่ได้เจอ เห็นชัดว่าหลินซื่อกล่าวไม่ผิด ยามนี้จวนแห่งนี้ตกอยู่ในมือของเฉียวเฟยเยียนแล้ว ดังนั้นนางจึงคิดว่ามีอำนาจท้าทายต่อตน บางที อำนาจนี้ยังรวมถึงเซียวฉุนผู้สำเร็จราชการแทนด้วยหรือไม่
เฉียวเชียนหนิงและเฉียวเย่ว์อู่เองก็ติดตามอยู่ด้านหลังของเฉียวเฟยเยียน เฉียวเชียนหนิงยังคงสีหน้าเย็นชาร้ายกาจ และเฉียวเย่ว์อู่ที่ผ่านการทรมานจากหนานกงซู ความมุทะลุเอาแต่ใจที่เคยมีนั้นหายไปจนสิ้น สิ่งที่มาแทนที่คือความโหดเหี้ยมและความดุร้ายอย่างไม่อาจปิดบัง เพียงเดินเข้าประตูมาสายตาของนางก็จับจ้องมายังหนานกงมั่ว ดวงตาคู่นั้นแสดงออกถึงความมาดร้ายและโกรธแค้นอย่างไม่ปิดบัง ทว่าหนานกงมั่วกลับไม่ใส่ใจ เพราะนางค้นพบว่าเฉียวเย่ว์อู่ไม่ได้เป็นแบบนั้นกับนางเพียงผู้เดียว แม้แต่สายตาที่มองไปยังเฉียวเฟยเยียนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก เห็นชัดว่าหญิงสาวเย่อหยิ่งเอาแต่ใจผู้นี้ถูกหนานกงซูทำลายทั้งภายในและภายนอกแล้ว
“มั่วเอ๋อร์ สบายดีหรือไม่” เฉียวเฟยเยียนยั่งลง เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“เฉียวฮูหยิน ท่านเรียกพระชายาซื่อจื่อของเราว่าพระชายาซื่อจื่อหรือจวิ้นจู่เถิด หากจำไม่ได้ จะเรียกว่าคุณหนูใหญ่ก็ได้” ด้านหลังหนานกงมั่ว จือซูเอ่ยเสียงเรียบ เห็นทีไรก็อึดอัดทุกที และไม่รู้เฉียวเฟยเยียนเอาความกล้ามาจากไหนจึงแสดงออกถึงความสนิทสนมกับจวิ้นจู่ถึงเพียงนี้
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉียวเฟยเยียนชะงักไป ดวงตาที่มองไปยังหนานกงมั่วมีความซับซ้อนขึ้นมา เนิ่นนานจึงถอนหายใจ เอ่ย “ข้ารู้ มั่วเอ๋อร์เจ้ากำลังโกรธข้ากับท่านพ่อของเจ้า แต่ว่า หลายวันก่อนเจ้าก็ได้ระบายความโกรธไปแล้ว ยังไม่อภัยให้พวกเราอีกหรือ ข้ากับท่านพ่อของเจ้าเรารักกันด้วยใจจริง อย่างไรเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันนะ”
หนานกงมั่วจ้องมองเฉียวเฟยเยียนอยู่นาน มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย็นขึ้นมา “เฉียวฮูหยิน ดูเหมือนว่าความทรงจำท่านจะไม่ดีใช่หรือไม่”
เฉียวเฟยเยียนเองก็นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ยามนี้เห็นชัดว่านางมีความมั่นคงมากขึ้น ฝืนยิ้มแล้วจึงเอ่ย “มั่วเอ๋อร์…พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่สามารถ…”
หนานกงมั่วยิ้มเย็น “ใครให้ความกล้าแก่ท่านคิดว่าจะมาเป็นครอบครัวเดียวกันกับข้าได้ หากเพราะความอดทนอันน้อยนิดของท่านคิดจะทำให้ข้าละทิ้งความเกลียดชังได้ แล้วจะเอาสิ่งใดมาปลอบโยนดวงวิญญาณของมารดาข้าที่จากไปอยู่บนสรวงสวรรค์”
เฉียวเฟยเยียนหน้าซีดเล็กน้อย กัดริมฝีปากเบาๆ “มั่วเอ๋อร์ เจ้าโกรธแค้นข้ากับบิดาของเจ้ามากเพียงนี้เลยหรือ ต่อให้องค์หญิงฉังผิงและเว่ยซื่อจื่อต้องลำบากอย่างนั้นหรือ”
คิ้วสวยของหนานกงมั่วเลิกขึ้น มองสตรีตรงหน้าด้วยความสนใจ ยิ้มเย็น เอ่ย “ดูเหมือนว่าช่วงนี้เฉียวฮูหยินก็มีพัฒนาการแล้ว ท่านนี่…กำลังข่มขู่ข้าหรือ”
เฉียวเฟยเยียนมองนาง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มั่วเอ๋อร์กล่าวหนักเกินไปแล้ว ข้าเพียงแต่…หวังว่าเราทุกคนจะดีต่อกันก็เท่านั้น”
หนานกงมั่วหัวเราะเสียงหยัน เอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “น่าเสียดาย อยากข่มขู่ข้าท่านยังไม่มีสิทธิ์นั้น บางทีท่านควรไปถามผู้สำเร็จราชการแทนก่อน…ว่าควรมาข่มขู่ข้าหรือไม่” รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉียวเฟยเยียนแข็งค้าง “มั่วเอ๋อร์เจ้าหมายความเยี่ยงไร ข้าไม่เข้าใจนัก ผู้สำเร็จราชการแทนอันใด” หนานกงมั่วแค่นหัวเราะ เอ่ยเสียงเบา “หากไม่มีเซียวฉุนคอยหนุนหลังเจ้า ตอนนี้ท่านจะกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าข้าหรือ ท่านยังไม่เกลี้ยกล่อมบิดาของข้าใช่หรือไม่ ดูเหมือนเสน่ห์จะมีไม่มากพอ…เช่นนั้นอย่าได้มากระดิกหางต่อหน้าข้า ต่อให้เป็นเซียวฉุน จวิ้นจู่เช่นข้าก็ไม่เกรงกลัว ยิ่งกว่านั้นเป็นท่าน ในเมื่อเป็นภรรยานอกสมรสก็ทำตัวให้สมกับเป็นภรรยานอกสมรสเสีย อย่าคิดในสิ่งที่ไม่สมควรคิด”
เผชิญหน้ากับหนานกงมั่วที่เย่อหยิ่งและจองหองเช่นนี้ เฉียวเฟยเยียนก้าวถอยหลังไปสองก้าว พูดอะไรไม่ออก เฉียวเชียนหนิงยื่นมือออกไปประคองมารดา จ้องหนานกงมั่วเขม็ง “ท่านแม่ ท่านจะไปพูดกับนางให้มากความไปไย” เฉียวเฟยเยียนพิงบุตรชาย ใบหน้ามีความคับข้องใจและอดทนอดกลั้น ถอนหายใจ เอ่ย “อย่างไรก็เป็นครอบครัวเดียวกัน หากทำให้บิดาของเจ้าไม่ลำบาก…”
หนานกงมั่วลูบขนที่ลุกชันบริเวณลำคอ ยืนยันอีกครั้งว่าเฉียวเฟยเยียนผู้นี้สมองมีปัญหา เรียกอีกอย่างได้ว่า กวนประสาท
“เด็กๆ” เพื่อเป็นการดีต่อตัวเอง หนานกงมั่วจึงคิดว่าตนเองไม่ควรอดทนต่อความประสาทเช่นนี้จะดีกว่า ถ้วยชาในมือกระแทกลงบนโต๊ะ เอ่ยเสียงเข้ม บ่าวรับใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูได้ยินดังนั้นจึงรีบเดินเข้ามา มองเห็นสถานการณ์ในห้องจึงชะงัก ทำตัวไม่ถูกขึ้นมา หนานกงมั่วเอ่ยเสียงเรียบ “เชิญเฉียวฮูหยินไปพักผ่อน ไม่มีอันใดไม่ต้องเข้ามาในห้องโถง”
“เอ่อ…” ทุกคนมองสบตากันอย่างลังเล แม้หนานกงมั่วจะเป็นคุณหนูใหญ่จวนฉู่กั๋วกง แต่ตอนนี้นางแต่งออกเรือนไปแล้ว ที่สำคัญก็คือ ยามนี้ความรับผิดชอบน้อยใหญ่ของจวนฉู่กั๋วกงอยู่ในมือของเฉียวเฟยเยียนทั้งหมด แม้แต่คุณชายใหญ่และฮูหยินน้อยก็ไม่อาจตัดสินใจได้ ยิ่งไปกว่านั้นเป็นคุณหนูใหญ่ที่แต่งออกเรือนไปแล้ว
หนานกงมั่วจ้องมองพวกเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น “ทำไมหรือ ข้าไม่ได้กลับมานาน ยามนี้เอ่ยอันใดก็ไม่มีใครฟังแล้วอย่างนั้นหรือ”
“บ่าวมิกล้า” ทุกคนรีบคุกเข่าลง แต่ไม่มีทีท่าว่าจะลงมือ เห็นชัดว่าอำนาจของเฉียวเฟยเยียนในจวนฉู่กั๋วกงนี้ไม่เลว เฉียวเฟยเยียนเคยเป็นพระชายาจวิ้นอ๋อง ยังสามารถควบคุมหวาหนิงจวิ้นอ๋องได้อย่างเข้มงวด แน่นอนว่าฝีมือไม่ได้อ่อนด้อยเท่าใดนัก
เฉียวเฟยเยียนมองหนานกงมั่วที่ใบหน้าเย็นเยือก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มั่วเอ๋อร์ อย่าทำให้พวกเขาลำบากใจเลย เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปเถิด” โบกปัดมือ เฉียวเฟยเยียนแก้หน้าให้บ่าวรับใช้ สาวใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นมองเฉียวเฟยเยียนด้วยความซาบซึ้ง เดิมคนที่เคยดูแลรับใช้ที่เรือนจี้ชั่งนั้นติดตามหนานกงมั่วไปยังจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋องทั้งหมด บางคนยังคอยเฝ้าดูแลเรือนจี้ชั่งไม่ออกมา สาวใช้พวกนี้ไม่เคยใกล้ชิดกับหนานกงมั่วนัก เรื่องที่รู้จักหนานกงมั่วอย่างมากที่สุดก็คือคุณหนูใหญ่ร้ายกาจมาก แม้แต่คุณหนูรองและเจิ้งซื่อที่ตายจากไปยังเสียเปรียบตกอยู่ในกำมือของนาง
“คุกเข่า” คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นยังไม่ทันได้ลุกขึ้น พลันได้ยินเสียงเย็นเยียบของหนานกงมั่วดังขึ้น ทุกคนหัวใจสั่นไหว ลุกขึ้นมาไม่ได้
“ซิงเฉิงจวิ้นจู่” เฉียวเฟยเยียนเริ่มทนไม่ไหว หนึ่งถึงสองเดือนมานี้ไม่ง่ายเลยกว่านางจะแผ่ขยายอำนาจในจวนฉู่กั๋วกงได้ หากหนานกงมั่วทำมันพังเช่นนี้ สิ่งที่นางลงแรงไปตลอดเดือนสองเดือนมานี้ก็คงสูญเปล่า